14 ธ.ค. 2019 เวลา 04:32 • การศึกษา
อกหัก...พักตรงนี้
“ชีวิตแค่โดนทำร้าย แต่ที่สุดมันต้องไม่โดนทำลาย”
ท่อนฮุกของเพลงยอดฮิตอย่างเพลง...อกหัก...ของวง Bodyslam...
ที่เปิดฟังเมื่อไหร่ก็ทำให้ทั้งเจ็บทั้งเข้าใจไปพร้อมๆกัน
สวัสดีเพื่อนๆชาว blockdit ที่น่ารักทุกคนค่ะ ย่างกลายมาสู่เดือนสุดท้ายของปีกันแล้ว ผลอแปปๆจะปีใหม่ซะแล้วสิ ลมหนาวก็เริ่มพัดพาเข้ามา ทางบ้านไรต์อากาศเริ่มเย็นลง...อาการหนาวในตอนเช้า เที่ยงๆบ่ายๆมานี่แดดแรงเปรี้ยงปร้างมาก มืดเร็วและสว่างช้าซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของซีซันนี้...สิ่งที่บ่งบอกว่าเข้าสู่หน้าหนาวแล้วนะไม่ใช่อากาศหนาวหรอกนะ แต่เป็น...กลิ่น กลิ่นของต้นตีนเป็ดต่างหากละ...ฮ่ะ...ฮร่า...ดูแลสุขภาพกันด้วยเน้ออออ...วันนี้ไรต์ขอนำเสนอว่าด้วยเรื่องอกหักเราจะรับมืออย่างไรกับความเจ็บปวดเผชิญอยู่ตรงหน้านี้
ความรักกับความเจ็บแน่นอนว่าเป็นของคู่กัน เชื่อว่าสาวๆไม่น้อยคนที่เคยมีความรักต้องเคยเผชิญกับความรู้สึกเช่นนี้และใช่ว่าทุกคู่จะมีตอนจบแบบสวยๆเหมือนในซีรีย์ที่สุดแสนจะโรแมนติก...เมื่อความรักเดินมาถึงทางตันนั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ต้องจบลง...ปัญหาเองความสัมพันธ์ที่จบลงนั้นอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและสิ่งที่เราตัดสินและทำกันเป็นประจำนั้นก็คือการหาตัวคนผิด
พักก่อนนน....พิจารณาสักนิด เรื่องนี้ใครก็ไม่อยากเป็นตัวร้าย
เขาทิ้งเราไปเพราะเราไม่ดีพอ หรือถ้าเหตุผลอย่างหล่อๆ นั้นคงจะเพราะเรานั้นดีเกินไป
แต่ไม่ว่าเขาจะเดินจากไปด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันเกิดขึ้นแล้ว!!..พื้นที่ความสัมพันธ์ที่ผุพังลงตรงนี้มีความเจ็บปวดแผ่กระจายไปทั่วทุกหย่อมย่าน...เขาเดินจากไปอย่างไร้เยื้อใย แต่ทำไม...เรายังอาลัยอาวรณ์อยู่ล่ะ?? วันนี้ไรต์จะมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความสูญเสียและวิธีรับมือว่าจะอยู่อย่างไรกับความเจ็บปวดที่คั่งค้างอยู่ให้กับสาวๆที่กำลังเฮิร์ธหนักๆในวินเทอร์ซีซันแบบนี้ที่นอกจากจะหนาวกายแล้วใจก็ยังหนาวและรวดร้าวไม่แพ้กัน...ไรต์อยากให้เพื่อนๆที่กำลังเผชิญกับความเจ็บปวดนี้อยู่โอบกอดมันด้วยความเข้าใจ
อกหักเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และทำความเข้าใจ
นักจิตวิทยาชาวสวิสเซอร์แลนด์...ดอกเตอร์อลิสเบท คับเบลอร์-รอส(Elizabeth Kubler-Ross)ผู้ที่เรียบเรียงขั้นตอนดังกล่าวไว้ตั้งแต่ปี1969โดยทั้ง5ปฏิกิริยาอาจเกิดได้แบบไม่มีลำดับขั้น ระยะไหนเกิดก่อนก็ได้และไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นครบทุกขั้นตอน แต่ต้องลงท้ายด้วย Acceptance (ความเข้าใจ)เสมอ...การอกหักนั้นอาจทำให้เรารู้สึกสูญเสียมันอาจนำพาซึ่งความโศกเศร้า...แต่มันจะจบลงด้วยความเข้าใจ
5 ระยะของการปรับตัวเมื่อเกิดความสูญเสีย
