27 พ.ย. 2019 เวลา 02:54 • ท่องเที่ยว
ตอนที่ ๓ ภูเขาหินหัวใจแตกสลาย : คีร์กิซสถาน ดินแดนแปลกใหม่ที่น่าสนใจ
หลังอาหารเช้าแล้ว ก็ลาโรงแรม​ Caprice ขอบคุณที่ทำให้หลับรวดเดียวเมื่อคืนที่ผ่านมา ถ่ายใช้ชมสถานที่นิดหนึ่ง สังเกตภาพสุดท้ายซิครับ​ กาฝากครับ​ ไม่แน่ใจว่าที่อิตาลีหรือไม่ที่มีกาฝากเหล่านี้มาก​ ทั้งนี้ ชาวบ้านได้นำกาฝากเหล่านี้มาเป็นกระเช้าใส่ของในวันคริสต์มาสเรียกว่า​ "มิสเชิ้ลโท" ไงครับ
แล้วก็ได้เดินทางถึงเมืองโชลพอน อะทา (Cholpon-Ata) เมืองนี้ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านเหนือของทะเลสาบอีสซิค คูล และยังเป็นศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดอีสซิค คูล อีกด้วย
เนื่องจากเมืองนี้ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลสาบฯ จึงมีที่พักโรงแรมและรีสอร์ทมากมาย ในหน้าร้อนมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาที่เมืองนี้
ผ่านสนามกีฬากลุ่มชนเร่รอน​ (World​ ​Nomad Stadium) ผ่านเฉยๆ​ ไม่ได้แวะหรอกครับ
ถึงพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง (Museum of Petroglyphs) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีก้อนหินก้อนโตๆ จำนวนมากตั้งอยู่ ก้อนหินมากยังไม่พอ ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ อีก
เป็นก้อนหินที่คนยุคโบราณเข้ามาตั้งหลักแหล่งในบริเวณนี้ ทั้งนี้ ได้แกะสลักรูปภาพสัตว์ต่างๆ มากมาย​ ให้ชมภาพทั่วไปก่อนนะครับ​ แล้วค่อยชมก้อนหินภาพสัตว์ต่างๆ​ ในตอนหลังครับ
บริเวณอันกว้างใหญ่นี้ ไกด์คีร์กิซบอกว่ามีคน ๒ ชนเผ่า เคยอาศัยอยู่คือเผ่าเตอร์กีซและเผ่าชักกามี มีทางเดินเป็นแนวเขตแดน​ครับ
ค่าเข้าชม​คนละ​ ๔๐ บาท​ ตอนเข้ามาตอนแรก ยังเช้าเกินไปที่เจ้าหน้าที่เก็บเงิน​มาถึง แต่เมื่อตอนที่คณะกลับเจ้าหน้าที่เพิ่งเข้ามา ทัวร์จึงไปจ่ายเงิน
รูปภาพที่แกะเป็นรูปสัตว์ต่างๆ​ ที่อยู่มากมายบนก้อนหิน​ เช่น​ คนล่าสัตว์​ นกอินทรีย์​ แพะภูเขา​และภาพคนล่านกอินทรีย์​ เป็นต้นนั้น มีภาพเหล่านี้มีประมาณ​ ๑,๐๐๐ กว่าภาพ​ และมีอายุระหว่าง​ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปี
ให้ชมภาพแกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ อีกนิดครับ
ชมไลเคน​ (lichen) กันครับ​ คุณสายพิณบอกว่าไลเคน​เป็นพืชตะกูลมอส เห็นไลเคนตรงไหนโปรดทราบว่าที่นั่นเย็นจัดครับ​ เช้านี้​ 0​ องศา​เซลเซียส​ แต่ที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งในตอนนั้น​ ๓​ องศา​เซลเซียส​
ส่วนวิกิพีเดียบอกว่าไลเคนเป็นสิ่งมีชีวิต ๒ ชนิด คือเห็ดราและสาหร่ายอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน เห็ดราได้ความชื้นและก๊าซออกซิเจนจากสาหร่าย และสาหร่ายก็จะได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงจากเห็ดรา
อยากให้ท่านผู้อ่านได้เห็นพืชในตระกูลเบอร์รี่ชนิดหนึ่ง​ครับ เล็กพริกขี้หนูจริงๆ เพราะมีหนามด้วยครับ
ขากลับไปรู้จักห้องน้ำของชาวคีร์กิซ​กันครับ ในชนบทของชาวคีร์กิซโดยทั่วไปนั้น​ใช้ส้วมหลุมเหมือนชนบทของเราสมัยก่อน ชมถ่ายภาพส้วมหลุมกันนะครับ​ ไม่ได้ใช้บริการหรอกครับ อ้อ เห็นภาพถังขยะไหมครับ​ เขาจัดทำให้เข้าบรรยากาศพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งได้ดีทีเดียวครับ
