7 ธ.ค. 2019 เวลา 01:54 • ไลฟ์สไตล์
“ไส้เดือดตาบอดในเขาวงกต”
ถ้าจะหาหนังสือดีๆอ่านแล้วคิดไม่ออกก็หางานรางวัลซีไรต์ (S.E.A. Write) มาแก้ขัดเพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย เล่มนี้มีเพื่อนให้หยิบยืมมาอ่าน
ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต เป็นงานเขียนของ คุณวีรพร นิติประภา ในตอนแรกผมคิดติดตลกว่าเป็นว่าไส้เดือนมันไม่มีตาแล้วจะเอาตาที่ไหนมาบอด
เนื่องจากไม่ได้งานนวนิยายแนวนี้มานาน ประมาณ 100 หน้า จึงอึดอัดมาก ไม่เข้าใจว่านักเขียนจะสื่อสารอะไร
จึงปรับเปลี่ยนวิธีอ่านใหม่ แบบไม่คิดอะไร อ่านไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ตัวอักษร ภาษา วิ่งผ่านสายตาไปทีละบรรทัด หลังจากนั้นไม่กี่บทเริ่มเข้าใจความสวยงามของภาษาที่นักเขียนพยายามใช้ในการดำเนินเรื่องราว
อ่านหนังสือรอบนี้มีคนให้คุยด้วย ทำให้รสชาติของอารมณ์ในการอ่านเหมือนได้เติมชูรสเพิ่มอีกหน่อย ยิ่งอารมณ์ในช่วงในเป็นอย่างไรบทสนทนาในหนังสือจะแสดงเป็นแบบนั้นเสริมแต่งด้วยจินตนาการของผู้อ่านเข้าไป
พออ่านจบจึงได้คัดเอาประโยคที่ชอบ มาบันทึกไว้ โดยตัวในบันทึก “p.” แทนคำว่า “หน้า” ในหนังสือเล่มนี้ เผื่อผู้ที่สนใจได้แวะเวียนมาอ่าน
ยุคสมัยที่มีเวิ้งว้าง...
มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ คั่นขวางตรงกลาง ระหว่างทุกสิ่งทุกอย่าง ระหว่างครอบครัว เมืองกับเมืองชนบท วัยเยาว์กับการโตเป็นผู้ใหญ่ วิถีคุ้นชิน...
กับความแปลกใหม่น่าตื่นใจ มีเวิ้งว้างไพศาลอยู่ตรงนั้น ระหว่างคำง่ายๆ ที่เคยพูดติดปากกับวาทกรรมสวยหรูที่เพิ่งถูกคิดค้น ระหว่างคนกับผู้คน ในชีวิตคนกับสิ่งที่เขารู้จัก...
รัก คนกับตัวเขาเอง
p.6
โลกซึ่งวุ่นวาย กับ การพิสูจน์รักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ด้วยขั้นตอนอันแสนซับซ้อนและไม่เป็นวิทยาศาสตร์
โลกลี้ลับที่ซึ่งปาฏิหาริย์แห่งรักดลบันดาลได้ไม่เลือกทุกนาฏกรรมทั้งสุขและโศก
โลกซึ่งเต็มไปด้วยกับดัก ขวากหนาม ความริษยา ตลกร้ายประดามีเท่าที่จะนึกออกของชะตากรรม
โลกของการดั้นด้นค้นหารักแท้ที่จะมีอยู่ก็แต่ในจินตนาการ
p.24
และแล้ว เสียงเชลโล่แหบพร่าก็ทอดตัวมา อย่างนุ่มนวล
ลงบนเสียงไวโอลินกับวิโอล่าที่วิ่งไล่เริงร่าอยู่ข้างหลัง ปราณเอนตัวลงกับกำแพง หลับตา ฟัง เขาไม่เคยได้ยินชิ้นนี้มาก่อน ออดอ้อนอ่อนหวาน