[The 5 Stages of Grieving]
Denial (shock)
สภาวะช็อคหรือปฎิเสธความริงที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากสถานะการณ์ตรงหน้าไม่ใช่สถานะการที่เป็นปกติวิสัยจึงทำให้เรานั้นไม่สามารถแบกรับไว้ได้ แบกรับไม่ไหว ปฏิเสธการแบกรับ ในช่วงนี้หากเจออะไรกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกหรือเห็นภาพบาดตาบาดใจ...เราจะหาเหตุผลต่างๆมาคอยสนับสนุนในสิ่งที่เจอว่าเหล่านั้นล้วนไม่ใช่ความจริง ยกตัวอย่าง...เช่น....มีเพื่อนเอารูปเขาคนนั้นกำลังไปเดทกับผู้หญิงอีกคนให้เราดู...หรือเราไปเจอกับตาจังๆว่าเขาไปกับผู้หญิงคนอื่น....เราอาจปฏิเสธมันออกไปโดนการคิดว่าอาจจะแค่เพื่อนหรือน้องสาว เป็นต้น
1. Anger
ในระยะนี้...เป็นช่วงแห่งการทวงถามความยุติธรรมจากสิ่งรอบตัวจะเริ่มโทษคนอื่น...โทษสถานการณ์ต่างๆ...ฟ้า...ดิน...สวรรค์...หรทอแม้กระทั่งพระเจ้า...โทษทุกๆสิ่งทุกๆอย่างรอบตัว...และท้ายที่สุดก็จะเริ่มกลับมาโทษตัวเอง...ถือว่าเป็นภาวะที่อันตรายเหมือนกัน...ความคิดโทษนั่นโทษนี่จะวิ่งพล่านในหัวของคุณ..."ทำไมฟ้าไม่ยุติธรรมกับเราบ้างเลยทำดีขนาดนี้เขายังทิ้งไป"...จะเกิดอาการฟูมฟายเป็นบ้าเป็นหลัง
2.Bargaining
ยอมจำนนและลดคุณค่าตัวเอง...ระยะนี้เราจะเถียงกับสียงในหัวของตัวเอง...เกิดการต่อรองกับตัวเองขึ้นและเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาแล้วเจาะจงพุ่งโทษมาที่ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก...ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เราอยากกลับไปแก้ไขอะไรสักอย่าง..เช่น..ถ้าในวันนั้นเราทำอย่างงั้นวันนี้คงไม่เป็นอย่างนี้หรือถ้าเราไม่เอาแต่ใจขนาดนั้นเขาคงไม่เลิกกับเราอย่างวันนี้...และทุกอย่างก็จะวนอยู่เช่นนี้...หากไม่สามารถพาตัวเองออกมาจากชุดความคิดเหล่านี้ได้ก็อาจนำไปสู่สภาวะซึมเศร้าในที่สุด
3.Depression
บรรยากาศมาคุของจริงเกิดขึ้น...ณ...ช่วงดีเพรสเฌิ่น...ความเศร้าเข้าครอบงำไปทั่วทั้งบริเวณอันเนื้องมาจากเรานั้นได้ค้นพบความจริงไปแล้วแต่ไม่สามารถกลับไปแก้ได้สิ่งที่ตามมาหลังจากความรู้สึกสูญเสียและผิดหวังนั้นก็คือความเศร้า...ในระยะนี้...เราอาจจะไม่อยากทำอะไร..เริ่มปลีกตัวจากสังคม...จมอยู่กับทุกข์ความเศร้าแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของคามคิด แต่อย่างไรก็ตาม...ดีเพรสเฌิ่น เป็นเพียงช่วงระยะว่าเวลาและกระบวนการหนึ่งในกลไกการเยียวยาเท่านั้น...ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่ตกอยู่ในอาการซึมเศร้าจะต้องเป็นโรคซึมเศร้า...แต่หากเราเริ่มรู้ว่าตัวเองหรือสังเกตุเห็นว่าคนใกล้ตัวจมอยู่กับความเศร้าจากความสูญเสียเป็นระยะเวลาที่นานเกินไปและล่วงเลยไปหลายเดือน...แล้วยังไม่สามารถนำตัวเองออกมาจากความเศร้านั้นได้...ก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นตระหนก...อาจจะต้องขอคำแนะนักนักจิตบำบดหรือจิตแพทย์เพื่อให้คุณหมอช่วงดึงเราออกมาจากสภาวะความเศร้านี้
