3 ธ.ค. 2019 เวลา 06:40 • ประวัติศาสตร์
ยอดเขาเอเวอเรสต์
นรกสูงเสียดฟ้าของนักท้ามฤตยู
ยอดเขาเอเวอเรสต์ (Mount Everest) คือยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงกว่า 8,850 เมตร ทั้งความสูงชัน ภูมิอากาศเลวร้าย และอันตรายที่ซ้อนเร้นใต้ผืนหิมะ ล้วนเป็นสิ่งดึงดูดนักปีนเขาจากทั่วสารทิศ เพื่อมาท้าทายมฤตยูสูงเสียดฟ้าแห่งนี้
.
กระนั้นยอดเขาเอเวอเรสต์กลับเป็นหลุมศพแช่แข็งสำหรับนักปีนเขาและไกด์ท้องถิ่นนับสิบรายต่อปี แม้แต่นักปีนเขามากประสบการณ์และมีอุปกรณ์เพียบพร้อมก็ยังพลาดท่าเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่
1.สูงชันและเย็นเยือก
.
ยอดเขาเอเวอเรสต์มีความสูงชัน ลมที่อาจแรงถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อุณหภูมิอากาศเฉลี่ยติดลบ 19 องศาในฤดูร้อน และติดลบ 36 องศาในฤดูหนาว ขณะเดียวกันความกดอากาศทำให้ปริมาณออกซิเจนในอากาศต่ำเกินกว่ามนุษย์จะดำรงชีวิตได้
.
นักปีนเขาจำเป็นต้องใช้ถังออกซิเจนเพื่อยังชีพ ยังไม่รวมอันตรายจากหิมะถล่ม ผาน้ำแข็งพังทลาย โพรงหรือถ้ำใต้หิมะที่อาจมองไม่เห็นและทรุดตัวโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า พายุหิมะอันกราดเกรี้ยวที่อาจเกิดขึ้นฉับพลัน ทำให้การขึ้นหรือลงเขาต้องหยุดฉะงัก
.
.
2.อันตรายที่รออยู่บนยอดเขา
.
อาการแพ้ที่สูง หรืออาการป่วยเฉียบพลันขณะปีนเขา (Acute Mountain Sickness หรือ AMS) เป็นชื่อเรียกอาการป่วยจากการอยู่ที่สูง 2,500 เมตรขึ้นไป ซึ่งมีปริมาณแก๊สออกซิเจนต่ำ ผู้ป่วยมักมีอาการปวดวิงเวียนศีรษะ อาเจียน เหนื่อย นอนไม่หลับ หัวใจเต้นถี่ผิดปกติ เห็นภาพหลอนและสับสน อาจถึงขั้นสมองและร่างกายส่วนอื่น ๆ บวมน้ำ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาจเสียชีวิต ส่วนสาเหตุการตายอื่น ได้แก่ตกเขา ภาวะตัวเย็นเกิน น้ำแข็งกัด และอ่อนล้า นักปีนเขาเอเวอเรสต์ทุกคนต่างยอมรับความเสี่ยงเหล่านี้
.
.
3.โศกนาฏกรรมน่าเศร้าของนักท้ามฤตยู
.
นับตั้งแต่ปี 1922–2019 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 291 คน จากผู้พยายามพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ 22,917 คน ขณะที่มีผู้พิชิตยอดเขาได้สำเร็จ 10,050 คน
.
โศกนาฏกรรมครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1922 เมื่อลูกหาบชาวเชอร์ปา 7 คนเสียชีวิตเนื่องจากหิมะถล่มเฉียบพลัน ขณะร่วมคณะสำรวจชาวอังกฤษ ต่อมาในปี 1996 มีผู้เสียชีวิต 8 คน เนื่องจากติดพายุหิมะระหว่างลงจากยอดเขา
.
โศกนาฏกรรมครั้งรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 25 เมษายน 2015 เมื่อแผ่นดินไหวใหญ่ในประเทศเนปาล สร้างแรงสั่นสะเทือนถึงยอดเขาเวอเรสต์ ทำให้หิมะถล่มค่ายนักปีนเขา (เบสแคมป์) บริเวณเชิงเขา คร่าชีวิตชาวเชอร์ปาและชาวต่างชาติอย่างน้อย 22 คน นอกจากนี้ยังมีนักปีนเขาที่หายสาบสูญ รอวันที่จะมีคนพบหรือหิมะละลายอีกมากมายหลายศพ
.
4.การจราจรติดขัด เมื่อนักปีนเขาล้นทะลัก
.
อ่านแล้วเหมือนเหลือเชื่อ แต่ฤดูปีนเขาที่คึกคักที่สุดในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมปี 2019 ที่ผ่านมา จำนวนนักปีนเขากว่า 891 คน ทำให้การสัญจรขึ้นหรือลงเขาถึงขั้นติดขัดและต้องต่อคิวปีนขึ้นหรือลงเขา นักปีนเขาที่มีอาการป่วยเฉียบพลันต้องเสียเวลามากขึ้นกว่าถึงมือแพทย์
.
นักปีนเขาจำนวนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจัยที่ทำให้ปี 2019 มีนักปีนเขาจำนวนมากเกินไป ได้แก่ คนท้องถิ่นทำทัวร์ปีนเขาต้นทุนต่ำ นักปีนเขาจำนวนมากขาดประสบการณ์และจิตสำนึก รัฐบาลเนปาลไม่มีมาตรการจัดการที่ชัดเจน นอกจากนี้ การปีนยอดเขาเอเวอรเรสต์จำเป็นต้องใช้ทักษะ และความชำนาญสูง ดังนั้นการทำความเร็วจึงไม่ใช่เป้าหมายและเสี่ยงชีวิตนักปีนเขาและเพื่อนร่วมทางด้วย
.
.
5.ขยะศพและอุปกรณ์ปีนเขาที่ถูกทิ้ง
.
จวบจนถึงปี 2019 ประมาณการณ์ว่า มีศพที่ตกค้างอยู่บนยอดเขากว่า 200 ศพ ซึ่งมีทั้งศพที่ระบุตัวตนได้และศพนิรนาม ศพนิรนามที่มีชื่อเสียงได้แก่ กรีนบูทส์ (Green Boots) แปลว่า รองเท้าบูทสีเขียว มีคนพบศพของเขาที่ความสูง 8,500 เมตร ในปี 2001 แต่ภายหลังศพของเขากลับสาบสูญในปี 2014 โดยไม่มีใครทราบสาเหตุ
.
นอกจากนี้ เกิดปัญหาขยะจำนวนมากที่นักปีนเขารุ่นก่อนทิ้งไว้ เช่น ถังออกซิเจน เต้นท์ใช้แล้ว อุปกรณ์ตั้งแคมป์ และสิ่งปฏิกูลของมนุษย์ ชาวเชอร์ปาและอาสาสมัครจำเป็นต้องช่วยกันเก็บขยะหลายสิบตันลงจากยอดเขาในทุกๆ ปี นี่จึงที่มาของฉายา 'กองขยะที่สูงที่สุดในโลก' ของยอดเขาเอเวอเรสต์
/////////
โฆษณา