26 พ.ย. 2019 เวลา 07:17 • กีฬา
แมตช์สุดคลาสสิคในตำนาน ผีแดงตามหลัง 3-0 ในครึ่งแรก แต่จบเกมชนะ 3-5 นี่คือเกม สเปอร์ส vs แมนฯยูไนเต็ด ที่แฟนบอลอังกฤษยังนึกถึงเสมอ
ถ้าจะพูดถึงสักเกมในพรีเมียร์ลีก ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แสดงให้เห็นถึง "คลาส" ของแชมเปี้ยน เกมที่ผู้คนจะคิดถึงอันดับแรกๆ ย่อมหนีไม่พ้น เกมเจอสเปอร์ส ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2001-02
นี่เป็นเกมที่แมนฯยูไนเต็ด แสดงให้เห็นอย่างแท้จริงว่าพวกเขาเหนือชั้นขนาดไหน ทั้งจิตใจ และฝีเท้า
สเปอร์สนำก่อน 3-0 แต่สุดท้าย เกมจบลงที่ปีศาจแดงชนะ 5-3 มันคือความสวยงาม หมดจด และปิดฉากแบบเพอร์เฟ็กต์ที่สุด
ด้วยความที่แมนฯยูไนเต็ด โดนเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดนำ 2-0 และยิงรัวสามเม็ด คัมแบ็กกลับมาเป็น 3-2 จนเกือบชนะ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้มีความรู้สึก แว้บคิดถึงแมตช์นี้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในวันที่ 29 กันยายน 2001 แมนฯยูไนเต็ด ในฐานะแชมป์ลีก 3 สมัยซ้อน ไปเยือนสเปอร์ส ที่จัดเต็มผู้เล่นลงบู๊ เราจะย้อนเวลากลับไปถึงแมตช์นั้นอีกครั้ง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาเยือนด้วยความไม่มั่นใจนัก เกมเยือน 2 นัดหลังสุด พวกเขาแพ้นิวคาสเซิลมา 4-3 ตามด้วยแพ้เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า ในแชมเปี้ยนส์ลีกไป 2-1
ทีมกำลังต้องการความมั่นใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จึงจัดเต็มส่งผู้เล่นชุดดีที่สุดที่มีลงสนาม
นายทวารฟาเบียน บาร์กเตซ กองหลังสี่คนใช้ แกรี่ เนวิลล์, เดนนิส เออร์วิน, รอนนี่ ยอห์นเซ่น และโลรองต์ บล็องค์
1
กองกลางขาดแค่รอย คีน ที่ติดโทษแบน และไรอัน กิ๊กส์ที่ร่างกายไม่สมบูรณ์ แต่ตัวอื่นก็ยังจัดจ้าน เดวิด เบ็คแฮม, นิคกี้ บัตต์, พอล สโคลส์ และ ฮวน เซบาสเตียน เวรอน ส่วนคู่หน้า ใช้แอนดี้ โคล กับ รุด ฟาน นิสเตลรอย
เป็นชุดผู้เล่นที่แข็งแกร่งมากๆทีเดียว และพร้อมบดขยี้คู่แข่งให้ตาย เกมนี้เฟอร์กี้ ต้องการเอาชนะให้ได้
ขณะที่สเปอร์ส ก็จัดตัวดีที่สุดเท่าตัวเองมี ผู้จัดการทีมเกล็น ฮอดเดิ้ล เล่นอย่างระวัง โดยใช้ระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก นายทวารคือ นีล ซุลลิแวน กองหลังประกอบไปด้วย มี ดีน ริชาร์ดส์ ที่เพิ่งซื้อตัวมาในราคา 8.1 ล้านปอนด์จากเซาธ์แฮมป์ตัน ,กัปตันทีมเล็ดลีย์ คิง และ คริส เพอร์รี่ เป็นเซ็นเตอร์ ส่วนเมาริซิโอ ทาริกโก้ กับ คริสเตียน ซีเก้ เล่นเป็นแบ็กขวา-ซ้าย ตามลำดับ
