7 ธ.ค. 2019 เวลา 02:00 • ไลฟ์สไตล์
ก่อนอาบน้ำนอนอยากเล่าเรื่องชีวิตตัวเองให้ฟัง
ตอนเด็กๆก่อนจะตัดสินใจบอกป๊าว่า อยากไปเรียนอินเดียตามพี่สาวสองคนที่โดนส่งไปล่วงหน้าแล้ว
ตอนนั้นเรียนหนังสือก็ระดับกลางๆไม่ได้เรียนเก่งมากอะไร โง่วิทยาศาสตร์ โง่เลข เรียนพิเศษหลังเลิกเรียนทุกวัน ภาษาอังกฤษไม่กระเตื้อง ลอกเพื่อนทุกวัน เคยโดนครูสอนภาษาอังกฤษฟาด เพราะในห้องไม่ตั้งใจเรียน แล้วยังเสร่อไปรบกวนเพื่อนโดยการเอาวิทยุที่ครูเอาไว้เปิดเทปภาษาอังกฤษให้ฟัง เอาไปเปิดวิทยุนาจาาา โดนฟาดกลางหลัง กลางห้องเลยนาจาา อับอายขายขี้หน้า "และ" ทำให้ไม่ชอบวิชาอังกฤษเอาซะเลย
จากวันที่โดนฟาดกลางหลังวันนั้นตัดสินใจที่จะปรับตัวใหม่ อยากแก้ภาพลักษณ์ในสายตาครู ไปเปิดหนังสือมันตั้งแต่หน้าแรก พยายามจะเข้าใจแกรมม่า แต่สุดท้่ายก็ไม่เข้าสมอง โง่เหมือนเดิม 5555 แต่คำศัพท์นี่แน่นเว่อนะ คือชอบท่องคำศัพท์มาก
ชอบมากขนาดที่ว่า ตอนนั้นอยู่ป.5 ท่องของตัวเองจนหมดเล่ม แบบจำได้แม่น จนต้องไปซื้อของ ป.6 ยันม.2 จนกระทั่งท่อง ม.2 ของพี่สาวได้หมดง่ะ คือชั้นมั่นใจจจมาก ในสมองอันน้อยนิดของชั้น แกรมม่าไม่ได้ แต่คำศัพท์แน่นนาจา แต่ก็ได้แค่คำศัพท์นะ จะให้มาแต่งประโยคพูดอะไรเนี่ย ทำไม่ได้นะ สมองไม่ไปจริงๆ-*-
1
จนไปอินเดีย ระหว่างเดินทางก็ไปกับเพื่อนป๊า ซึ่งเป็นคนพาไปส่งโรงเรียน เพราะเพื่อนป๊าเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนนี้ น้าปุ๊กสอนแค่ประโยคที่ต้องใช้จริงๆเช่น
how are you? โง่มะ ขนาดฮาวอายู ยังต้องสอนนะจ้ะะะ
คำนี้ ฮิตมากจริงๆเป็นคนที่เข้าห้องน้ำบ่อยมาก may i go to the toilet please?
