23 พ.ย. 2019 เวลา 11:49 • กีฬา
ชายคนเดียวที่โชเซ่ มูรินโญ่ ยอมรับว่าเป็น "อาจารย์" นี่คือเรื่องราวความสัมพันธ์ของโค้ชชื่อดัง บ๊อบบี้ ร็อบสัน กับล่ามคู่ใจที่ชื่อมูรินโญ่ ก่อนที่ทั้งโลกจะรู้จัก "มู" ในฐานะกุนซือระดับโลก
บ็อบบี้ ร็อบสัน คือผู้จัดการทีมระดับตำนาน ที่มีประวัติการทำทีมใหญ่ๆมาแล้วทั่วยุโรป ว่ากันว่านี่คือหนึ่งในกุนซือชาวอังกฤษ ที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
ชีวิตของเซอร์บ๊อบบี้ เต็มไปด้วยสีสัน ที่หยิบตรงไหนมาเล่า ก็คงสนุก และเร้าใจไม่รู้เบื่อ ตั้งแต่สมัยเขาเป็นนักเตะระดับทีมชาติ ก่อนผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมหลังแขวนสตั๊ด
ความยิ่งใหญ่ของเขา ก็ขนาดได้รับการแต่งตั้งยศ "เซอร์" ซึ่งในวงการฟุตบอลอังกฤษ มีน้อยคนมากที่จะได้รับเกียรติขนาดนี้
สำหรับหนึ่งในเรื่องคลาสสิค ที่คนมักจะเล่าลือกันเสมอ เกี่ยวกับร็อบสัน นั่นคือ เขาเป็นอาจารย์คนแรกของโชเซ่ มูรินโญ่
ถามว่าเรื่องจริงเป็นแบบนั้นไหม
คำตอบคือ ใช่ มันเป็นแบบนั้น ถ้าไม่มีร็อบสัน มูรินโญ่ก็ไม่มีวันนี้แน่นอน
วันนี้ วิเคราะห์บอลจริงจัง จะย้อนอดีต เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่โลกฟุตบอลของมูรินโญ่ ว่าเขารู้จักร็อบสันตอนไหน และเริ่มนับ 1 ในอาชีพอย่างไร
เดือนมิถุนายน 1992 บ็อบบี้ ร็อบสัน ไม่ได้รับการต่อสัญญากับพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นในลีกดัตช์ ทั้งๆที่เขาคว้าแชมป์ลีก 2 สมัยซ้อนแท้ๆ
สาเหตุเพราะ ร็อบสันไปพลาดท่าในเกมยุโรป โดยพีเอสวี ของเขาตกรอบ 2 ในยูโรเปี้ยนคัพ โดยในมุมของประธานพีเอสวี มองว่ามันคือความล้มเหลว การได้แชมป์ลีกมาทดแทนก็ไม่พอ
หลังตกงาน สปอร์ติ้ง ลิสบอน สโมสรจากโปรตุเกสติดต่อมา ขอให้ร็อบสันไปร่วมงานด้วย ซึ่งเจ้าตัวก็อยากไปทำงานนั่นแหละ แต่ติดปัญหาคือเขาไม่สามารถพูดภาษาโปรตุเกสได้เลย
ก่อนหน้านี้คุมทีมในฮอลแลนด์ ยังไม่ยากนัก เพราะคนดัตช์ส่วนมาก พูดภาษาอังกฤษได้สบายมาก แต่กับโปรตุเกสนั้นต่างกัน คือน้อยคนจะพูดได้ และยิ่งคนที่จะแปลเป็นศัพท์เชิงฟุตบอล ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่
อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ ซูซ่า ซินตร้า ประธานสโมสรสปอร์ติ้ง ลิสบอน ยืนยันว่า เขาเตรียม "ล่าม" เอาไว้ให้แล้ว ซึ่งเมื่อได้ยินแบบนั้น ร็อบสันก็ตัดสินใจเอาวะ รับงานดูก็ได้