1
มิดฟิลด์ใช้กุสตาโว่ โปเยต์ ,ดาร์เรน แอนเดอร์ตัน และ สเตฟเฟ่น ฟรอยด์ ขณะที่กองหน้าคู่ ใช้ เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม กับ เลส เฟอร์ดินานด์
ตัวผู้เล่นในภาพรวมแมนฯยูไนเต็ด ดูดีกว่าแน่นอน แต่สเปอร์สเกมนี้ พวกเขาเองก็ต้องตั้งใจเล่นเต็มที่ เพราะตั้งแต่เปิดซีซั่นมา เล่นในบ้าน 3 นัด ชนะไปแค่ 1 นัดเท่านั้น แฟนบอลก็เพิ่มแรงกดดันว่าในเกมใหญ่อย่างนี้ สมควรที่จะชนะสวยๆให้แฟนได้ประทับใจ
ออกสตาร์ตมา 15 นาที สเปอร์ส นำ 1-0 คริสเตียน ซีเก้ เปิดเตะมุม มาที่เสาแรก ดีน ริชาร์ดส์ ตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อ โหม่งทำประตูได้ทันทีตั้งแต่เกมแรก บอลพุ่งผ่านมือบาร์กเตซเข้าไป สถานการณ์ของปีศาจแดงไม่ดีเลยจริงๆ
1
ทรงเกมสเปอร์สดีกว่าเยอะ นาที 25 กุสตาโว่ โปเยต์ แทงคิลเลอร์พาส ให้เลส เฟอร์ดินานด์ หลุดกับดักล้ำหน้ายิงเรียดผ่านบาร์กเตซเข้าไปอย่างเฉียบขาด ยิ่งเล่นสเปอร์สยิ่งได้ใจ
เฟอร์กี้ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ เขาต้องแก้เกมทันที นาที 40 นิกกี้ บัตต์ โดนเปลี่ยนตัวออก แล้วส่งโอเล่ กุนนาร์ โซลชาลงแทน โดยขยับเอาเวรอน มาเล่นคู่กลางกับสโคลส์ แล้วถ่างโซลชาไปเล่นปีกซ้ายชั่วคราวก่อน
แต่แมนฯยูไนเต็ดก็ยังไม่ได้เล่นดีขึ้น พวกเขาไม่มีทรงเลย แถมยังขาดสมาธิอีกต่างหาก เกมนี้ทดเจ็บครึ่งแรก 3 นาที แต่ก่อนที่ผู้ตัดสินจะเป่า สเปอร์สได้บุกเพลย์สุดท้าย โปเยต์ครอสบอลเข้ากลาง ให้คริสเตียน ซีเก้ โหม่งเต็มหัวเข้าไป สกอร์ห่างเละเทะ 3-0
เกมควรจะจบแล้ว ในเกมฟุตบอลระดับนี้ เมื่อคุณนำคู่แข่ง 3 ลูกในบ้านตัวเอง ไม่มีเหลี่ยมใดๆ ที่จะคัมแบ็กกลับมาได้อยู่แล้ว
แฟนๆแมนฯยูไนเต็ด ที่ตามมาเชียร์ที่ไวท์ฮาร์ทเลน ร้องเพลงเอาฮา ว่า "เดี๋ยวคอยดู เราจะกลับมาชนะ 4-3" ซึ่งแฟนสเปอร์ส ก็ขำตามไปด้วย แหม ทำไมยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีกเนี่ยะ
กรรมการเจฟฟ์ วินเทอร์ เป่านกหวีดจบครึ่งแรก สีหน้าของนักเตะยูไนเต็ด ทุกคนเต็มไปด้วยความผิดหวังและดูหมดกำลังใจ แต่มีหนึ่งคน ที่สีหน้านิ่งไม่เปลี่ยน เขาคือเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่มีใครรู้ว่า เฟอร์กี้คิดอะไรอยู่ วินาทีนั้น
บรรยากาศในห้องแต่งตัว เต็มไปด้วยความมาคุ ระดับทีมแชมป์เก่า 3 สมัยซ้อน โดนนำ 3 ลูกในครึ่งแรก ไม่ใช่เรื่องปกติ
สิ่งที่เฟอร์กี้จะทำมี 2 อย่าง อย่างแรกคือแก้แท็กติก เขาปรับเอาโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่ลงสนามไปแล้ว ดันไปเล่นกองหน้า และเปลี่ยนจาก 4-4-2 มาเล่น 4-3-3