4.Acceptance
ยอมรับความจริง...ในช่วงนี้คือช่วงที่ปราศจากความโกรธ...หยุดต่อต้าน...และเลิกถามหาความยุติธรรมให้กับตนเองเป็นเหมือนการถอดบทเรียน...เราสามารถเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาแล้วว่าแท้จริงเหตุของความสัมพันธ์ที่จบลงนั้นเพราะอะไร...มันไม่ใช่ความรู้สึกโอเคหรือหายเจ็บหรอกนะ..ก็ยังเจ็บอยู่เหล่ะแต่เป็นสภาวะพร้อมเผชิญความจริงและเข้าใจ...เราสามารถอยู่กับความเจ็บนั้นได้
การสูญเสียสิ่งหนึ่งไป...แท้จริงแล้วคือการเปิดโอกาสให้สิ่งใหม่ได้เข้ามา
กว่าจะเดินทางมาสู่ขั้นสุดท้ายของกระบวนการเยียวยาจิตใจตามธรรมชาติ...ก็ใช้เอเนอร์จีไม่น้อย...คนข้างกายไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือครอบครัวอาจให้คำปรึกษาได้แต่ไม่ใช่ว่าทุกเรื่องและตลอดเวลา...ความเศร้าของเราอาจทำให้พวกเขาหงุดหงิดและไรต์เชื่อว่าสาวๆไม่น้อยคนที่นอกจากจะเจ็บจากการโดนทิ้งหรืออกหักแล้วยังต้องมาเจ็บกับคำพูดคนข้างกายที่เขาคอยให้คำปรึกษาในช่วงแรกๆ...ไม่ว่าจะเป็นคำพูดประมาณว่า...เลิกเศร้าสักที...ลุกได้แล้วเดินต่อได้แล้ว...แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะคะเหล่านั้นล้วนเกิดจากความหวังดีทั้งสิ้น...เนื่องจากว่าพวกเขาสามารถมีความเห็นใจ(Sympathy)...แต่ไม่สามารถที่มีความเข้าใจ(Empathy)เราได้จริงๆ...ไรต์เชื่อว่าพลังใจที่ดีที่สุดก็คือพลังใจจากตัวเอง...คนรอบข้างเป็นแค่ส่วนที่มาเสริมให้มีแรงลุกเดินต่อมากขึ้น
Reborn
รับมืออย่างไรในวันที่ใจอ่อนแอ...การเดินทางของการรักษาบาดแผลอาจไม่ใช่แค่สองสามวันจะคิดอย่างไรให้ผ่านพ้นแต่ละวันไปได้โดยที่ให้ความเจ็บปวดมีขนาดเล็กลงบ้าง
1. อนุญาตให้ตัวเองเสียใจ
การร้องไห้เป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอทุกคนเชื่อแบบนั้น...และเมื่อเวลาที่เราเจอใครร้องไห้คำปลอบใจที่จะได้ยินกันจนคุ้นชินเสมอๆนั่นคือ...”อย่าร้องเลยเสียเวลา”..ไม่ก็...”หยุดเหอะแล้วเดินต่อ”..คนส่วนใหญ่รวมทั้งตัวเราเองเข้าใจว่าการร้องไห้เสียใจนั้นนอกจากจะเสียเวลาแล้วยังเสียสุขภาพจิต...แต่ไม่เสมอไปหรอกนะคะการร้องไห้ออกมาหรือหรืออนุญาติให้ตัวเองได้เสียใจบ้างก็เป็นกระบวนการทางการเยียวยาจิตใจอย่างหนึ่ง..เป็นการปลดและคลายความเศร้าออกไปผ่านหยดน้ำตาของเราเอง...เพื่อนๆสังเกตไหมคะว่าเวลาที่เราร้องไห้จนร้องต่อไม่ได้แล้วทำไมบางครั้งเราพยายามที่จะเค้นน้ำตาให้มันออกมา...นั่นก็เพราะว่าลึกๆแล้วข้างในเราโล่งที่ได้ระบายออกมาก...ฉะนั้นแล้วการอนุญาตให้ตัวเองเสียใจไม่ว่าจะแค่นั่งเศร้าหรือมีน้ำตาก็ไม่ใช่สิ่งที่เสียหาแต่อย่างใดเลย...แต่ก็ควรแค่พอเหมาะพอควรเท่านั้น
2. สำรวจและทบทวนความรู้สึกของตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วสาเหตุของความเจ็บคืออะไร
