29 พ.ย. 2019 เวลา 07:09 • การศึกษา
การเดินทางของดอกทิวลิป
ถ้าพูดถึงดอกทิวลิป เกือบทุกคนจะนึกถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ เพราะมันคือดอกไม้ประจำชาติของประเทศนี้ ที่นี่มีการปลูกและส่งออกทิวลิปมาก ถึงปีละสามพันล้านดอกเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ มีสวนทิวลิปที่สวยงามให้นักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวนำเงินเข้าประเทศมหาศาล แต่เจ้าดอกทิวลิปนี้กลับไม่ได้มีต้นกำเนิดจากเนเธอร์แลนด์ มันมีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย แถวตะวันออกกลาง แถบประเทศตุรกี อิรัก อิหร่าน ชื่อของมันจึงมาจากคำที่แปลว่าผ้าโพกหัว ซึ่งลักษณะดอกเป็นกลีบริ้วๆคล้ายผ้าโพกหัวของคนแถบนี้นั่นเอง
ว่ากันว่าชื่อดอกทิวลิปเหมือนกับผ้าโพกหัว ภาษาตุรกี “tülbend” หรือ “ผ้ามัสลิน” (ภาษาอังกฤษว่า “turban” (ผ้าโพกหัว)
ต่อมาทูตโรมันประจำตุรกีได้นำหัวและเมล็ดทิวลิปเข้ายุโรปในช่วงศตวรรษที่ 16 โดยนำเข้ามาที่ออสเตรีย ก่อนที่จะกระจายไปเยอรมันนี เบลเยี่ยม และเนเธอร์แลนด์
และที่เนเธอร์แลนด์นี้เองที่ผู้คนพากันชื่นชอบ คลั่งไคล้ดอกทิวลิปจนเกิดเหตุการณ์เหลือเชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ อย่างที่พวกเราส่วนมากเคยได้ทราบกันมาก่อนแล้ว แต่...เราจะมาเจาะลึกกว่านั้นว่าเพราะอะไรและทำไม
เพราะว่ายุคนั้นเป็นยุคทองในการค้าขายของชาวดัชต์ ที่ออกเรือไปทำการค้ายังที่ต่างๆได้กำไรมากกว่า400% จึงเกิดเศรษฐีใหม่มากมาย และเศรษฐีมีเงินก็ต้องแสดงความร่ำรวยด้วยการมีบ้านหลังใหญ่โตและปลูกสวนดอกไม้ไว้รายล้อมรอบบ้าน ดอกทิวลิปก็เป็นดอกไม้ที่แสดงความมั่งคั่งของคนมีเงินอย่างหนึ่ง
ชาวดัชต์ออกเรือไปค้าขายยังที่ต่างๆ ได้กำไรมหาศาลร่ำรวยกันไปตามๆกัน
ใครๆก็ชอบทิวลิปพากันเลิกเพาะปลูกอย่างอื่น ล้มสวนนาไร่พากันมาปลูกทิวลิป และมีข่าวว่ามีผู้ครอบครองทิวลิปที่สวยแปลกตา ไม่ได้มีเพียงสีเดียวแต่สีแตกเป็นริ้วๆ มันเป็นทิวลิปที่งามเกินหาสิ่งใดเปรียบ ความงามของมันเลื่องลือ จนมีคนพากันไปที่สวนของชาวสวนที่ครอบครองทิวลิปชนิดนี้ถึงหนึ่งโหล แต่เจ้าของสวนกลับไม่ขาย ผู้คนอยากได้จัดๆจึงเริ่มมีการให้ราคาที่สูงขึ้น และสูงขึ้นไปเรื่อยๆจนเจ้าของยอมขายด้วยราคาที่แพงมาก การซื้อขายเช่นนี้ก็เป็นที่โจษจันไปทั่ว ทำให้ต่างคนพากันตื่นอยากขายทิวลิปได้กำไรแบบนั้นบ้าง
เศรษฐีใหม่ต้องมีบ้านหลังใหญ่และสวนทิวลิปสวยๆ
เจ้าทิวลิปราคาแพงนั้นเป็นทิวลิปแตกสี มีหลายสายหลายชื่อ เช่น Violetten , Rosen แต่ที่แพงมากคือ Semper Augustus ตั้งชื่อตามจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของโรมัน ในความหมายว่า Forever Augustus