กรกฎาคม 1992 ร็อบสัน บินไปถึงสนามบินในเมืองลิสบอน พอลงเครื่องบินปั๊บ คนที่มารอรับคือประธานสโมสร โดยข้างๆ มีเด็กหนุ่มวัย 29 ปี ที่จะรับหน้าที่เป็นล่าม ให้ตลอดช่วงเวลาที่ร็อบสันอยู่ในโปรตุเกส
ล่ามคนนั้น ชื่อโชเซ่ มูรินโญ่
มูรินโญ่ แนะนำตัว และบอกกับร็อบสันว่า เขาเคยเป็นครูพละมาก่อน และมีใบอนุญาตทำงานโค้ชระดับ ซีไลเซนส์ นอกจากนั้นคุณพ่อของเขาก็เคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ในตำแหน่งผู้รักษาประตู ดังนั้นขอให้ร็อบสันเชื่อใจได้ ว่าเขาเข้าใจศาสตร์ของฟุตบอลเป็นอย่างดี
ไม่ว่าร็อบสัน อยากจะสื่อสารอะไร เขาจะนำข้อความนั้น แปลต่อให้กับนักเตะ สตาฟฟ์ และ ผู้บริหารสโมสร ให้ได้ถูกต้องตามใจความแบบ 100% เต็ม
"โชเซ่ เป็นล่ามที่ไม่เหมือนใคร นั่นเพราะเขาเข้าใจเรื่องฟุตบอลเป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังฉลาด ใฝ่รู้ และมุ่งมั่น" ร็อบสันกล่าวถึงหลังจากรู้จักมูรินโญ่ในช่วงแรก
1
มูรินโญ่ บอกกับร็อบสันว่า เขาอยากจะเรียนรู้ศาสตร์ฟุตบอลจากโค้ชระดับโลก ซึ่งร็อบสัน ตอบกลับไปว่าเขายินดีที่จะแนะนำทุกอย่างที่ตัวเองรู้ ขอเพียงแค่อย่างเดียว ให้มูรินโญ่สัญญาก่อน ว่าจะทำเพื่อเขา
นั่นคือ ซื่อสัตย์ต่อกันเสมอ อย่าทำร้าย และแทงหลังกัน นี่คือคำขออย่างเดียว จากร็อบสันถึงมูรินโญ่
และมูรินโญ่ตกลง
ในช่วงเวลาที่ทำงานที่สปอร์ติ้ง ลิสบอน ร็อบสันถ่ายทอดความรู้ต่างๆให้มูรินโญ่ได้เข้าใจ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องพวกแท็กติก หรือวิธีการค้นข้อมูล พวกนี้มูรินโญ่จะเรียนรู้ไวมาก
แต่ปัญหาที่มูรินโญ่ ต้องใช้เวลาเยอะ ในการแก้ไขนั่นคือ เขาไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของผู้เล่นเท่าไหร่นัก
สาเหตุสำคัญอาจเพราะ มูรินโญ่ เคยเป็นนักเตะอาชีพช่วงสั้นๆ อายุแค่ 24 ก็แขวนสตั๊ด แถมเล่นอยู่กับสโมสรเล็กๆ ระดับสมัครเล่น เรื่องศาสตร์ฟุตบอลระดับสูงที่รู้มา ก็มาจากการศึกษาในตำรา ไม่ได้รู้จากประสบการณ์ตรง
ดังนั้นจึงมีบ้าง ที่มูรินโญ่วางตัวไม่ค่อยถูก เวลาต้องการสื่อสารกับกลุ่มนักเตะในทีม เช่น เขานึกไม่ออกว่าความรู้สึกของนักเตะในช่วงเวลาแบบนี้ คิดอะไรอยู่ และควรใช้วิธีไหนในการเข้าหา ซึ่งตรงจุดนี้ ร็อบสันก็ค่อยๆสอน ให้มูรินโญ่ได้เข้าใจ และชี้ให้เห็นว่า กับคนที่ไม่เคยเป็นนักเตะดังมาก่อนอย่างมูรินโญ่ ก็ต้องเหนื่อยกว่าเป็นธรรมดา เพราะผู้เล่นมักจะไม่ยอมรับ และคิดเสมอว่า แกเป็นใคร ทำมาสอนฟุตบอลให้พวกเรา