ในข้อนี้เพื่อนๆอาจจะนั่งลิสต์ความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่...ว่าตอนนี้รู้สึกอะไร...ความจริงที่เชิญคืออะไร...ทั้งนี้ก็เพื่อให้รู้ทันใจตัวเอง...เป็นการทำให้ตัวเองอยู่กับปัจจุบันและเรียกสติให้กลับคืนมาอยู่กับปัจจุบัน...นั่งทบทวนปัญหาและเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาโดยไม่เข้าไปตัดสินหรือหาคนผิดและคนถูก...มองดูความคิดตัวเองอย่างห่างๆอย่างเงียบๆ....ค่อยๆคิดและไตร่ตรองถึงเหตุผลของปัญหานี้ว่าเรากำลังรู้สึกเช่นไร...”บางทีความจริงไม่ได้ทำให้เราเจ็บเท่าความจำ”...ความจำเป็นเพียงอดีตที่ผ่านไปแล้วแต่ความจริงคือสิ่งที่เรามีอยู่เผชิญอยู่...ความจริงไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรกับเราเลยแต่น้อยกับทำให้เราตาสว่างมากขึ้น...ฉะนั้นแล้วลองทบทวนดูว่าแท้จริงแล้วคุณเจ็บกับความจริงหรือความจำกันแน่
3.ยอมรับความจริงและโอบกอดข้อเสียของตัวเอง
แม้ว่าคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ดีที่สุดของโลกใบนี้...เขาเองก็ต้องมีข้อเสียเหมือนกับเรา...จริงอยู่เราอาจมีข้อผิดพลาดหรือมีข้อเสียบางอย่างที่เราอาจจะคิดว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องเลิกราหรือจบความสัมพันธ์อย่าว่าแต่คนอื่นจะรับไม่ได้เลย....เราเองก็ยากที่จะมองและยอมรับข้อเสียของตนเองบางเรื่องไม่ได้เช่นกัน...แต่ถ้าหากเราผู้เป็นเจ้าของชีวิตไม่สามารถอยู่และยอมรับกับข้อเสียของตัวเองให้ได้...แล้วจะมีใครที่ไหนจะมาโอบกอดยอมรับมันได้...ฉะนั้นจงโอบกอดความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองด้วยความเข้าใจว่าบางทีการเว้าแหว่งมันก็ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวอะไรขนาดนั้น....ความเป็นเราที่มันอาจจะไม่ได้สวยงามไปซะหมด...แต่เราเริ่มทำความเข้าใจ...ยอมรับ...และหาแนวทางแก้ไขมันได้...จะแก้ไขอะไรสักอย่างก็ต้องยอมรับรู้ซะก่อนว่าตรงจุดนั้นมีปัญหา
4.  จงพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
การมองโลกในแง่ดีเข้าไว้เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งแม้ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด...หากเขาทิ้งคุณไปเพราะอะไรก็แล้วแต่จงทำตัวเป็นเมล็ดพันธุ์ไม่ใช่เศษขยะที่ไร้ค่าไร้ราคา...และเมื่อคนที่เขาทิ้งคุณไปเขามองกลับมาเห็นคุณ...คุณอยากให้เขาเห็นว่าคุณเป็นเมล็ดพันธ์หรือเศษขยะพลาสติก...เมล็ดพันธุ์เมื่อถูกทิ้งลงดินนั้นสามารถเติบโตขึ้นมาได้และการที่มันจะเติบโตขึ้นมาได้ต้องถูกทิ้งลงดินเท่านั้น...ผิดกับขยะที่นอกจากจะส่งกลิ่นเหม็นแล้วยังอันตรายเป็นมลพิษและไม่น่าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย...เมื่อขยะพลาสติกถูกทิ้งลงดินมันไม่สามารถงอกเงยหรือให้คุณค่าใดใดกับใครทั้งนั้น...คุณเลือกที่จะคิดและเปลี่ยนมุมมองจากสถาการณ์เดียวกันนี้ได้...เริ่มและเปลี่ยนมันเพื่อตัวเองซะ!!!