เดินทางไปเมืองคาราโคล (Karakol) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งทะเลสาบทางด้านตะวันออกของทะเลสาบอีสซิค คูล บ้านสมัยโซเวียตสร้างได้เพียงชั้นเดียวครับ​ แต่ตอนนี้หรือครับ ใครใคร่สร้างกี่ชั้น... สร้าง
เข้าชมพิพิธภัณฑ์นักสำรวจเพอซิวัลสกี้ (Nikolai Przhevalsky Museum) ซึ่งเป็นนักสำรวจเอเชียกลาง ชาวรัสเซีย เปรียบได้กับมาร์โคโปโลแห่งรัสเซีย ผู้เดินทางกว่า ๓๐,๐๐๐ กิโลเมตร
พิพิธภัณฑ์นี้เป็นที่เก็บรวบรวมสิ่งของ เครื่องใช้ แผนที่ และบันทึกการเดินทาง รวมถึงสัตว์สตัฟฟ์หายากในพื้นที่ด้วย
หลังจากนั้น ได้เดินเข้าไปชมอนุสาวรีย์ของเพอซิวัลสกี้ (Nikolai Przhevalsky​ Statue) ตั้งอยู่ใกล้กับ​ทะเลสาบอีสซิค คูล สังเกตไหมครับว่าว่ามีบันได​ ๑๐​ ขั้น​ ​เพราะใช้เวลาในการสำรวจถึง ๑๐​ ปี​ ข้างบนมีนกอินทรีย์​เหยียบ​แผนที่​ แสดงให้เห็นถึงความอิสระในการสำรวจ​
อนุสาวรีย์หันหน้าไปทางเมืองลาซาล​ ธิเบต​ เพราะไป​ถึง​ ๒​ ครั้งแล้ว​ แต่ไม่สำเร็จ เป็นเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าต่างฝ่ายเป็นคนนอกศาสนา ไปครั้งที่​ ๓​ ก็เสียชีวิต​ แต่ได้ขอไว้ก่อนว่าหากเสียชีวิตขอให้นำศพมาฝังที่นี่​ ซึ่งอยู่ด้านหลังของอนุสาวรีย์ ในภาพสุดท้ายครับ
ก่อนกลับภาพสุดท้ายผู้เขียนได้ถ่ายกับโชกี้​ ไกด์คนไทย​ และอูลาน​ (Ulan) ไกด์คีร์กิซ
อาหารกลางวัน ที่อร่อยที่สุดในวันนั้นคือซุปเนื้อใส่ข้าว​ อร่อยครับ​ เหมือนข้าวต้มเครื่องบ้านเรา
ไปชมภูเขาหินหัวใจแตกสลาย​ (Broken​ ​Heart​ Mountain)​ กันครับ หินที่มีรูปเหมือนหัวใจ เป็นเรื่องของผู้หญิงสาวสวยอกหักทั้งๆ ที่มีผู้ชายถึง ๒ คน​ มารักเธอ ผู้ชายคนหนึ่งเสียชีวิต​ แต่อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าไปแย่งเมียหัวหน้าเผ่าอื่น​ จึงถูกสามีสาวที่แย่งมาฆ่าตาย​ เธอก็เลยหัวใจแตกสลาย
ถัดไปนิดหนึ่งก็เป็นหุบเขาเจตี้ โอกูซ (Jeti Oguz Valley) ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจตี้ โอกุซ ภูเขาหินหัวใจแตกสลาย ซึ่งเป็นบริเวณภูเขาหินทรายแดงและมีรูปแบบที่มีความหมายถึง วัว ๗ ตัว​ (Seven Bulls ​Mountain​) และบางทีก็สร้างภาพขึ้นมาเป็นรูปวัว ๘ ถึง ๑๐ ตัว
มีตำนานเล่าขานกันมาว่ามีวัว ๗ ตัว​ นอนพักในที่บริเวณแห่งนี้ที่เกิดจากน้ำท่วม และกัดเซาะพื้นดินจนกลายเป็นรูปร่างของวัว
อีกตำนานหนึ่งเล่าว่าหัวหน้าเผ่าหนึ่งไปรักหัวหน้าเมียของอีกหัวหน้าเผ่าหนึ่ง​แล้วไปฉุดเขามา​ แต่สาวไม่เล่นด้วย​ เมื่อสามีมาขอคืนก็ไม่ให้ นอกจากไม่ให้คืนแล้วยังฆ่าวัวบูชา​ ๖​ ตัว​ และฆ่าผู้หญิงด้วย​ จึงกลายเป็นหินไป​
แน่นอนครับ​ หัวหน้าเผ่าที่ไปแย่งเมียคนอื่นแล้วยังฆ่าเมียเขาอีกก็ต้องถูกสามีเขาฆ่า เรื่องเศร้านะครับ​ อย่างไรก็ตาม เป็นเพียงตำนาน ซึ่งหวังว่าคงไม่ใช่เรื่องจริง
คราวนี้ต้องออกกำลังกันแล้วครับ เพราะเดินขึ้นไปบนเนินเขาครับ นอกจากชมวัว ๗ ตัว ให้ชัดเจนโดยไม่มีสิ่งบังกล้องแล้ว ยังได้ชมอย่างอื่นด้วย​
หลังจากชมภูเขาวัว ๗ ตัว ที่จุดชมวิวแล้ว ก็เดินต่อไปชมภูเขาหินทรายแดง​ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาวัว ๗ ตัว สวยงามมากครับ
เดินลงต่ำไปอีกเพื่อชมหุบเขาหินทรายแดงที่ลึกลงไป​ ตอนนี้เดินลงไปคนเดียวครับ สวยงามครับ
จุดนี้อยากให้ท่านผู้อ่านได้ชมภาพเยอะๆ ครับ อ้อ ภาพสุดท้ายคือภาพหิมะที่ยังไม่ละลายครับ
ตอนนี้คงจบแค่นี้ครับ ไว้ตอนหน้าไปดูกันว่าเป็นความจริงหรือไม่ที่มีเรือดำน้ำในทะเลสาบอีสซิค คูล
 
พุธทรัพย์ มณีศรี
โฆษณา