แผงมิดฟิลด์ ดันเบ็คแฮมจากปีกขวา มาเล่นด้านใน ร่วมกับพอล สโคลส์ และฮวน เวรอน ส่วนแดนหน้าก็ใช้ แอนดี้ โคล - ฟาน นิสเตลรอย และ โซลชาเล่นด้วยกัน
รวมถึงเปลี่ยนตัวผู้เล่นเป็นคนที่ 2 คือส่งมิกาแอล ซิลแวสตร์ ที่มีพลังมากกว่า ลงแทนเดนิส เออร์วิน ในตำแหน่งแบ็กซ้าย เพื่อช่วยเติมเกมเต็มสูบ
อย่างที่ 2 ที่เฟอร์กี้จะทำ คือต้องเตือนนักเตะให้รู้ว่าเกมยังไม่จบ เรียกสตินักเตะกลับมาให้เร็วที่สุด
จริงๆเกมกับสเปอร์สนัดนี้ จะเป็นเกมสุดท้ายก่อนพักเบรกทีมชาติ เชื่อว่านักเตะหลายคนใจลอย ไปคิดถึงเกมทีมชาติกันแล้ว โดยเฉพาะนักเตะทีมชาติอังกฤษ ที่จะมีโปรแกรมพบกรีซ ในนัดชี้ชะตาว่า อังกฤษจะได้ผ่านไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 รอบสุดท้ายที่ เกาหลีใต้ กับญี่ปุ่น หรือไม่
1
ซึ่งเรื่องราวฟรีคิกบันลือโลก ของเดวิด เบ็คแฮม ที่ยิงใส่กรีซทดเจ็บ พาอังกฤษไปบอลโลก จะเกิดขึ้นในอีก 1 สัปดาห์ต่อจากนี้นี่แหละ
1
แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ในวินาทีนี้ เฟอร์กูสันจะยอมให้นักเตะเสียสมาธิไม่ได้ ในห้องแต่งตัวนาทีนั้น มีเขาแค่คนเดียวที่เชื่อว่าทีมยังคัมแบ็กกลับมาได้
นักเตะในห้องแต่งตัวทุกคนเงียบกริบ แต่ละคนคาดหวังว่าเฟอร์กี้จะวิ่งมาหวดข้าวของให้เละเทะ และตะโกนด่าให้กระจุยแบบที่เคยเป็นมา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้นักเตะปีศาจแดงเซอร์ไพรส์คือ เฟอร์กูสันไม่ได้ระเบิดลงเหมือนอย่างที่คาด ตรงข้าม เขากลับใจเย็นเกินคาด และพูดด้วยความเยือกเย็นแทน
"พวกแกเล่นฟุตบอล แบบไม่ให้เกียรติแฟนบอลตัวเองเลย" เฟอร์กี้เริ่ม
ในมุมของเฟอร์กูสัน เขาคิดว่าทีมระดับแชมป์เล่นบอลแบบนี้ มันไม่ได้แคร์ใจแฟนบอลที่ตามมาเชียร์ถึงลอนดอนเลย โดนนำ 3-0 ขนาดนี้ แฟนบอลย่อมโดนล้อ โดนแซว จนหน้าแทบจะมุดดินหนี ถามหน่อยว่านักเตะไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำงั้นหรือ
จากนั้นเฟอร์กี้ นั่งลงและพูดต่อ "เอาล่ะ นี่คือสิ่งที่เราจะทำต่อจากนี้ไป เราจะเริ่มกันก่อนที่ประตูแรก ยิงให้ได้เร็วๆในครึ่งหลัง แล้วจากนั้น เรามาดูว่าไอ้ประตูนี้ มันจะพาเราไปไกลแค่ไหน"
"เราจะบุกโจมตีพวกมันทันที และเอาประตูแรกมาให้ได้"
เฟอร์กูสันมั่นใจว่า การโดนนำ 3-0 มันไม่เกี่ยวกับเรื่องฝีเท้า แต่เป็นเรื่องสติ และสมาธิมากกว่า พอโดนยิงแล้วก็หลุดยาว คือถ้าหากนักเตะกลับมาสู่ความมั่นใจเดิมๆของตัวเอง แล้วมาเทียบศักยภาพผู้เล่นกันในสนาม ยังไงแมนฯยู ก็ดูดีกว่า