แล้วคำสุดท้าย you're welcome เวลาใครบอกเราว่า thank you
นี่คือคำที่ท่องตลอดเวลา รู้มันแค่เนี้ยแหละ
ไปถึงโรงเรียน เจอเพื่อนใหม่ เพื่อนตื่นเต้นที่จะมีนักเรียนไทยมาร่วมเรียนด้วยเป็นครั้งแรกในชีวิต และเป็นนักเรียนไทยคนแรกของครูประจำชั้นด้วย จนทุกวันนี้ก็ยังติดต่อ พูดคุยอัพเดตชีวิตให้ครูฟังอยู่ อยากให้รู้ว่าลูกสาวครูคนนี้ เพราะครูวันนั้น ถึงมีหนูในวันนี้
เพื่อนถาม what's your name? อีนี่ช๊อคไป 2 วิ แล้วตอบ yessssss
แล้วด้วยความห้าวจัด แรกๆเพื่อนในห้อง ล้อมากว่าพูดอังกฤษไม่เป็น แล้วเขียนหนังสือเป็นไหม จะเรียนรู้เรื่องไหม ซึ่งเราเป็นคนใจเย็นมากไง ตอบกลับไม่เป็นหรอกนะ แต่รู้ว่ากำลังโดนล้อ เลยตอบกลับไปด้วยความเป็นคนไทยใจดีไงว่า ฟ.ยู ด่าเป็นแค่นี้แหละ 😑
โดนครูเรียกไปพบ ว่ามันไม่ดี ใครจะล้อเรายังไง อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกลับ เอาเวลาโกรธแค้น ไปซุ่มอ่านหนังสือ ฝึกภาษาอังกฤษแล้วมาแข่งกันตอนสอบดีกว่า
เทอมแรก ได้ที่โหล่ มี 7 วิชา ทุกวิชาเต็มร้อย ได้คะแนนมากสุด 3 เต็ม 100 ต่ำสุด 0ครึ่ง
ร้องไห้หนักมากกกก ตอนอยู่ไทยสอบได้ที่ 7-8 ไม่เคยเกินกว่านี้ อยู่อินเดียได้ที่โหล่ แบบน่าอนาถใจมาก
พอเห็นคะแนนเทอมนั้น เลยเป็นจุดเปลี่ยนว่า เราทำได้ดีกว่านี้ เค้าทำได้เราก็ทำได้
จากวันนั้น ทุกคาบ ไม่มีอีกแล้ว เขียนตามกระดาน วันๆนั่งอ่าน ดิคชันนารี นี่กะเอาจุดแข็ง ท่องศัพท์เข้าสู้ 55555
จนได้ศัพท์ที่คิดว่าจำเป็นต่อชีวิต จะเอามาเถียงเพื่อนได้สักประมาณนึง
บวกกับ ได้เพื่อนสนิทแล้วด้วย เพื่อนคอยสอนอังกฤษ พูดช้าๆ พูดซ้ำ เราอยากรู้ว่าคำศัพท์ไหนใช้ยังไง อยู่ส่วนไหนของประโยชย์ ช่างไวยากรณ์มัน ก๊อปปี้เพื่อนเอาเลย เพื่อนพูดยังไง เราพูดยังงั้นเด๊ะ คำแรกที่ให้เพื่อนสอนคือคำว่า actually แปลว่า จริงๆแล้ว อยากรู้ว่าเค้าใช้กันยังไง
เพื่อนก็น่ารักมากจริงๆ ทั้งอาทิตย์พูดแต่คำว่า actually 555555 จนเราซึมซับตามประสบการณ์การได้ยิน เรื่อยๆไปก็เริ่มมีความกล้าพูดดด
วันๆอ่านแต่หนังสือ อ่านมันทั้งวัน มีสอบทุกวันเสาร์ เลยต้องอ่านหนังสือทุกวัน แทบไม่มีวันหยุด วันหยุดก็อ่านหนังสือ เพราะกะว่า รอบนี้จะต้องเอาชนะพวกผู้ชายท้ายแถวในห้องให้ได้
จากที่โหล่ คือ 29 ขยับมาเป็น 15 เทอมสุดท้ายของปี ขยับมาเป็นที่ 4 ของห้อง
ปีนั้นได้รางวัลนักเรียนดีเด่น ซึ่งไม่เคยมีคนไทยได้มา 11 ปีแล้ว ตกใจเหมือนกัน มันไปขนาดนั้นได้ยังไง