ซึ่งลวดลายนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งเชื้อนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะกับทิวลิปเท่านั้นโดยมีเห็บตัวเล็กๆเป็นพาหะ แต่เนื่องด้วยคนสมัยนั้นไม่ทราบว่ามันเกิดจากการติดเชื้อ และมองว่ามันเป็นของที่สวยและหายาก ราคาก็ยิ่งเพิ่มพูนไปอีก
โฉมหน้าทิวลิป Semper Augutus สาวงามที่มีราคาแพงกว่าบ้านและที่ดิน ที่ดิน12เอเคอร์ แลกทิวลืปนี้ได้แค่หัว-2หัวเท่านั้น
มีการนำอสังหาริมทรัพย์ บ้านและที่ดินมาแลกกับหัวทิวลิปหายาก ข่าวนี้สะพัดก็ยิ่งปะทุไฟร้อนแรงในตลาดทิวลิปขึ้นไปอีก
ทิวลิปนั้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน ช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายนหลังดอกทิวลิปร่วงโรย ชาวสวนจะขุดหัวทิวลิปขึ้นมาขาย แต่เมื่อความคลั่งไคล้นั้นมากมายมหาศาล ช่วงเวลาสิบกว่าเดือนที่หัวทิวลิปพักตัวอยู่ใต้ดินรองอกขึ้นมาใหม่ ผู้คนก็รอไม่ไหว พ่อค้าได้เริ่มขายสัญญาซื้อขายทิวลิปล่วงหน้าเพื่อเก็งกำไร โดยเรียกกันว่า การซื้อขายลม (wind handle) หรือ วินด์เทรด (wind trade) เพราะเป็นการซื้อขายในอนาคต ไม่มีการซื้อขายสินค้าจริงในขณะที่ทำสัญญา บางวันสัญญานั้นก็เปลี่ยนมือเป็นสิบๆราย เพราะหวังว่าซื้อแพงเพื่อขายแพงกว่า
ไม่ว่าชนชั้นใด ขุนนาง คนรับใช้ คนหนุ่มสาว คนสูงอายุ ต่างก็เข้ามามีส่วนร่วมซื้อขายทิวลิปกันทั้งนั้น
ถ้าลองเทียบเป็นมูลค่าเงินในปัจจุบัน หัวทิปลิปนั้นจะมูลค่ากี่บาท?
ชาร์ลส์ แม็คเคย์ ชาวสก็อตแลนด์ ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ความคลั่งทิวลิปไว้ว่า ทิวลิป 40 ดอกขายกันที่ 100,000 ฟลอริน ซึ่ง 1 ฟลอรินมีค่าประมาณ 411.12 บาท(2002) ดังนั้นทิวลิป 40 ดอกมีค่าเท่ากับ 41.12 ล้านบาทในสมัยนี้ ตกหัวละ ล้านกว่าบาททีเดียว!!!
เปรียบเทียบทิวลิป Viceroy ที่มีราคารองลงมา แต่ราคาก็ยังสามารถซื้อทั้งหมดในภาพรวมกัน
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อราคามันถูกปั่นไปจนสูงลิบลิ่วเกินมูลค่าที่แท้จริงของตัวมันเอง คนที่หวังว่าซื้อของแพงเพื่อขายแพงกว่า ก็ต้องสิ้นหวัง เมื่อเกิดภาวะฟองสบู่แตก และหัวทิวลิปราคาตกลงอย่างรวดเร็ว และแทบจะไม่มีค่าใดๆเลย วิกฤตการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้ผู้คนมากมายต้องสิ้นเนื้อประดาตัว เป็นเหตุการณ์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นฟองสบู่แตกครั้งแรกของโลก เรียกว่า “วิกฤตฟองสบู่ทิวลิป” (The Dutch Tulip Mania Bubble) ตอนนั้นเกิดผลกระทบไปทั้งประเทศ มีการฟ้องร้องกันอย่างมายมาย แต่ไม่สามารถใช้กฎหมายได้เพราะศาลตัดสินว่าการค้าขายแบบนี้ถือเป็นการพนัน และก็จบยุคคนคลั่งทิวลิปไปโดยปริยาย
ภาพวาดเสียดสีถึงยุคคลั่งทิวลิป โดยใช้ลิงแทนคน
มองย้อนกลับไป คนสมัยนี้อาจมองเหตุการณ์นั้นว่าเป็นเรื่องบ้าคลั่งและไร้สติ แต่ทุกวันนี้เราก็ให้คุณค่ากับอะไรหลายอย่างที่เกินมูลค่าจริงของมันเช่นกันใช่หรือไม่
โฆษณา