แต่การเรียกความมั่นใจคืนมา สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มจากประตูแรก ต้องใจเย็นๆ อย่างเพิ่งมองไกลว่าทีมจะตีเสมอได้ เพราะทุกอย่างต้องเริ่มจากก้าวแรกเสมอ
หลังเดินออกมาจากห้องแต่งตัว เฟอร์กี้ ได้ยินเสียงทีมสเปอร์ส กำลังประชุมกันอยู่ เท็ดดี้ เชอริงแฮม อดีตนักเตะปีศาจแดงที่เพิ่งย้ายไป กระตุ้นแข้งไก่เดือยทองว่า "เอาล่ะ อย่าปล่อยให้พวกเขายิงเราได้เร็วนะ"
บรรยากาศของฝั่งยูไนเต็ด มีความตึงเครียด และจริงจัง ตรงข้ามกับฝั่งสเปอร์สที่ผ่อนคลายมากๆ นักเตะในทีมคิดว่าตัวเองชนะแล้ว
แมทธิว เอเธอริงตัน ตัวสำรองของสเปอร์ส เล่าบรรยากาศช่วงพักครึ่งว่า "การนำ 3-0 คุณก็คิดได้เลยว่าเกมจบแล้ว เกล็น ฮอดเดิ้ล มั่นใจมาก และสีหน้ามีความสุขจริงๆ พวกเราทุกคนไม่มีใครรู้เลยว่า อะไรกำลังจะเกิดขึ้นในครึ่งหลัง"
เกมครึ่งหลังที่แสนระทึกใจ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เริ่มเกมครึ่งหลัง 45 วินาที แมนฯยูไนเต็ด ใช้การต่อบอลอันเหนือชั้น เดวิด เบ็คแฮม จ่ายบอลให้แกรี่ เนวิลล์ที่โอเวอร์แล็ปขึ้นมา ครอสบอลเข้ากลางถึงแอนดี้ โคล ที่พุ่งโหม่งเข้าไป สกอร์ขยับเป็น 3-1
บรรยากาศของแมนฯยูไนเต็ดเริ่มดีขึ้น แต่สีหน้าของเฟอร์กูสันที่ซุ้มม้านั่งสำรองยังอ่านยากเหมือนเดิม เขาไม่ได้มีท่าทีดีใจอะไรเลย
แมนฯยูไนเต็ด เมื่อปรับแผนมาใช้ 3 มิดฟิลด์ ทำให้ตรงกลางแข็งแกร่งมาก เบ็คแฮม-สโคลส์-เวรอน เมื่อเทียบตัวต่อตัวกับ 3 กองกลางสเปอร์ส แอนเดอร์ตัน-โปเยต์-ฟรอยด์ ดูเหลี่ยมไหนก็เหนือกว่า ส่งผลให้ตรงกลางปีศาจแดงครองบอลแบบเบ็ดเสร็จ
ขณะที่แกรี่ เนวิลล์ ที่ดูเงียบๆในครึ่งแรก เข้าครึ่งหลังก็เติมเกมกระจุยเหมือนกัน
นาทีที่ 57 แมนฯยูไนเต็ดได้เตะมุม เบ็คแฮมเล็งไปที่โลรองต์ บล็องค์ ที่ยืนตรงจุดโทษ แต่กองหลังสเปอร์สเคลียร์ได้ เป็นเตะมุมครั้งที่ 2 คราวนี้เบ็คแฮม เตะย้ำไปใกล้ๆจุดเดิม ให้บล็องค์คนเดิมอีกครั้ง โหม่งเต็มๆหัวเข้าประตูไป
1
นี่เป็นประตูแรกของโลร็องต์ บล็องค์ นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่แมนฯยูไนเต็ดอีกด้วย
สเปอร์สนั้นรับมือกับลูกด้านข้างไม่ได้เลย แมนฯยูเกือบตีเสมอได้ จากลูกเปิดของเบ็คแฮมอีกครั้ง คราวนี้มาเข้าหัวรอนนี่ ยอห์นเซ่น แต่โหม่งออกไปนิดเดียว
คือเมื่อกองกลาง 3 ตัวของสเปอร์สสู้แมนฯยูไม่ได้ บางทีวิงแบ็กสองข้าง ซีเก้ กับ ทาริกโก้ ก็ต้องขยับมาช่วยตรงกลางด้วย ซึ่งนั่นเป็นการเปิดช่องให้ แบ็กขวาแมนฯยู เนวิลล์ และแบ็กซ้ายคือมิกาเอล ซิลแวสตร์ ได้เติมเกมอย่างเมามันส์