ในช่วงแรก หน้าที่ของมูรินโญ่ คือการแปลอย่างเดียว ทั้ง 2 ด้าน ส่งสารจากร็อบสันถึงนักเตะ และ แปลสิ่งที่นักเตะพยายามจะบอกกับร็อบสัน
1
แต่หลังทำหน้าที่ล่ามผ่านไป 1 ปี มูรินโญ่ได้อยู่กับฟุตบอลตลอด เขาจึงเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ซึมซับตามไปด้วยอย่างรวดเร็ว ร็อบสันจึงเลื่อนเขาจากล่าม มาเป็นแมวมองคอยไปสเกาต์คู่แข่งที่จะเจอในเกมต่อไป (แต่ก็ยังทำหน้าที่ล่ามให้เหมือนเดิม)
2
การสืบข้อมูลคู่แข่ง มูรินโญ่ทำได้อย่างละเอียดมากๆ ซึ่งแม้แต่ร็อบสันยังยอมรับว่า แมวมองทีมชาติอังกฤษยังไม่มีความสามารถขนาดนี้เลย
"เวลาเขาไปดูฟอร์มของทีมคู่แข่ง พอกลับมา เขาจะส่งรายงานให้ผม ซึ่งทุกอย่างละเอียดมากๆ แบบว่า เป็นงานชั้นหนึ่งเลย คือผมหมายถึงชั้นหนึ่งจริงๆ มันเป็นการเก็บข้อมูลอย่างดีที่สุด เท่าที่ผมเคยได้รับมาจากใครสักคน บอกได้เลยว่าไม่เคยมีใครในชีวิตผม ที่จะทำข้อมูลทีมคู่แข่งได้ดียิ่งไปกว่าเขา"
"แม้แต่ทีมงานมืออาชีพ ที่ผมจ้างไปสืบคู่แข่งในฟุตบอลโลก ก็ยังไม่ละเอียดเท่าที่โชเซ่ทำ งานของเขามันเจาะลึก อธิบายว่าเกมรุกเล่นยังไง เกมรับเล่นแบบไหน สมบูรณ์แบบมากๆ"
ในวินาทีนั้น ร็อบสันเองก็รู้ได้ทันทีว่า มูรินโญ่ มีคุณสมบัติครบทุกอย่างที่จะเป็นโค้ชชั้นยอดในอนาคต
ฉลาด บุคลิกดี ภาษาดี และเข้าใจแท็กติกเป็นอย่างดี ทุกอย่างรวมร่างในคนคนเดียว
มูรินโญ่ ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ กับร็อบสัน นั่นคือซื่อสัตย์เสมอ
"โชเซ่ นายต้องบอกฉันทุกอย่างว่าพวกนักเตะพูดอะไรกันบ้าง รู้ไหม ฉันต้องการเข้าใจทุกอย่างที่พวกเขาพูด" ร็อบสันสั่งมูรินโญ่ไว้แบบนั้น
1
การเป็นคนโปรตุเกส ทำให้เขาเข้าใจทุกอย่างที่นักเตะพูดกันในห้องแต่งตัว ซึ่ง มูรินโญ่ จะเอาข่าวทุกอย่างไปบอกร็อบสันเสมอ เช่น ความสัมพันธ์ของนักเตะระหว่างกันเป็นอย่างไร มีใครไม่พอใจเรื่องการซ้อมหรือไม่
รวมถึง บางเรื่องที่มูรินโญ่รู้ และโดนสั่งห้ามไม่ให้ไปบอกร็อบสัน แต่เขาก็ยังไปบอกอยู่ดี
ในเกมสำคัญที่สปอร์ติ้ง ลิสบอน เจอกับเบนฟิก้า ประธานสโมสรซูซ่า ซินตร้า ไปสัญญากับนักเตะว่าจะให้โบนัสพิเศษ ถ้าหากเอาชนะเกมนี้ได้ ซึ่งประธานสโมสรพยายามปิดบังเรื่องนี้ ไม่ให้ร็อบสันรู้ เพราะร็อบสันจะไม่พอใจแน่ๆ ที่ประธานดูมาก้าวก่าย และทำให้นักเตะโฟกัสไปที่การอยากเอาชนะมากเกินไป จนอาจหลงลืมแผนการเล่นที่เขาวางหมากเอาไว้
1
