26 พ.ย. 2019 เวลา 12:09 • ความคิดเห็น
วิชาเรื่องสั้น 101 แบบมือสมัครเล่น : 4
ก่อนจะไปถึงเทคนิคอื่น ๆ ต่อไปในการเขียนเรื่องสั้นของเพจเรื่องสั้น ๆ (ที่มักเขียนจนยาวเฟื้อยทุกทีไป) วันนี้ขอยกตัวอย่างจากบทที่แล้วอีกครั้ง เพื่อมาทบทวนความรู้กันอีกทีกับ "ปืนของเชคอฟ"
ถ้าใครงง รบกวนช่วยกลับไปอ่านตอนก่อนหน้าจะเป็นพระคุณขอรับ จะได้เชื่อมโยงกันได้ราบรื่น
เราพูดถึงปืนของเชคอฟไปแล้ว ทั้งในมิติของเจ้าของทฤษฎีเอง และในมุมของแอดที่ตีความเอง วันนี้แอดเลยอย่างยกตัวอย่างการใช้งานปืนของเชคอฟที่ถูกวิธีและให้มีประสิทธิภาพ
ถ้าพูดถึงงานเขียน แอดต้องยอมรับว่าอ่านมาน้อย คิดตัวอย่างที่แบบว่าโดนใจสุด ๆ ยังไม่ได้ แต่สำหรับภาพยนต์กลับต่างออกไป
เนื่องด้วยวันก่อน ผมจำได้ว่าคุยกับเพจพี่มูฟวี่ ถึงปืนเชคอฟที่อานุภาพร้ายแรงที่สุดอันหนึ่งที่ผมเคยได้พบประสบมา แต่มันมาในรูปแบบภาพยนต์ ซึ่งภาพยนต์ที่ว่ามา หลายคนคงเคยชมแล้ว บางคนไม่เคยชม ถ้าจะข้ามเนื้อหาต่อไปก็อาจจะดี เพราะอาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของหนังได้ ซึ่งจำได้ว่าตอนหนังเข้าโรง มีเพื่อมาสปอยด์เนื้อเรื่อง เล่นเอาพาลจะโกรธกันเลยทีเดียว
หนังเรื่องที่ว่าคือหนังยืนหนึ่งใน 10 หนังในดวงใจของแอดเลย นั่นคือ...........(ช่วยนึกดนตรีประกอบเอาเอง)
"The sixth sense"
ว่าด้วยเรื่องของเด็กเห็นผี ที่ไม่เคยมีใครเชื่อกับคำพูดของเขา แม้กระทั่งแม่ของตัวเอง จนกระทั่งชายผู้เป็นจิตแพทย์เด็กปรากฎตัวขึ้นมา
เรื่องราวเล่าเรื่องต่าง ๆ ผ่านตัวละครหลักเพียงสามสี่คนเท่านั้น คือ จิตแพทย์ ภรรยาของเขา เด็กชายเห็นผี และแม่ของเขา และแน่นอนบรรดาผีตัวประกอบมากมายที่มาแบบหลอนสุด ไม่ต้องมีเพียงคำพูดสักคำ แต่ความหลอนจะติดอยู่ในสมองเราไปอีกหลายคืน แม้แต่ตอนเขียนอยู่นี่ แอดยังนึกภาพเหล่าผีในเรื่องได้เป็นอย่างดี
กลับไปที่เรื่องปืนของเชคอฟของเรากันต่อ
CREDIT: MOVIESTORE/SHUTTERSTOCK
เรื่องราวที่ค่อย ๆ ร้อยเรียงผ่านบทสนทนาสั้น ๆ ระหว่างตัวละคร ภาพที่หนังฉายให้เห็น ไม่ต้องมีคำอธิบายใด ๆ หนังค่อยข้างเงียบ และไม่มีเทคนิคอะไรมากมาย แต่ใครจะรู้เล่าว่า ปืนของเชคอฟมากมายหลายกระบอก ต่างถูกหยิบขึ้นมา ขึ้นนกรอ แล้ววางแขวนไว้ที่ฝาผนังกระบอกแล้วกระบอกเล่า โดยที่คนดูไม่ได้เฉลียวใจแล้วแม้แต่น้อย
ภาพความหมางเมินของภรรยาของจิตแพทย์
บทสนทนาของนักสังคมสงเคราะห์กับแม่ของเด็กเห็นผีและคุณหมอจิตแพทย์
"i see death people" คำพูดฮิตลั่นบ้านลั่นเมืองของเด็กเห็นผีที่นอนหนาวสั่นบนเตียงขณะคุยกับจิตแพทย์
บานประตูห้องใต้บันไดที่ถูกปิดล๊อคไว้เสมอ
ลูกบิดมันวาวของห้องนอนเด็กหญิงที่ตายไปแล้วของครอบครัวหนึ่ง
Photo: Touchstone Home Entertainment
และ....แหวนแต่งงาน ที่กลิ้งไปบนพื้นจนเสียงกลบความเงียบงันทั้งปวงไปสิ้น
พอตอนจบของเรื่องมาถึง เหล่าปืนของเชคอฟที่ขึ้นนกไว้ ก็พร้อมระดมยิงกันมาที่คนดูอย่างไม่ยั้งมือ จนคนดูต้องร้องครวญด้วยความเจ็บปวด ราวกับโดนหนังตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแก้มบวมช้ำ และน้ำตาริน แล้วทุกอย่างก็สลายเหลือเพียงเขม่าควันจาง ๆ จากปากกระบอกปืนที่ระดมยิงจนลำกล้องร้อนระอุ
The sixth sense เป็นหนังที่เหมาะสำหรับการศึกษาเรื่องการวางพล๊อตเรื่อง การวางกับดักของผู้เล่า การใช้พล๊อตทวิตหรือการหักมุมจบที่ส่วนตัวแอดเองคิดว่าเรื่องนี้คือ ยืนหนึ่งเรื่องเหล่านี้
อาจมีหลายคนบอกว่ามีเรื่องอื่นที่ดีกว่า ยอมรับว่าใช่ แต่แอดชื่นชอบเรื่องนี้ที่สุด เพราะมันมีปมซ้อนปม ความรัก ความสงสัย ความพรั่นพรึง ความตาย น้ำตา การหักหลัง ความอบอุ่น และความสุข คละเคล้ากับอย่างสมบูรณ์ในเรื่องราวที่มีตัวละครเพียงน้อยนิด
https://www.unilad.co.uk/featured/the-sixth-sense-has-a-second-twist-youve-never-noticed/
และปืนของเชคอฟกระบอกที่รุนแรงที่สุดสำหรับแอดในเรื่อง the sixth sense ก็คือบทนี้
บทสนทนาของเด็กเห็นผีกับคุณแม่ของเขาในรถที่ติดยาวเหยียดเพราะเกิดอุบัติเหตุข้างหน้า ขออนุญาตยกบทสนทนามาให้อ่านทั้งหมดแบบไม่แปล เพราะแอดแปลคงไม่งดงามเท่าบทแปลไทยที่แปลไว้ในตอนนั้นแน่นอน ขอให้อ่านเอาเองกันตามสะดวก
Cole Sear (เด็กชาย): You know the accident up there?