สกอร์ตอนนี้ คือ 3-2 แต่โมเมนตั้ม เป็นของยูไนเต็ดอย่างสมบูรณ์ ในครึ่งแรกสเปอร์สยิงตรงกรอบ 3 หน แต่ครึ่งหลังเกมบุกหายไปอย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาไม่มีโอกาสได้ยิงอีกเลย
ทรงเกมตอนนี้ ภาษาบอลคือเล่นแบบรอโดน
นาทีที่ 71 ดาร์เรน แอนเดอร์ตัน โดนเพรสซิ่งจนแย่งบอลไปได้ โซลชาเล่นสวนกลับเร็วทันที จ่ายให้แอนดี้ โคล ป้ายออกซ้ายสุดให้ ซิลแวสตร์ ครอสเข้ากลางให้รุด ฟาน นิสเตลรอย โหม่งเต็มหัว ตีเสมอเป็น 3-3
3 ประตูของแมนฯยูไนเต็ด มาจากการโหม่งทั้งหมด สเปอร์สปั่นป่วนสุดๆแล้ว
ปัญหาคือ เกล็น ฮอดเดิ้้ล รู้ตัวช้าเกินไปว่าต้องแก้เกมแล้ว ขนาดโดนตีเสมอ 3-3 ขนาดนี้ เขายังไม่เปลี่ยนตัวผู้เล่นแม้แต่คนเดียว ส่งผลให้ผู้เล่นในสนามต้องแก้สถานการณ์กันเอง
นาทีที่ 76 แมนฯยูไนเต็ด ล่อหลอกว่าจะโจมตีด้วยการบอมบ์เข้าไป เบ็คแฮม ด้านขวาสุด ครอสบอลไปซ้ายสุดให้ซิลแวสตร์ ในขณะที่กองหลังสเปอร์ส ถ่างไปปิดริมเส้น ยูไนเต็ดเจาะตรงกลางทันที พอล สโคลส์ คิดเร็วทำเร็ว จ่ายให้โซลชา แปะเบาๆให้ฮวน เวรอน ที่เติมขึ้นมา ตะบันเต็มซ้าย เสียบเสาสองเข้าไป
แมนฯยูไนเต็ด จากตาม 3-0 พลิกแซงเป็น 3-4! และคราวนี้เซอร์อเล็กซ์ มีรอยยิ้มเป็นครั้งแรกในเกมนี้
1
กว่าเกล็น ฮอดเดิ้ลจะรู้ตัวว่า ต้องแก้เกมแล้ว ก็ผ่านไปถึงนาทีที่ 84 เขาส่งเซอร์เก เรบรอฟ ลงแทนดาร์เรน แอนเดอร์ตัน คือส่งตัวบุกลงมาลุย เพื่อยิงคืนให้ได้
แต่เวลามันน้อยเกินไปแล้วที่จะคัมแบ็ก ตรงข้าม แมนฯยูไนเต็ดยิ่งเล่นยิ่งได้ใจ นาที 86 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ครอสบอลจากด้านซ้าย มาถึงเดวิด เบ็คแฮม ปั่นบอลเปรี้ยงเสียบเสาสองแบบสุดคมจริงๆ
หลังจากแอสซิสต์มาตลอด เบ็คแฮม แสดงให้เห็นทักษะในการยิงประตู ว่าถ้าได้ซัด เขาเองก็คมไม่แพ้ใครเหมือนกัน
สกอร์ขยับเป็น 5-3 และเกมโอเวอร์ สเปอร์สไม่มีทรงใดๆทั้งสิ้นในครึ่งหลัง และสุดท้ายเกมจบลงไปด้วยสกอร์นี้
ความเหลือเชื่อคือแมนฯยูใช้แค่ครึ่งหลังในการยิง 5 ลูก และเป็นการมายิงที่ไวท์ ฮาร์ท เลน ซะด้วย ในสถานการณ์ที่ทีมตามหลัง 3 เม็ด
ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดง่ายๆ แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว เฟอร์กี้ทำได้จริงๆ
ในเกมนี้ฝั่งสเปอร์ส ถือว่าเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย
"มันทรมานมาก มันยากจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น" กุสตาโว่ โปเยต์เผย "ผมไม่อยากจะออกจากห้องแต่งตัวเลย คืออยากจะซ่อนอยู่ในนั้นไปตลอด"