ซึ่งพอมูรินโญ่รู้มา เขาก็เอาไปบอกร็อบสันให้เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะได้วางแผนต่างๆได้ถูก
ความสัมพันธ์ของสองคนต่างวัย ผูกพันมากขึ้นเรื่อยๆ ร็อบสันเองก็ขาดมูรินโญ่ไม่ได้แล้ว เพราะเขาเชื่อใจในล่ามหนุ่มคนนี้แบบ 100% ในประเทศที่ตัวเองไม่คุ้นเคย การมีคนที่ซื่อสัตย์กับเขาสักคนคอยช่วยเหลือ มันเป็นสิ่งล้ำค่ามาก
เช่นเดียวกัน มูรินโญ่ ก็รู้สึกขอบคุณร็อบสัน ที่ทำให้เขาได้เข้ามาอยู่ในโลกฟุตบอลระดับสูง ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆที่ไม่เคยรู้มาก่อน จากเด็กหนุ่มที่ไม่มีใครยอมรับ ถึงวันนี้เขาสามารถแนะนำ และสอนนักเตะดังๆอย่าง คราสซิเมียร์ บาลาคอฟ และหลุยส์ ฟิโก้ได้แล้ว
ร็อบสัน คุมสปอร์ติ้ง ลิสบอน ได้ 1 ฤดูกาลครึ่ง ก็มาโดนไล่ออกในเดือนธันวาคมปี 1993 ขณะที่ทำทีมเป็นจ่าฝูงของลีกแท้ๆ โดยเหตุผลที่ประธานไล่เขาพ้นทีม เพราะไปแพ้ในเกมยูฟ่าคัพ ที่เจอกับคาสิโน ซัลซ์บวร์กจากออสเตรีย
หลังโดนไล่ออกได้ไม่ถึง 1 เดือน มกราคม 1994 อีกหนึ่งสโมสรดังจากโปรตุเกส เอฟซี ปอร์โต้ ติดต่อเข้ามาอยากให้ร็อบสันไปเป็นเฮดโค้ชให้
1
ร็อบสัน โทรหามูรินโญ่แล้วถามว่า "นายรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับปอร์โต้"
"เป็นเมืองใหญ่ทางตอนเหนือ นี่เป็นสโมสรใหญ่ ทะเยอทะยานมาก และมีประธานสโมสรที่แข็งกร้าว"
1
ในขณะที่สปอร์ติ้ง ลิสบอน จะชอบจ้างนักเตะต่างชาติมาเสริมทีม แต่กับปอร์โต้ ในเวลานั้นพวกเขานิยมใช้นักเตะโปรตุเกสล้วนๆมากกว่า
"โชเซ่ ปอร์โต้ยื่นข้อเสนอเข้ามา ฉันควรจะไปคุมทีมนั้นดีไหม และถ้าไป นายจะไปกับฉันได้หรือเปล่า" ร็อบสันถาม
"โอ้ ได้แน่นอน มิสเตอร์ ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะไปกับคุณที่ปอร์โต้" มูรินโญ่ตอบรับทันที
คราวนี้ ร็อบสันไม่ได้ให้มูรินโญ่เป็นแค่ล่ามแล้ว แต่ยกตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการทีมให้ เพราะร็อบสันรู้ดีว่าความสามารถของเด็กคนนี้ มันมีมากกว่าแค่แปลภาษา
ตั้งแต่ร็อบสันมาคุมปอร์โต้ ทีมก็มีผลงานที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และแค่ปีแรกเขาก็พาทีมได้แชมป์ลีกทันที
จากในซีซั่นที่ 2 กับปอร์โต้ ฤดูกาล 1995-96 ร็อบสันก็พาปอร์โต้ เป็นแชมป์ลีกอีกครั้ง ซิวแชมป์ 2 สมัยซ้อนแบบสวยหรู
1
ในระหว่างการทำทีม สิ่งที่ร็อบสันมีความสุขอีกอย่าง คือการถ่ายทอดความรู้ที่มีให้มูรินโญ่ หลายๆครั้ง เขาปล่อยให้มูรินโญ่จัดการวางแผนการซ้อมได้เลย เพราะรู้ว่ามูรินโญ่ จะรับผิดชอบมันได้ดี