แต่กลับมีบางอย่างขึ้นขัดร้าวรานอยู่ในท่วงทำนองนั่น
งดงามแต่ขมเพื่อนแปร่งปร่า
อุ่นเปื้อหากเรื้อรื้นร้างห่าง
แล้วเปียโนก็โรยโน้ตตามลงมา
เหมือนหยดน้ำ ค่อยๆหยด ทีละหยด ทีละหยด
ลงบนเสียงเธอกระซิบ
p.49
อาหาร คือ ความนึกคิดและจิตวิญญาณ
มันบอกเรื่องราวที่ไม่ได้เล่าเกี่ยวกับผู้คน
เวลาเจออาหารใหม่ๆ ที่ไม่รู้จัก
เราต้องลองชอบก็กินอีก
ไม่ชอบก็ไม่ต้อง
วันหลังมีโอกาสก็ให้ลองซ้ำใหม่อีกครั้ง
หลายๆครั้งเข้า
เราก็จะกินเป็นเอง
p.73
ความบ้ามันคงเริ่มต้นจากตรงนี้เองกระมัง
ไม่ใช่เพราะความรักหรอก
ไม่ใช่กระทั่งการต้องสูญเสียมันไปถึงจะปวดร้าว
หากแต่เป็นการไม่ได้ฝันนั่นต่างหาก
p.103
ลืมตาขึ้นวันแล้ววันเล่าในโลกของคนแปลกหน้า
เพียงเพื่อจะมาบังคับปิดหลับเอาอีกครั้งในค่ำคืนเหงา
ข่มลืมฝันแหลกยับเยินไป
เพื่อจะมาเติมเต็มเอาใหม่ด้วยความฝันสำเร็จรูปราคาถูกๆ
เกาะเกี่ยวกับเวลานาทีที่ไม่มีสิ่งใดมีค่าพอให้เก็บจำ
เพียงเพื่อจะผุพังไปช้าๆอย่างเฉยชา
p.122
เสียงกีตาร์หวีดลากโหยหวน
กลองหวดกระทันดุดัน
เบสทึบตื้อหนักแน่นแหบพร่า
ทุกเสียงซัดกระหน่ำลงพร้อมกัน
ก่อนจะตามด้วยเสียงแหกร้องของคนหนุ่มไร้สุข..
ดุจเดียวกับเสียงที่อัดอั้นอยู่ข้างในเขาเวลานั้น โกรธขึ้งอึงอล ไร้หนทางระบาย โดดเดี่ยวสิ้นไร้ ไม่มีที่จะอยู่ ไม่รู้หนทางจะไป สรรพสำเนียงที่ไม่เคยแผดตะเบ็งผ่านเพลงคลาสสิก
p.126
ฉันบิดงอแตกร้าว ไร้รูป เปลือยเปล่าใต้อาภรณ์ของเธอริมฝีปากแตก ลำคอแห้งผาก แต่เธอกลับให้ที่กำบังจากร้อนรุ่มกับฝุ่นทราย ไม่มีน้ำในบ่อน้ำเธอคือเทพธิดาหรือปีศาจ
ฉันกระหายแต่เธอกลับหยิบยื่นจุมพิต ที่ทำได้แค่ให้ริมฝีปากของฉันเปียกชื้น
p.131
ไม่ได้บอกว่ากี่หนกี่ครั้งที่เขาหวัง ยิ่งกว่าหวัง ว่าทุกอย่างจะหวนกลับคืนมาสู่ห้องนั่งเล่นเล็กๆ ที่พวกเขากำลังนั่งกันอยู่นี้ มีเพลงที่เศร้าที่สุดในโลกของโชแปงเปิดคลอเบาๆ
เป็นฉากหลัง นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยด้วยเรื่องราวอันหาสาระไม่ได้
มีกลิ่นควันไฟโชยมาบางๆ จากที่ไหนสักแห่ง
ปนอยู่กับกลิ่นยามเย็นของแม่น้ำที่ไม่มียามเย็นที่อื่นใดจะเสมอเหมือน
p.151
เคยเร่ร่อนตามหาดวงดาวที่สาบสูญในฝุ่นทรายกับปราชญ์เบดูอินในรุบอัลคาลี
ร่ำฝิ่นกลางถ้ำรวงที่อวลไอแดดไม่เคยแผดต้องกับมูจาฮิดีนในมหาวงกตแห่งฮินดูกุช
กัดกินหัวใจทั้งที่ยังเต้นอยู่ของวัวกับหัวหน้าเผ่าซึ่งเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปนานนับศตวรรษในชานตง
วิ่งหลบห่ากระสุนแห่งความขัดแย้งอันแสนซับซ้อนและศักดิ์สิทธิ์จนถูกลิขิตให้ดำเนินไปชั่วกาลจักรวาลในเบธเลเฮม
เตะฟุตบอลกับชนเผ่าที่ไม่เคยถูกพบเห็นในอเมซอนนียา
และเป็นประจักษ์พยานในวาระมหัศจรรย์
เมื่อผืนผ้ายันต์แห่งจิตวิญญาณถูกคลี่คลุมลงบนภูเขาทั้งลูกในแชงกรีลา
p.164
มันเป็นเส้นเชือกทำด้วยเงินที่ตวัดร้อยกันอยู่
มองดูเกือบเหมือนเครื่องหมายอนันต์
แต่ซับซ้อนและซ้อนทับกันหลายชั้น
นี่คือเงื่อนแห่งนิรันดร์
เส้นไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบที่ขดพันกลับไปกลับมา
เหล่านี้คือสัญลักษณ์ของ การเวียนว่ายตายเกิด
สังสารอันเกี่ยวพันกันของชีวิตในโลกนี้กับชีวิตในโลกแห่งวิญญาณ
และช่องว่างตรงกลางระหว่างเส้นทางเวียนว่ายเหล่านี้ คือ สุญญตา ความไม่มีอยู่ p.183
ในโลกสับปะรังเครางไร้ใบนี้
แม้แต่ความรู้สึกดีก็ไม่ได้มีไว้ให้เราได้รู้สึก
ทุกสิ่งที่เธอนึกฝัน ทุกอย่างที่เธอ ทำเป็นมองเห็น เข้าใจ ไขว่คว้า ตามหาทั้งหมด
ที่เราผ่านราคาที่เราจ่าย
ความตายครั้งแล้วครั้งเล่าของหัวใจ
ฝันสลายไม่เลิกรา
เดียวดายซ้ำซาก บ้าบอ ทำไม ทำไมพี่จะนึกไม่ออก ชารี
ทำไมพี่ถึงจะไม่เข้าใจ
ว่าชีวิตทรยศเราได้ถึงเพียงไหน
ทำอย่างไรพี่ถึงจะไม่เข้าใจ
p.204
ลืมฉันเสียเถอะ ผ่านสายลม พรุพร่าง
ผ่านเสียงน้ำที่หยดจากตัวเขาลงบนพื้น
ผ่านกลิ่นดอกลั่นทม
ไม่มีต้นซึ่งลอยปนมาจางๆในกลิ่นฝน
ผ่านอากาศที่เปียก และหนัก และหม่น และเศร้า
เข้ามาทีละชั้น ทีละชั้น ทีละชั้น
p.214
เพลงรักหวานซึ้งกิ่งอุดมคติทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้
รักก็รัก ไม่รักก็ไม่รัก
สามัญเหมือนตะวันขึ้นทุกเช้าตกทุกเย็น
ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อนให้ต้องซาบซึ้งน้ำตาซึม
คนเราก็แค่รู้สึกเท่าที่รู้สึก
แล้วเขาก็ไม่เห็นนึกออกว่าอุดมคติจะต่างกับอคติตรงไหน หรืออย่างไร
ก็แค่มายาคติของมายาคติ
p.235
ลืมเลือนอาจเป็นเรื่องยาก
แต่สุดท้ายใครๆ ก็ลืมได้ทั้งนั้น
ไม่ว่าความทรงจำนั่นจะยิ่งใหญ่
จะหวานชื่น ขมขื่น หรือเจ็บปวดรวดร้าวเพียงไร
p.238
คร่ำครวญส่งเสียงดังพลางเอามือตะกุยตะกายดินไปอย่างสิ้นหวัง
และคงร้องไห้พร้อมกับขุดคุ้ยในมืดมนเช่นนั้นไปจนกระทั่งถึงเช้า
ทั้งที่รู้ว่าจะไม่พบอะไร นอกจากไส้เดือนตาบอด ตัวแล้วตัวเล่า...
ที่หลงทางอยู่กลางเขาวงกตที่มันขุดเอาไว้เอง
p.252
ขอบคุณครับ
โฆษณา