28 พ.ย. 2019 เวลา 03:37 • ธุรกิจ
^^^ บทบาท AI ต่อการลงทุน ^^^
Artificial Intelligence (AI) คืออะไร
ปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เรียกกันว่า AI คือ โปรแกรมที่ถูกเขียนและพัฒนาให้มีความฉลาด มีความสามารถคิด วิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจได้ โดยการประมวลผลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ มากไปกว่านั้นยังสามารถดัดแปลงการประมวลผล ประยุกต์ ให้เป็นไปตามสถานการณ์ต่างๆ ได้
สำหรับวงการเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ก็มีการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการกู้ยืมเงิน ธุรกิจประกัน การเรียกเก็บหนี้ หรือการทำ Credit Scoring เป็นต้น
เมื่อพูดถึงการลงทุนถือว่า AI มีบทบาทสำคัญไม่น้อย โดยเทรนด์การนำหุ่นยนต์มาวิเคราะห์ และให้คำแนะนำในการลงทุน บนแพลตฟอร์มดิจิทัล เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เราเรียกกันว่า Robo Advisor ที่จะช่วยให้การลงทุนง่ายขึ้น และสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบริการจัดการได้ดีขึ้น
ข้อดีของการใช้ Robo Advisor เพื่อการลงทุน
1. เมื่อเปรียบเทียบระหว่างแพลตฟอร์มที่ใช้หุ่นยนต์วิเคราะห์ จะมีค่าธรรมเนียมระหว่าง 0.15% และ 0.4% ต่อปี ในขณะที่นักวางแผนทางการเงินอาจจะคิดค่าบริการราว 1-2% ต่อปีหากต้องการคำแนะนำจากนักวางแผนทางการเงิน คุณจะต้องใช้เงินในการลงทุนจำนวนมาก เนื่องจากนักวางแผนทางการเงินบางคน อาจจะไม่รับงาน หากมูลค่าการลงทุนต่ำเกินไป
2. Robot ไร้อารมณ์ ซึ่งทำให้มันมีความโดดเด่นในด้าน "ความคงที่ของการตัดสินใจ" เนื่องจากมันไม่มีความรู้สึก จึงทนต่อแรงกดดันจากสภาวะต่าง ๆ ได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อการคิดและตัดสินใจ ต่างจากมนุษย์ที่หากวันไหนใจไม่นิ่ง ความสามารถในการเทรดหุ้นก็จะลดลง
3. Robot ทำงานตามกลยุทธ์การลงทุน เงื่อนไขต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นแล้ว พร้อมที่จะทำงานได้โดยอัตโนมัติอย่างไม่มีอิดออดแม้ว่าจะอยู่ในช่วงตลาดผันผวนก็ตาม หุ่นยนต์จะไม่มีวันเหลวไหล เพราะมันถูกป้อนคำสั่งให้ทำหน้าที่นั้นแล้ว
4. เราสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ โดยส่วนใหญ่แล้วโปรแกรมจะนำข้อมูลย้อนหลังมาทำการพิสูจน์ไอเดียหรือกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย และนำไปออกแบบระบบเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติ
5. Robot จะตัดสินใจและส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นเข้าไปในระบบอัตโนมัติ จึงทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
6. เพิ่มความเร็วในการซื้อขายได้ดีกว่า เพราะถูกลงคำสั่งไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อเกิดสัญญาณซื้อหรือขายก็จะทำตามคำสั่งทันที
7. กระจายความเสี่ยงได้ดีและเลือกลงทุนได้หลายกลยุทธ์ การใช้ Robot เทรดหุ้นนั้นจะอนุญาตให้เราเทรดได้หลายบัญชีและหลากกลยุทธ์ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสแกนเพื่อหาโอกาสการลงทุนข้ามตลาดได้ทั่วโลก พร้อมส่งคำสั่งซื้อและเฝ้าสังเกตให้กับเรา
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่มันก็มีจุดอ่อนเช่นกัน อาทิเช่น
1. ระบบคอมพิวเตอร์อาจล้มเหลว
เช่น การเชื่อมต่อขัดข้อง เซิร์ฟเวอร์มีปัญหา ส่งผลทำให้การส่งคำสั่งซื้อขาย Error ตกหล่น หรือทำซ้ำก็ได้
2. ทำงานตามคำสั่งเป๊ะมากเกินไป: ด้วยความเถรตรงเกินไปของเจ้าหุ่นยนต์ บางครั้งราคาอาจไม่เป็นไปตามทฤษฎีใด ๆ หรืออาจจะมีเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อราคาหุ้น ซึ่งอยู่นอกเหนือการประเมินของหุ่นยนต์ จึงทำงานพลาดพลั้งได้
3. ความปลอดภัยและข้อมูลที่อาจรั่วไหล: ในกรณีที่มีผู้ล่วงรู้ถึงรูปแบบ ช่วงราคาการซื้อและขายของโปรแกรมก็อาจซื้อหรือขายหุ้นเพื่อดักทาง จนสร้างความเสียหายแก่นักลงทุนที่ใช้ระบบได้
4. บางอย่างที่ไม่สามารถทำได้เหมือนมนุษย์ เช่น การให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องภาษี หรือทางการเงิน หรือคำแนะนำในการจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายทางการเงิน (เช่น ควรชำระหนี้ หรือ เก็บออมเงินก่อน) เป็นต้น
ลงทุนด้วย Robot หรือคนดีกว่ากัน?
การลงทุนไม่ว่าจะด้วย Robot หรือคน ย่อมมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป ดังนั้นหากถามว่าการลงทุนด้วยหุ่นยนต์ หรือ คน แบบไหนดีกว่ากัน อยากให้ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า 
วัตถุประสงค์ในการลงทุนด้วยหุ่นยนต์ของคุณคืออะไร? หากการลงทุนของคุณในปัจจุบันมีจุดบอดที่ควรได้รับการแก้ไข ก็ย่อมมีประโยชน์หากมีหุ่นยนต์มาเป็นตัวช่วย เช่น การมอนิเตอร์สภาพตลาด การวิเคราะห์และมองหาหุ้นที่ควรเข้าซื้อ หรือดำเนินการส่งคำสั่งซื้อและขายแทนเรา ทำให้เราไม่ต้องตัดสินใจลงทุนด้วยอารมณ์ และไม่ต้องคอยเฝ้าอยู่หน้าจอตลอดเวลา แต่หากปัจจุบันการลงทุนของคุณมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว ก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนกับหุ่นยนต์เพื่อการนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร AI ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรศึกษาเอาไว้ เพราะในอนาคตเชื่อว่าจะมีการพัฒนาให้หุ่นยนต์ มีความสามารถ ทักษะ และความฉลาดเพิ่มขึ้นไปอีก
โฆษณา