"ผมเป็นหนี้เขามากเหลือเกิน" มูรินโญ่กล่าว "ผมคือมนุษย์ที่ไร้ตัวตน ก่อนที่บ็อบบี้ จะมายังโปรตุเกส ใช่ เรามีสไตล์ต่างกันมาก แต่ผมได้แนวคิดมากมายมาจากเขา ว่าทำอย่างไร ถึงจะก้าวไปเป็นโค้ชระดับแถวหน้าของวงการได้"
หลังได้แชมป์ 2 สมัยซ้อนกับปอร์โต้ ร็อบสันได้สัญญาฉบับใหม่ให้คุมทีมต่อ แต่ทว่าเขาปฏิเสธ เพราะได้ข้อเสนอจากอีกสโมสรที่ใหญ่กว่ากันมาก และอาจเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต ที่จะได้คุมทีมใหญ่ระดับนี้ นั่นคือ บาร์เซโลน่า
1
แน่นอน ร็อบสันต้องการเอามูรินโญ่ไปด้วย แต่ทว่าบาร์เซโลน่า ยืนยันว่า ต้องการร็อบสันแค่คนเดียว เพราะสโมสรจัดเตรียมผู้ช่วยผู้จัดการทีมไว้แล้ว ซึ่งได้แก่ โฆเซ่ รามอน อเลซานโก้ อดีตนักเตะทีมชาติสเปน หนึ่งในตำนานของบาร์ซ่าที่รีไทร์ในปี 1993 ซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ และน่าจะเป็นตัวเชื่อมที่ดีมาก ของร็อบสัน กับบรรดานักเตะของบาร์ซ่า
1
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ร็อบสันต้องการ คือคนที่พร้อมจะภักดีกับเขาแบบ 100% และเขาไม่เห็นคนอื่นแล้ว นอกจากมูรินโญ่
"โชเซ่ ฉันได้ข้อเสนอจากบาร์เซโลน่า นายต้องการจะมาด้วยไหม" ร็อบสันถาม
"ผมไปได้เหรอ?" มูรินโญ่ถามกลับ
"เอาแบบนี้ ฉันจะพยายามเจรจาให้นาย เพื่อให้เราได้ไปที่บาร์เซโลน่าด้วยกันให้ได้ ตกลงไหม"
"ผมสัญญาว่าถ้าคุณเอาผมไปได้ คุณจะไม่เสียใจเลย ผมจะไปเรียนภาษาคาตาลันให้เข้าใจทุกอย่างภายใน 2 เดือน"
จริงๆมูรินโญ่ พูดได้ทั้ง โปรตุเกส, สเปน, ฝรั่งเศส และ อังกฤษอยู่แล้ว แต่เมื่อเขาจะไปอยู่ที่บาร์เซโลน่า มันก็ดีกว่าถ้าพูดคาตาลันได้ด้วย
ในที่สุด ร็อบสันก็ไฟต์ได้สำเร็จ เขาดึงมูรินโญ่ไปบาร์ซ่าได้ ในตำแหน่งของ "ล่าม" แต่จริงๆการเป็นล่าม ก็เป็นแค่ชื่อตำแหน่งเท่านั้น บทบาทของมูรินโญ่ คือเปรียบเสมือนโค้ชคนหนึ่ง
"โชเซ่ มีทัศนคติที่ดีมากๆ และกลุ่มผู้เล่นก็ยอมรับเขา ยิ่งด้วยความสามารถด้านภาษา ทำให้เขาสื่อสารกับนักเตะได้ดีกว่าที่ผมจะทำได้"
สำหรับมูรินโญ่ ยังคงทำเหมือนเดิมคือ ภักดีกับร็อบสันเสมอ ยิ่งพอมาอยู่บาร์ซ่าแล้ว มีเหตุการณ์ที่ต้องกระทบกระทั่งผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มูรินโญ่ จะคอยเป็นเกราะป้องกันให้ร็อบสันชั้นหนึ่งก่อนทุกๆครั้ง