จากนั้นเริ่มชอบภาษา คิดว่าถ้าเราตั้งใจกว่านี้ ภาษาพวกนี้จะพาเราไปที่ไกลๆได้ จะพาแม่ไปเที่ยวต่างประเทศได้ จะช่วยเหลือตัวเองในต่างแดนได้ จะได้ทำงานดีๆ
เลยเป็นแรงบันดาลใจ ให้ตั้งใจเรียนภาษาที่ 2 ในตอนนั้นคือ เนปาลี่ มันยากมาก เขียนก็ยาก อ่านก็ยาก จริงๆจะไม่เรียนก็ได้ เพราะพี่ๆซีเนียร์คนไทย ในวิชาภาษาเลือกที่ 2 คือโดดเรียนไปนั่งทำการบ้านกัน
แต่เรายังเป็นจูเนียร์โดดเรียนไม่ได้ เพิ่ง ป.5เอง เลยเอาวะ ภาษาอังกฤษก็งูๆปลาๆ เอาเนปาลี่ไปอีกซักอันจะเป็นไร ก็เริ่มตั้งใจหัดคัดลายมือ จนอ่านออก เขียนได้ ทำข้อสอบเหมือนเพื่อนๆได้ เขียนกลอนได้ตั้ง 3 หน้ากระดาษ แบบท่องจำล้วนๆๆ -*- หาได้รู้ความหมายไม่ จนทุกวันนี้ เนปาลี่ กะฮินดีซึ่งมีภาษาเขียนเหมือนกัน เลยยังอยู่ในหัวอยู่เลย ยังอ่านออกเขียนได้ฟังพอรู้เรื่อง แต่พูดไม่ได้เลย พูดได้แค่คำง่ายๆ ในชีวิตประจำวันแค่พอสื่อสารบวกกับภาษามือได้
พอย้ายลงมาทางใต้คือบังกะลอร์ ตอนนั้นภาษาอังกฤษก็โอเคแล้ว พูดรู้เรื่องแล้ว แต่ศัพท์ยากๆอะไรก็ยังไม่รู้ เพราะไม่ได้ใช้เลยไม่ได้โฟกัสว่าจะต้องเรียนรู้อะไรพวกนั้น เอาแค่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่พาตัวเองไปลำบาก เอาแบบเถียงฝรั่งแล้วไม่แพ้พอ5555
พอลงมา ไม่มีเนปาลี ฮินดีแล้ว เลยชวนเพื่อนไปลงภาษาฝรั่งเศสกัน ก็เลยเป็นที่มาของภาษาที่สาม แต่ก็เหมือนเดิม อ่านออกเขียนได้ฟังพอรู้เรื่อง แปลประโยคออก แต่พูดไม่ได้เลยยสักนิดเดียว จนกระทั่งได้มาเจอเพื่อนฝรั่งเศสที่คูเวต ขอเรียกว่า "หรั่ง"ให้หรั่งสอนภาษาฝรั่งเศสแลกกับภาษาไทย เลยกระเตื้องขึ้นมาอีกนิดนึง พอเดินทางคนเดียวได้
แล้วก็มีเพื่อนสนิทเป็นเกาหลี ก็เอาอีกเอาเกาหลีด้วย พอย้ายกลับไทย ภาษาที่สองบังคับ สเปน ก็เอาอีก มั่วกันไปหมดเลย 5555
แต่สุดท้ายแล้วถึงได้มารู้จักตัวเองจริงๆว่า เราชอบอะไร เราถนัดอะไร เราอยากเป็นอะไร เราชอบภาษามากๆตั้งแต่วันนั้นที่เริ่มพูดอังกฤษเป็น และความฝันในวัยเด็กวันนั้นคือ อยากพูดมันได้ทุกภาษาเลย
ตอนนั้นมีข่าวว่า เด็กชาติอะไรไม่รู้อายุประมาณ 10 ขวบ ซึ่งเด็กกว่าเราอีกเยอะมาก พูดได้แบบคล่องเลย เหมือนภาษาแม่เลย 5-6 ภาษา มากสุดคือ 11 ภาษา เห็นแล้วแบบ มันยังมีคนทำได้ ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะมีพรสวรรค์หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เรามีพรแสวง ตราบใดท่ี่มันคือสิ่งที่รัก ยังไงเราก็ยังม่ีความสุขและเพลินที่จะได้เรียนภาษาใหม่ๆไปเรื่อยๆ มันคือความรักจริงๆ