5.ตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง
ช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้านั้นอาจพัดพาเอาคุณค่าของเราออกไปตามระยะเวลาที่เราใช้เยียวยามัน...เราใช้เวลาทุกข์...เศร้าเสียใจ...ก็เพื่อปลดคลายความทุกข์ออกไปแต่คล้ายกับสุภาษิตที่ว่า...”หนามยอกต้องเอาหนาวบ่ง”....ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วงเวลาแห่ความเศร้าหมองนั้นมันทำให้เราไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะหยิบจับอะไร...เราจะตกอยู่ในหมูดหมดอาลัยตายยากแบบสุดๆ...แต่ไม่ว่าใครจะจากไปแต่ตัวเรานั้นคงอยู่...ใครบางคนอาจทิ้งคุณไปแต่เขาไม่ได้หยิบเอาคุณค่าในตัวคุณออกไปด้วย...สมมติว่าคุณเป็นนักเปียโนแล้วคุณเลิกกับแฟนของคุณและทุกอย่างจบลงเขาเดินจากไป...ถามว่าสกิลการเล่นเปียโนของคุณติดไปกับผู้เดินจากไปหรือเปล่า...คำตอบคือไม่!...คุณก็ยังทำมันได้เช่นเคย...หากแต่ว่าในช่วงแรกฝีมืออาจจะถดถอยลงบ้างอันเนื่องมาจากถูกความเศร้ากัดกร่อน...แต่ไรต์เชื่อว่าเพียงไม่นานคุณก็จะสามารถกลับมาเล่นมันได้ดีอีกครั้ง...คุณค่าของเราจะลดลงได้ก็ต่อเมื่อเราอนุญาตหั้นเป็นเช่นนั้น...ธนบัตรมูลค่าหนึ่งพันบาทแม้จะยับยู่ยี่มากแค่ไหนสุดท้ายแล้วมูลค่าของมันก็สามารถแลกเปลี่ยนสินค้าได้ในมูลค่าหนึ่งพันบาทของมันเอง...และแม้จะไม่เป็นที่ต้องการของใครบางคนแล้วนั่นไม่ได้แปลว่าจะไม่เป็นที่ต้องการของทุกๆคน
ชีวิตคือการเดินทางจากความกลัวเพื่อไปหาความเข้าใจ
Cr:ขุนเขา
ความเข้าอกเข้าใจจากคนอื่นอาจเป็นกำลังใจชั้นดีแต่ความเข้าใจที่เกิดจากการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเผชิญนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า...หลายคนออกจากกับดักความเจ็บปวดไม่ได้เพราะมองไม่เห็นสภาวะที่เป็นอยู่หรือคุณอาจะเห็นมันแล้วแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น...เวลาที่หกล้มยังเกิดบาดแผลทางกายซึ่งต้องใช้เวลาและกระบวนการต่างๆตามธรรมชาติเพื่อเยียวยาและรักษาไปทีละขั้นตอนความเจ็บปวดทางใจก็เช่นกัน
พบกับบทความที่น่าสนใจในเชิงจิตวิทยาเช่นนี้กับ Pinky_Bonbons นะคะ
ขอบคุณเพื่อนๆที่ชื่นชอบในบทความ ขอบคุณกำลังใจจากหัวและการกดแชร์บทความ ไรต์จะตอบแทนด้วยการพัฒนาฝีมือการเรียบเรียงและเขียนให้ดีและสละสลวยมากขึ้น ขอบคุณจากนะคะและน้อมรับทุกคำติชมจ้า พบกันใหม่เน้ออ
อ้างอิง
ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก
เพจ You arenot unique
โฆษณา