ลู มาร์ติน นักข่าวจากเอล ปาอิส เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า "ครั้งหนึ่งมีนักข่าวแซวแรงๆใส่บ็อบบี้ ร็อบสัน ว่าโชเซ่ มูรินโญ่คือคู่ขาของเขาหรือเปล่า เพราะไม่ว่าจะไปไหน ก็มีมูรินโญ่ตามติดไปด้วยตลอด"
ปรากฏว่า มูรินโญ่สวนกลับไปทันที โดยไม่ต้องแปลให้ร็อบสันฟังว่า "เอาน้องสาวของคุณไปทริปกับเราสักคืนสิ แล้วเดี๋ยวจะได้รู้กันเลยว่า ผมเป็นคู่ขากับเขาหรือเปล่า"
2
มูรินโญ่ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ และช่วยร็อบสัน คว้า 3 แชมป์ คือโกปาเดลเรย์ , ซูเปอร์โคปา เดอ เอสปันญ่า และ คัพ วินเนอร์สคัพ
จบฤดูกาล 1996-97 ร็อบสันได้รับการโหวตให้เป็นโค้ชยอดเยี่ยมแห่งยุโรป ขณะที่โรนัลโด้ กองหน้าบราซิลของบาร์ซ่า ก็กล่าวยกย่องร็อบสันว่า "ในฐานะโค้ช ไม่มีข้อสงสัยเลย ร็อบสันคือหนึ่งในโค้ชที่เก่งที่สุดในโลก"
แต่แน่นอน คนที่ร็อบสัน ไม่ลืมที่จะขอบคุณก็คือโชเซ่ มูรินโญ่ ที่ทำให้ชีวิตของเขาที่บาร์เซโลน่าง่ายขึ้นมาก
ร็อบสันรู้ดีว่า อนาคตสักวันมูรินโญ่ต้องไปไกลแน่ และถ้ามูรินโญ่มีหนทางของตัวเอง เขาก็จะไม่รั้งมูรินโญ่ไว้เป็นผู้ช่วยเขาแน่นอน
หลังจบฤดูกาล 1996-97 บาร์เซโลน่า ดันตำแหน่งร็อบสัน จากโค้ช ไปเป็นผู้อำนวยการกีฬา ก่อนจะแต่งตั้งหลุยส์ ฟาน กัล เป็นเฮดโค้ชคนใหม่ของสโมสร
ฟาน กัล พูดภาษาสเปนได้เป็นอย่างดี ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ล่าม แถมยังมีทีมงานของตัวเองอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องใช้งานโชเซ่ มูรินโญ่อีก
แต่ก็เป็นบ็อบบี้ ร็อบสัน ที่ไปขอร้องฟาน กัล ให้เก็บมูรินโญ่เอาไว้ในทีมต่อไป เพราะมั่นใจว่าความสามารถของมูรินโญ่จะมีประโยชน์กับทีมแน่นอน
1
เมื่อฟาน กัล ได้รับคำขอร้องจากร็อบสัน จึงนั่งคุยกับมูรินโญ่ดู และปรากฏว่าฟาน กัล เองก็ชอบเช่นกัน
"เขาคือเด็กหนุ่มผู้เย่อหยิ่ง" ฟาน กัล กล่าว "แต่ผมชอบนิสัยนี้มากๆ เขาไม่ใช่เออออ ตามผมไปทุกอย่าง เขากล้ากล่าวแย้งเมื่อคิดว่าสิ่งที่ผมทำมันผิด"
ฟาน กัล จ้างมูรินโญ่เป็นผู้ช่วยโค้ชต่อไป และถึงตรงนี้ จากเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นจากการแปลภาษา ในช่วงเวลาแค่ 5 ปี เขาได้ซึมซับ เรียนรู้ และพัฒนาตัวเองจนกลายมาเป็น สตาฟฟ์ระดับแถวหน้าของวงการ
มูรินโญ่อาจออกสตาร์ตงานล่ามที่สปอร์ติ้ง ลิสบอน กับ ปอร์โต้ แต่ที่บาร์เซโลน่า คือจุดเริ่มต้นอย่างแท้จริงในอาชีพโค้ชของเขา
1
