13 ธ.ค. 2019 เวลา 16:50 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Disney+ จะชนะ Netflix ในบริการสตรีมมิ่งวิดีโอได้หรือไม่
วันที่ 12 พ.ย. 2562 Disney+(ดิสนี่ย์พลัส) เปิดตัวในสหรัฐอเมริการ และสร้างปรากฏการณ์ มีสมาชิกแห่สมัครเข้าใช้บริการถึง 10 ล้านคน สิ่งที่เกิดขึ้นบอกอะไรกับเราได้บ้าง คำตอบคือ ก่อนการเปิดตัวได้มีข่าวและความเคลื่อนไหวที่น่าสน ของ Disney+ อย่างมากมาย ที่สร้างความสนใจให้คนได้ ดังนั้นพอเปิดให้ลงทะเบียนจึงได้มีคนแห่มาสมัครสมาชิกจำนวนมากขนาดนี้ แล้วก่อนการเปิดตัวเขาทำอะไรบ้างถึงสร้างกระแสความสนใจได้อย่างมหาศาล และน่าจะเป็นกรณีศึกษาให้กับคนที่คิดจะทำธุรกิจของตัวเองอยู่
Disney+ เป็นบริการวิดีโอสตรีมมิ่ง แบบจ่ายค่าบริการรายเดือน แบบเดียวกันกับที่ Netflix ทำอยู่ โดย Disney+ เป็นของบริษัท ดิสนี่ย์ ยักษ์ใหญ์วงการภาพยนตร์ แอนนิเมชั่น และสื่อต่างๆมากมาย หากพูดถึง ดิสนี่ย์ บางคนอาจจะนึกถึงแค่ การ์ตูน แอนนิเมชั่น ดังๆ อย่าง Toy Story, Frozen ,Lion king ,Aladin หรือ สวนสนุกที่เป็นความฝันของเด็กๆ อย่าง ดิสนีย์แลนด์ แต่ความเป็นจริงแล้ว ดิสนี่ย์ยังมีบริษัทในเครือที่ผลิต ภาพยนตร์ชื่อดังอีกมากมาย ได้แก่ Pixar, Marvel และ Star Wars ดังนั้นเหล่า อเวนเจอร์ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ไอรอน แมน ,กัปตันอเมริกา , ธอร์ ล้วนอยู่ในสังกัดของ Disney ทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีสื่อกีฬาชื่อดังอย่าง ESPN อีกด้วย
ก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์ในเครือของ Disney ที่ออกจากโรงภาพยนตร์แล้ว จะเข้ามาฉายอยู่บน Netflix ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนตัดสินใจสมัครบริการของ Netflix เพราะสามารถรับชมภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ตัวเองชื่นชอบได้ที่บ้านเลยนั้นเอง แต่เมื่อทาง ดิสนี่ย์ มีแผนที่จะโค่น Netflix ลงจากแชมป์ผู้ให้บริการ สตรีมมิ่งวิดีโอของโลก โดยการเปิดให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งของตัวเองอย่าง Disney+ แล้วละก็
สิ่งแรกที่พวกเขาทำนั้นก็คือ การดึง ภาพยนตร์ ทั้งหมดของ Disney และที่อยู่ในเครือทั้งหมดออกจาก Netflix โดยยอมเสียค่าปรับถึง 150 ล้านเหรียญ เพราะหากว่าพวกเขายังฉายหนังของพวกเขาบน Netflix อยู่แล้วละก็ๆจะทำให้การที่คนจะตัดสินใจมาสมัครใช้บริการของ Disney+ นั้นยากขึ้น เนื่องจากเขาก็ยังดูหนังฟอร์มยักษ์ได้บน Netflix โดยที่ไม่ต้องไปสมัคร Disney+ ก็ได้
ประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 12 พฤศจิกายน 2562 โดย ภาพยนตร์ที่อยู่บน Disney+ นั้นจะมาจาก Disney, Pixar, Marvel และ Star Wars และ National Geographic ที่ได้มาจากฟ็อกซ์ นอกจากนี้ภาพยนตร์ หรือ การ์ตูนเก่าทั้งหมดของ Disney ก็จะสามารถรับชมได้บน Disney+ ด้วยเช่นเดียวกัน
โดยในปีแรก ทาง Disney+ นั้นได้ประกาศว่าจะมีหนังให้ดูทั้งหมด 500 เรื่อง และซีรีส์อีก 7,500 ตอน ในสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้น บริษัทจะขยายพื้นที่ให้บริการครบประเทศสำคัญทั่วโลกภายใน 2 ปี