Lynn Sear (แม่ของเขา): Yeah.
Cole Sear: Someone got hurt.
Lynn Sear: They did?
Cole Sear: A lady. She died.
Lynn Sear: Oh, my God. What, you can see her?
Cole Sear: Yes.
Lynn Sear: Where is she?
Cole Sear: Standing next to my window.
Lynn Sear: Cole, you're scaring me.
Cole Sear: They scare me too sometimes.
Lynn Sear: They?
Cole Sear: Ghosts.
บทสนทนาที่เด็กชายพยามยืนยันว่าเขาเห็นผีจริง ๆ แม้ว่าแม่จะพยายามเชื่อเขาบ้างแล้ว แต่ก็ดูจะคลางแคลงอยู่บ้าง แต่เด็กชายกลับมีความมั่นใจที่จะบอกกล่าว และยืนยันว่าเขาไม่ได้ผิดปกติ เขาก็กลัวกับสิ่งที่เกิด และหวังว่าแม่จะเชื่อและเข้าใจเขา จึงนำไปสู่บทสนทนาต่อไปซึ่งนั่นคือปืนที่อานุภาพรุนแรงที่สุดในเรื่องนี้สำหรับแอด
Cole Sear: [about his grandmother] She wanted me to tell you...
Lynn Sear: Cole, please stop...
Cole Sear: She wanted me to tell you she saw you dance.
She said, when you were little, you and her had a fight, right before your dance recital. You thought she didn't come see you dance.
She did.
She hid in the back so you wouldn't see. She said you were like an angel.
.
.
.
She said you came to the place where they buried her.
Asked her a question?
She said the answer is... "Every day." What did you ask?
Lynn Sear: [Crying] "Do I make her proud?".
แล้วทั้งคู่ก็กอดกันร้องไห้อย่างไม่ต้องเอ่ยคำใด ๆ อีก
บทสนทนาสั้น ๆ ที่เป็นการเล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบได้ในบทสนทนาเพียงไม่ถึงสามนาที
คำพูดไม่กี่คำ แต่ฉานเห็นภาพพื้นหลังได้โดยที่ไม่ต้องบรรยายอะไรเพิ่มเติม ภาพแม่ที่หลุมศพยายที่พกความครางแคลงใจในความรักที่แม่มีให้ พกติดตัวมาตลอดชีวิต คำพูดที่แม่พร่ำถามกับหลุมศพที่ไร้คำตอบ แต่ทว่ามันถูกตอบผ่านลูกชายตรงหน้า ลูกชายที่เธอคิดว่าเขาบ้าและผิดปกติมาตลอด เปล่าเลย...เธอผิดมหันต์
ตอนนี้ปมทุกอย่าง ทั้งความทุกข์ในใจของแม่ที่มีต่อความรักของยาย ความสงสัยที่มีต่อลูกชาย และความไว้เนื้อเชื่อใจที่พึงมีของคนในครอบครัว ทุกอย่างถูกขมวดจบด้วยบทสนทนาเรียบง่ายข้างบน แล้วน้ำตาของผมก็ไหลออกมา
the sixth sense นับเป็นหนังเรื่องเยี่ยมเรื่องหนึ่งที่จะสอนวิธีการเล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง เส้นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับเวลา แต่ต้องมีเทคนิคในการนำเสนอ พล๊อตย่อยที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ผ่านโลกหลังความตายของมนุษย์อีกคน และจุดพลิกของเรื่องและการวางจุดสำคัญที่บอกใบ้จุดจบของเรื่องไว้ตลอดรายทางโดยที่คนอ่านหรือคนดูไม่ได้ระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย
ถ้าอยากฝึกวิธีการเล่าเรื่องและนำเสนอพล๊อตแบบหักมุมจบ ขอแนะนำ the sixth sense เป็นหนังในดวงใจของแอดไว้เลย ถ้ามีโอกาสต้องหามาชมสำหรับคนที่พลาดไป ส่วนคนที่เคยดู บองกลับไปดูอีกครั้ง อาจได้พบแรงบันดาลใจใหม่ ๆในงานเขียนของเราก็เป็นได้ครับ
แล้วพบกันใหม่ ถ้านึกอะไรออก วันนี้สวัสดีพี่น้องสั้น ๆ ทุกคนคร้าบบบบ
โฆษณา