หลังจบฤดูกาล 1997-98 ร็อบสันลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาของบาร์เซโลน่า และไปรับงานคุมพีเอสวี ไอน์โฮเฟ่นอีกครั้ง ในช่วงสั้นๆ 1 ปี ก่อนจะรับงานเป็นผู้จัดการทีมที่ตัวเองเชียร์มาตั้งแต่เด็ก คือนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 1999-2000
1
ขณะที่มูรินโญ่ เป็นผู้ช่วยของฟาน กัล ไปจนถึงจบฤดูกาล 1998-99 และรู้สึกว่า เขาได้ความรู้ในฐานะผู้ช่วยมากพอแล้ว ตอนนี้ได้เวลาที่จะไปรับงานเป็นโค้ชตัวจริง ให้สโมสรสักแห่งที่พร้อมให้โอกาสเขา
จริงๆแล้ว ร็อบสัน เกือบได้ร่วมงานกับมูรินโญ่อีกครั้ง ในซีซั่น 1999-2000 เมื่อเขาโทรหาให้มูรินโญ่ มาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม ที่นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด โดยร็อบสันบอกให้มูรินโญ่มาเป็นผู้ช่วยสัก 2 ปี จากนั้นตัวเขาจะดันตัวเอง ขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการสโมสร และยกตำแหน่งผู้จัดการทีมให้มูรินโญ่สานต่อแทน
"บ็อบบี้ คงลืมไปมั้งว่าผมรู้จักเขาดี เขาไม่มีวันขึ้นไปเป็นผู้บริหารหรอก เพราะเขาจะออกจากสนามซ้อมก็ต่อเมื่อวางมือจากวงการฟุตบอลไปเลย เขาไม่ใช่คนประเภทดูนักเตะจากอัฒจันทร์หรอกนะ มันเป็นภาพที่ผมนึกไม่ออกจริงๆ ดังนั้น ผมจึงปฏิเสธความหวังดีของบ็อบบี้ไป"
"ผมรู้ว่าอีกไม่นานเวลาของตัวเองก็จะมาถึง"
เขาเคารพบ็อบบี้ ร็อบสัน แต่ก็รู้ใจตัวเองว่า มันได้เวลาแล้วที่เขาต้องเป็นผู้จัดการทีมตัวจริง ไม่ใช่ผู้ช่วยของใคร
ช่วงปี 1999-00 มูรินโญ่ใช้เวลาไปเรียนไลเซนส์เพิ่มเติม และสุดท้ายเมื่อเข้าสู่ ฤดูกาล 2000-01 ในที่สุดมูรินโญ่ก็ได้งานเฮดโค้ชครั้งแรก กับสโมสรเบนฟิก้า
จุดเริ่มต้นจากการเป็นล่ามที่ไม่มีตัวตนในโลกฟุตบอล ผ่านไป 8 ปี เขาได้กลายเป็นโค้ชในที่สุด และเรื่องราวจากนั้น ก็อย่างที่ทุกคนทราบกันดี มูรินโญ่เริ่มสร้างความยิ่งใหญ่ จนกลายเป็นยอดกุนซือของโลกในที่สุด
2
ในสายตาของคนนอก คนอย่างมูรินโญ่ คือชายผู้เย่อหยิ่งที่ไม่เคยยอมก้มหัวให้ใคร โลกนี้คงมีนับคนได้ ที่เขาศรัทธาจากใจจริง และหนึ่งในนั้นคือบ็อบบี้ ร็อบสัน
"คำสอนของบ๊อบบี้ ร็อบสันที่ผมจำได้ดี นั่นคือ เวลาคุณชนะ อย่าคิดว่าคุณเก่งกาจที่สุดในโลก เช่นกัน เวลาที่คุณแพ้ อย่าคิดว่าตัวเองกระจอกที่สุดในโลก นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตอีกเรื่อง ที่ผมได้เรียนรู้"
1
หลังจากแยกทางกันที่บาร์เซโลน่า เส้นทางของร็อบสัน กับมูรินโญ่ ก็ไม่เคยบรรจบกันอีก ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง แต่ทั้งคู่ก็มีมิตรภาพที่ดีให้กันเสมอมา