บางคนถนัดวาดรูป ซึ่งแนนวาดรูปไม่เป็นเลย ไม่มีหัวด้านศิลปะเลย ถนัดร้องเพลงอย่างพี่สาวแนนสองคน ร้องเพลงเพราะทั้งคู่เลย เพราะมากด้วย แนนร้องผิดคีย์ ผิดจังหวะ ผิดท่อน ผิดเนื้อด้วยเอา 5555 แต่เพราะทุกคนแตกต่างกัน เมื่อไรที่หาตัวเองเจอแล้ว แล้วพาตัวเองไปอยู่จุดที่ได้ใช้สิ่งที่ตัวเองรัก เวลาไปทำงานมันเหมือนพาตัวเองไปเล่นของเล่นที่รัก ^^
(ยกเว้นเปิดศึกกะผู้โดยสารแบบไม่มีมารยาท อันนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานที่รักค่ะ 555555)
คิดแล้วก็ตลกตัวเองเนาะ จากคนที่ไม่มีอะไรในหัวเลย ไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าวันนึงจะพูดอังกฤษได้ เคยคิดนะ คนที่พูดอังกฤษได้นี่โคตรเจ๋งเลยอะ โคตรเท่ โคตรฉลาด อัจฉริยะ มันยากมาก ทำได้ไง
ตอนที่ไปอินเดียวันแรกๆแล้วพี่สาวช่วยสื่อสารกะครูให้ เรายืนอึ้งและภูมิใจในตัวพี่สาวมากที่แบบ เฮ้ยยย มันพูดอังกฤษได้แล้ววววว ทำได้ไง ปร๋อเลยอะ ไม่สะดุดเลยยยย โคตรเก่ง ไม่เคยคิดว่าจะทำได้เช่นกัน จนวันนี้จริงๆ รู้สึกดีใจอะ และโชคดีที่หาตัวเองเจอเร็วมากกก บอกที่บ้านตลอด ไม่ว่าจะทำงานอะไรที่ไหน ยังไงก็ต้องเป็นเกี่ยวกับภาษา จะไม่มีทางทำอะไรที่พูดแต่ภาษาไทยเด็ดขาด มันไม่สนุกก อยากทำงานที่ได้ใช้สิ่งที่เรารักตลอดไปป
สุดท้าย อยากบอกว่า กว่าจะพูดอังกฤษได้อย่างทุกวันนี้ ลำบากมาก่อนเหมือนกันค่ะ ไม่ได้โตมาในโรงเรียน 2 ภาษา หรืออินเตอร์ ไม่มีความชอบเลยด้วยซ้ำ แต่แนนว่า บางทีที่เราไม่ชอบ เพราะเรายังไม่รู้ถึงความสนุกของมัน
เหมือนเล่นเกม ตอนที่เรายังเล่นไม่เป็น มันก็ไม่สนุกหรอกเนาะ ตายบ่อย ตายเร็ว น่ารำคาญ แต่พอเป็นแล้ว ก็เป็นเลย และก็สนุกมากด้วย ฉะนั้น ถ้าเราคิดว่าเราชอบอะไร ควรจะเปิดใจลองรับสิ่งนั้นเข้ามาดู และเริ่มสนุกไปกะมันนะคะ ^^
ทุกวันนี้ก็ยังไม่เพอร์เฟ็ค คำง่ายๆยังออกเสียงไม่ถูกก็ยังมีเลยค่ะ แบบ unfortunately ลิ้นมันพันกันไปหมดค่ะ 555 ชีวิตคือการเรียนรู้ ภาษาก็เช่นกันค่ะ เจ้าของภาษาบางทียังไม่รู้เลย 5555
Darjeeling คือเมืองแรกที่ไป อากาศดีมาก หนาวตลอดปี มีแดดบ้าง แต่บรรยากาศบริสุทธิ์มากค่ะ อยู่บนเขา เหมือนดอย เป็นเมืองเล็กๆ เดินเท้าได้ทั่วเมืองเลยค่ะ และเพราะว่าไม่มีรถเยอะ เพราะคนส่วนมากนิยมเดินแทน มลภาวะทางอากาศเลยต่ำมากๆค่ะ พูดแล้วก็อยากกลับไปอีก 😍
โฆษณา