สิ่งที่สองที่เป็นแรงดึงดูดความสนใจให้คนแห่มาสมัครอีกข้อหนึ่ง นั้นก็คือการประกาศสร้าง ซีรี่ย์ ล่วงหน้า ที่สามารถดูได้เฉพาะบน Disney+ เท่านั้น เช่น The Mandalorian, Clone War Season 7 หรือฝั่งมาร์เวลอย่างซีรีส์ของ Loki ล่าสุด Bob Iger ระบุว่าจะสร้างซีรีส์จาก Star Wars อีกเรื่องเกี่ยวกับ Cassian Andor สปายฝ่ายกบฎตัวเอกจาก Rogue One: A Star Wars Story นอกจากนี้ยังมีการประกาศว่า ต่อไปจะมีเบื้องหลัง หรือ ตอนพิเศษของหนังที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนต์ ที่จะสามารถดูได้บน Disney+ เท่านั้นอีกด้วยนั้นก็หมายความว่าหากใครเป็นสมาชิกของ Disney+ แล้วดูวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับหนังไปก่อน เข้าไปดูหนังในโรงก็จะทำให้สามารถเข้าใจหนังได้ดีกว่าคนทั่วๆไปซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกของ Disney+
สิ่งที่สาม นั้นก็คือเรื่องของราคา ค่าบริการ Disney+ จะอยู่ที่ 6.99 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือ 69 ดอลลาร์ต่อปี (ปัจจุบัน Netflix คิดราคา 12.99 ดอลลาร์ต่อเดือน) ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งอย่าง Netflix มากพอสมควร
ทางด้าน Netflix นั้นช่วงหลังได้เริ่มมีการปรับเกมส์โดยมีการ สร้างเนื้อหาที่เป็นของแต่ละประเทศมากยิ่งขึ้นอย่างในไทย ก็มี ซีรี่ย์ เรื่องเคล้ง ที่สร้างโดยผู้กำกับคนไทยและนักแสดงไทย นอกจากนี้ ก็เริ่มเห็นการ พากย์ไทยในซีรี่ย์ใหม่ๆหลายๆเรื่อง ซึ่งการทำการตลาดแบบนี้ก็น่าสนใจ และด้วยความที่ Netflix นั้นเปิดให้บริการก่อน ก็ทำให้ผู้ใช้ติด หนัง หรือ ซีรี่ย์หลายเรื่องที่เป็น Original Content เฉพาะของ Netflix อย่างซีรีย์ เกาหลีใต้ อย่าง vagabond ที่ได้รับการพูดถึงอย่างมาก ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
สำหรับตอนนี้คงไม่อาจจะฟันธงได้เพราะเนื้อหาในปัจจุบันของทั้ง 2 เจ้าต่างก็น่าสนใจทั้งคู่ ดังนั้นสิ่งที่จะบ่งชี้ได้ว่า บริการ สตรีมมิ่งของ Disney+ หรือ Netflix ใครจะสามารถครองตำแหน่งเจ้าของผู้นำ วิดีโอสตรีมมิ่ง ไปได้ คงต้องรอดู เนื้อหาในอนาคต ของทั้งสองฝั่งว่าใครจะสามารถสร้างให้ได้รับความนิยมมากกว่ากัน อันนั้นแหละน่าจะเป็นตัวตัดสิน
และจากการเข้าไปอ่านความคิดเห็นของแฟนๆภาพยนตร์ ทั้งหลายก็พบว่าหลายคนมีแนวคิดที่จะสมัครสมาชิกทั้ง2แพลตฟอร์ม เพราะเนื้อหาน่าสนใจทั้งคู่ นี่อาจจะเป็นแนวคิดที่ทำให้ทั้งสองบริษัทอยู่รอดได้พร้อมๆกัน เพราะส่วนตัวก็ไม่อยากให้เจ้าใดเจ้าหนึ่งต้องล้มหายตายจากไปเพราะต่างก็น่าสนใจทั้งคู่
นอกจากยักษ์ใหญ่สองเจ้านี้แล้วเจ้าอื่นๆก็เกิดขึ้นอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นในระดับโลกหรือในระดับประเทศไทยของเราเอง ซึ่งก็น่าจะส่งผลดีต่อผู้ผลิต Content เพราะจะได้มี Platform ให้สามารถนำผลงานของตัวเองไปสู่สายตาของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้นนั้นเอง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จะเกิดการพัฒนาเนื้อหาให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆอีก ผู้ที่ได้ผลประโยชน์ก็คือผู้บริโภคที่จะสามารถเลือกชมเนื้อหาที่มีคุณภาพ และ หลากหลาย และเหมาะกับตัวเองได้นั้นเอง
สรุป ตอนนี้ยังไม่อาจจะบอกได้ว่า Disney+ จะสามารถเอาชนะ Netflix ได้หรือไม่ เราคงต้องรอดูกันต่อไปว่าแต่ละฝั่งจะมีอะไรเด็ดๆ มากระตุ้นลูกค้าบ้าง
เขียนโดย
ครูตั้ม ออนไลน์
โฆษณา