มูรินโญ่ ยกย่องร็อบสันคืออาจารย์ของเขาเสมอ เช่นเดียวกัน ร็อบสันก็ยอมรับว่า มูรินโญ่คือสตาฟฟ์ที่ซื่อสัตย์และจริงใจที่สุดเท่าที่เขาเคยร่วมงานด้วย
เซอร์บ๊อบบี้ ร็อบสัน เสียชีวิตในวันที่ 31 กรกฎาคม 2009 ด้วยวัย 76 ปี จากโรคมะเร็งปอด โดยมูรินโญ่ได้กล่าวคำอำลาในพิธีศพว่า
"มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่าเขาไม่ได้อยู่กับเราอีกต่อไปแล้ว แต่สำหรับผม เขาจะไม่มีวันตายไปจากความรู้สึกของทุกคน"
1
"สิ่งต่างๆที่เขาสร้างเอาไว้ มันแสดงให้เห็นว่าเขาคือสุดยอดโค้ช และยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นมนุษย์ที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งในโลกใบนี้"
"ผมไม่ได้คุยกับเขาในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เพราะมันเป็นเรื่องยากจริงๆสำหรับผม นั่นเพราะว่าผมไม่อยากจะรู้สึกว่าเขากำลังจะจากไปแล้ว ผมต้องการเก็บภาพอันสวยงามของผมกับบ๊อบบี้เอาไว้ในใจตลอด และเสียงลมหายใจสุดท้ายของเขา เป็นสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินจริงๆ"
"ผมจะเก็บเรื่องราวของบ๊อบบี้ ร็อบสัน เอาไว้ในความทรงจำตลอดไป นี่คือคนที่มีแพสชั่นอันแรงกล้าในโลกฟุตบอล เป็นคนที่มีความทุ่มเทใส่ใจในอาชีพของตัวเองอย่างน่าทึ่ง"
"บ๊อบบี้ ร็อบสัน จะไม่มีวันตาย สิ่งที่เขาทำจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ และสำหรับผม เขายิ่งใหญ่เกินกว่าผลแพ้ชนะในสนาม"
"และผมจะไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งเขาเคยให้โอกาสคนอย่างผม ได้เดินเคียงข้างเขา"
สำหรับโชเซ่ มูรินโญ่ เราจะสังเกตได้ว่า สิ่งที่เขาต้องการเสมอจากคนที่ร่วมงานด้วย คือความจงรักภักดีแบบ 100%
ทีมไหนนักเตะภักดี ซื่อสัตย์กับเขาเต็มร้อย เขาให้คืนกลับเกินร้อยเสียอีก
เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากการร่วมงานกับเซอร์บ๊อบบี้นั่นล่ะ เพราะตอนเขาแสดงความภักดีให้เซอร์บ๊อบบี้ สิ่งที่เขาได้กลับมา ก็คือโอกาส และความรู้ทุกอย่างที่อีกฝ่ายมี
ดังนั้น คนที่จะร่วมงานกับมูรินโญ่ ต้องรู้ว่าอยากได้ผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ก็ต้องเอาใจของตัวเองไปแลกมา
จริงๆนี่ก็ถือเป็นเรื่องพื้นฐานของทุกๆความสัมพันธ์น่ะนะ
ถ้าอยากได้ความรักจากเรา งั้นเอาความซื่อสัตย์ของเธอมาแลกกัน
#BobbyROBSON #Mourinho
โฆษณา