"มันแย่ เพราะตอนจบครึ่งแรก เราคิดว่าเราคือทีมที่ดีที่สุดของลีก แต่พอจบเกม เรารู้สึกว่าเราคือทีมกระจอกที่สุดของลีก เรื่องแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย และเป็นผลการแข่งขันที่ยากจะอธิบายจริงๆ"
ขณะที่นอกสนาม มีแฟนสเปอร์สรายหนึ่ง กะว่าจะได้เงินฟรีๆ เลยไปแทงบอลกับ บ่อนถูกกฎหมายที่อังกฤษตอนพักครึ่ง ว่าสเปอร์สจะชนะหลังจบ 90 นาที โดยเรตราคาตอนนั้นอยู่ที่ แทง 16 ได้ 1
โดยแฟนบอลคนดังกล่าว ลงเงินไป 10,000 ปอนด์ ซึ่งถ้าจบเกมสเปอร์สชนะ ก็จะได้เงินกลับคืนมา ราวๆ 650 ปอนด์ ดูเป็นการแทงบอลที่ไม่คุ้มเลย แต่ความคิดของคนคนนี้ ก็มองว่า ถึงเงินได้น้อย แต่ได้ชัวร์
ปรากฏว่า ผลออกมาเป็นแบบนี้ นอกจาก 650 ปอนด์ที่หวังไว้จะไม่ได้แล้ว ยังเสียเงินก้อนของตัวเอง 10,000 ปอนด์ให้บ่อนอีกต่างหาก
คือกะจะตีกินนิ่มๆ แต่คงลืมไปว่าเกมฟุตบอล มันพลิกได้ตลอดจริงๆ
สำหรับสเปอร์ส นี่คือความเจ็บปวดของทุกคน นักเตะ โค้ช แฟนบอล คือซึมเศร้ากันไปอีกนานเลย
แต่ตรงข้ามกับฝั่งยูไนเต็ด ที่แสดงให้โลกได้เห็นถึงความยอดเยี่ยมอีกครั้งของโค้ช และนักเตะที่เล่นสมราคาแชมเปี้ยน
เดวิด เบ็คแฮม ได้สวมปลอกแขนกัปตันแมนฯยู เป็นครั้งแรกในนัดนี้ ได้แสดงสปิริตให้เห็นว่า เขาสามารถพาทีมที่ตามหลังคัมแบ็กกลับมาได้ บุคลิกของความเป็นผู้นำของเบ็คส์ เฉิดฉายให้เห็นในวันนี้ล่ะ
1 แอสซิสต์ 1 ประตู และมีส่วนร่วมกับเกมตลอด นี่ถือเป็นเกมที่ดีของเบ็คแฮม
กลุ่มตัวสำรองส่งลงมา กลายเป็นโจ๊กเกอร์ที่เล่นได้เข้าแผนมากๆ มิกาเอล ซิลแวสตร์ ทำแอสซิสต์ไป 1 ลูก ขณะที่โอเล่ กุนนาร์ โซลชา แอสซิสต์ไป 2 ลูก
การยิงประตู 5 ลูก เกิดจากนักเตะ 5 คน และมีการยิงทุกสไตล์ครบ โหม่ง เท้าซ้าย เท้าขวา
รวมถึงวิธีการเข้าทำ มีการเจาะฝั่งซ้าย เจาะฝั่งขวา เจาะตรงกลาง มากันทุกทิศทาง
แอนดี้ โคล กองหน้าที่ทำประตูได้ในเกมนั้น บอกว่าความรู้สึกส่วนตัวของเขา เกมนี้ เขารู้สึกมีความหมายทัดเทียมกับเกมนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ปี 1999 ที่ชนะบาเยิร์น มิวนิคเลยทีเดียว การคัมแบ็กกลับมาได้กับสเปอร์ส มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้น
และเกมนี้ แม้ปัจจุบันจะผ่านมานานถึง 18 ปีแล้ว แต่ผู้คนก็ยังย้อนกลับไปคิดถึงเสมอ ถึงสปริตอันแรงกล้า การแก้แท็กติกที่เฉียบคม และ ความสามารถสุดยอดของนักเตะแมนฯยูไนเต็ด ที่พร้อมจะคัมแบ็กกลับมาเสมอ ตราบเท่าที่นกหวีดจบเกมยังไม่ดัง
และก็เชื่อเหลือเกินว่า แฟนแมนฯยูไนเต็ดในปัจจุบัน ย้อนไปคิดถึงเกมเหล่านี้ทีไร ก็อยากให้สปิริตความแข็งแกร่งเหล่านี้กลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน
โฆษณา