16 ธ.ค. 2019 เวลา 08:12 • การศึกษา
เมื่อความอิจฉาไม่ใช่สิ่งเลวร้าย...แต่เป็นเรื่องธรรมชาติ
หากพูดถึงนิสัยบางอย่างที่นอกจากจะไม่เป็นที่ต้องการของคนในสังคมและของตัวเราเองแล้วคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจาก “ความอิจฉาริษยา” ที่นอกจากจะกัดกร่อนจิตใจตนเองให้เกิดความร้อนรุ่มแล้วยังเป็นเหมือนดั่งไฟที่ลุกลามไปยังผู้อื่นอีกด้วย...
สวัสดีเพื่อนๆทุกคนค่ะ วันนี้ Pinky_Bonbons อยากจะมานำเสนอหัวข้อทางด้านอารมณ์ที่เกี่ยวกับอารมณ์ขั้นพื้นฐานของมนุษย์เราที่แน่นอนว่ามีกันทุกคน และแม้จะเป็นเรื่องเบสิกพื้นฐานแต่กลับเป็นเรื่องยากที่จะทำใจยอมรับกับตัวเองนะคะว่าบางที่เรากำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นนั้นความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นก็คืออารมณ์ความ อิจฉาริษยา นั่นเอง
เนิ่นนานมาแล้วที่ความอิจฉาแฝงอยู่ใน DNA ของพวกเราและถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษของเราแบบรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ในสมัยที่เรานั้นยังคงใช้ชีวิตเป็นมนุษย์ถ้ำอยู่ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ความอิจฉาไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ที่พึ่งมีและเกิดขึ้นในยุคนี้เท่านั้นแต่ในสมัยก่อนบรรพบุรุษของเราก็มีเช่นกัน
ในสมัยก่อนการที่จะขึ้นเป็นจ่าฝูงได้นั้นต้องเกิดสู้รบแย่งชิงกันไม่เฉพาะเรื่องการผสมพันธุ์เท่านั้น แต่รวมไปถึงการหาอาหารเพื่อประทังชีวิตอีกด้วย เหล่าบรรดาเพศผู้นั้นการจะขึ้นเป็นจ่าฝูงหรือผู้นำกลุ่มนอกจากจะต้องผสมพันธุ์กับเหล่าบรรดาเพศเมียในกลุ่มได้มากที่สุด มีลูกมากที่สุดจะต้องมีร่างงกายที่ใหญ่และกำยำมากที่สุดอีกด้วยจึงจะได้ขึ้นเป็นจ่าฝูงและผู้นำของกลุ่ม กระบวนการระหว่างการต่อสู้นี้ล้วนเกิดจากแรงขับของร่างกายตามธรรมชาติและความอิจฉาริษยาก็เป็นกระบวนการทางชีวิวิทยาที่ต้องเกิดขึ้นเพื่อแย่งชิงให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตให้อยู่ต่อไปได้ทั้งสิ้น
ความอิจฉาเป็นแรงขับ(Motive) ของสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของตัวมนุษย์เองมาช้านาน แม้ในปัจจุบันการแย่งชิงเพื่อเอาตัวรอดจะไม่ได้แสดงออกแบบโจ่งแจ้งเช่นสมัยดึกดำบรรพ์ที่ผ่านมา แต่ความอิจฉาริษยาและสัญชาตญาณแห่งการแย่งชิงมันก็ไม่เคยหายไปไหน วิธีการถูกปรับเปลี่ยนให้นุ่มนวลและแยบยลยิ่งขึ้น ในปัจจุบันเราไม่อาจจะทราบหรือสัมผัสได้ถึงความอิจฉาริษยาของผู้อื่นเลยด้วยซ้ำหากผู้ที่กำลังรู้สึกถึงมันไม่พูดหรือแสดงท่าทีใดใดออกมา
เป็นเวลาช้านานและหลายชั่วอายุคนที่ความอิจฉามีบทบาทต่อสังคมมนุษย์ ปัจจุบันเราจะตัวอย่างหรือแม่แบบความอิจฉาริษยาผ่านในงานวรรณกรรมต่างๆข่าวสารและแม้แต่ต้นเหตุขออาชญากรรมรายที่มีให้เห็นกันอยู่บ่อยๆผ่านจอทีวีหรือโลกออนไลน์มากมาย เช่น ตัวร้ายในละครนั้นที่ซึ่งมักจะมาพร้อมความอิจฉาริษยาเสมอและข้อนี้เองที่ทำให้เราคิดละเข้าใจกันไปว่าแน่นอนแล้วว่า เมื่อเรามีอารมณ์อิจฉานั้นแปลว่าเราเป็นคนไม่ดี
ความอิจฉาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเลวร้าย เป็นสิ่งเลวร้ายและเป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคม ในมุมของศาสนาและความเชื่อที่เรามีกันไม่ได้พยายามให้ความเข้าใจถึงสาเหตุและอารมณ์ในเบื้องลึก แต่กลับต่อต้าน และไม่อนุญาตให้เราได้รู้สึกถึงมันหรือแม้กระทั่งหยิบยกมาตั้งคำถามเพื่อทำความเข้าใจด้วยซ้ำ และถ้าหากมีใครสักคนพูดถึงความอิจฉาหรือใครกำลังอิจฉาใครสักคน ผู้ที่ถูกตราหน้าเป็นคนขี้อิจฉาจะถูกตัดสินว่าเป็นคนนิสัยไม่ดีโดยทันที
ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ให้คำอธิบายเกี่ยวกับความอิจฉาริษยาว่า ความอิจฉาจัดอยู่ในหมวดของสัญชาตญาณแห่งความตาย (Death instinct) โดยสัญชาตญาณแห่งความตายที่มีบทบาทมากที่สุดเห็นจะเป็นความก้าวร้าว(aggression)ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนเป็นแรงขับที่จะทำให้คนๆหนึ่งมีพฤติกรรมในรูปแบบของการ ทะเลาะเบาะแว้ง แข่งขัน ต่อสู้ เอาชนะ อิจฉาและแย่งชิง สัญชาตญาณแห่งความตายนี้ทำให้เกิดแรงขับที่จะผลักดันให้บุคคลเกิดพฤติกรรมที่นำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
วิทยาศาสตร์บอกกับเราว่าความอิจฉาคือสัญชาตญาณที่ติดตัวเรามาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์และจะคงอยู่แบบนี้ตลอดไป ความอิจฉาอาจคงอยู่ตลอดไปชั่วชีวิตของคนคนหนึ่งแต่จะไม่สม่ำเสมอ จะไปๆมาๆ เป็นๆหายๆอิจฉามากอิจฉาน้อยแล้วแต่เหตุผลและปัจจัยของแต่ละบุคคล อารมณ์อิจฉาไม่มีหมอที่ไหนรักษาอาการขี้อิจฉาของคนไข้ที่มีอาการขี้อิจฉานี้ได้หาย ละหากจะให้นับจำนวนผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคขี้อิจฉานี้ก็คงต้องเหมารวมมนุษย์ทั่วโลกเลยก็ว่าได้
ความอิจฉาคือความปรารถนาและเป็นรากของความทุกข์ทั้งสิ้น...จริงหรอ
ศาสนาบางศาสนาบอกกับเราว่าความอิจฉาเป็นเหมือนเปลวไฟที่ร้อนรุ่ม...มันพร้อมจะเผาตนเองและคนอื่นให้มอดไหม้ลงเป็นจุนโดยไม่เหลือเศษซากให้มานั่งไยดีอะไร บางศาสนาบอกว่าความอิจฉาลึกๆแล้วคือความปรารถนาที่อยากจะได้อยากจะดีอยากจะเป็น ต้องการเป็นในสิ่งที่ตัวเองไม่มีวันได้เป็นแต่คนอื่นได้เป็น ฉะนั้นแล้วในแง่มุมของศาสนาความอิจฉา = ความปรารถนาและเป็นรากของความทุกข์ทั้งสิ้น
วิทยาศาสตร์บอกว่าความอิจฉารักษาไม่ได้เพราะเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มา
ศาสนาบอกกับเราว่าความอิจฉาทำให้เกิดความทุกข์...และเราต้องดับทุกข์
ส่วนตัวผู้เขียนไม่เชื่อว่าความทุกข์จะดับได้แต่เชื่อว่า...เราสามารถยอมรับและเข้าใจความรู้สึกนี้ได้
ความอิจฉา = สิ่งไม่ดี, สิ่งเลวร้าย, อารมณ์ในด้านลบ...จริงใช่ไหม
อารมณ์ลบๆนั้นไม่ได้มีแค่ความอิจฉาหรอกนะคะแต่ยังรวมไปถึง อารมณ์แห่งความโกรธความเกลียดอีกด้วย น่าแปลกที่ว่า เรากล้าเอ่ยปากบอกคนใกล้ตัวหรือคนสนิทเมื่อเรามีอารมณ์โกรธและเกลียดต่อใครบางคน เราแสดงมันให้พวกเขาเห็นได้อย่างไม่ละอาย แต่เมื่อเรากำลังอิจฉาเรากลับไม่กล้าเอ่ยปากต่อคนอื่นหรือแม้กระทั่งยอมรับกับตนเองจริงๆว่า เรากำลังอิจฉานะ
เมื่อความอิจฉาไม่ใช่ความเลวร้าย จริงอยู่ที่ว่าเมื่อเรารู้สึกว่าเรากำลังอิจฉาใครบางคนเราจะรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง แต่ในขณะเดียกันเรายอมรับความโกรธ ความเกลียดที่เกิดขึ้นในใจเราได้ แต่เราไม่ยอมรับความอิจฉา ไม่อนุญาตให้ความอิจฉามีพื้นที่ในชีวิตของเรา เราพยายามผลักไสหรือสะบัดหัวลืมมันไปไม่ยอมรับความอิจฉาว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและมองว่ามันเป็นสิ่งเลวร้ายที่จะต้องรีบกำจัดไปให้พ้นๆ เป็นสิ่งที่จะให้คนอื่นทราบไม่ได้ว่าเรากำลังรู้สึกถึงมันอยู่
“เลียขาเจ้านายนะสิถึงได้เงินเดือนขึ้นแบบนี้”
“ก็ไม่เห็นว่าจะสวยขึ้นเลยนิ นี่ทำมาแล้วหรอ”
“ฉันไม่ได้อิจฉานะ...แต่ฉันเกลียดที่นางมั่นหน้าเกินไป”
“ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นสิ่งนี้ (Born to be) แต่ที่มีวันนี้ได้เพราะ wanna be ล้วนๆ”
“ใช้ไอโฟนสิบเอ็ดเงินเดือนก็แทบจะไม่พอยาไส้...ลืมกำพืดรากเหง้าของตัวเอง”
เชื่อว่าเพื่อนๆคงได้ยินประโยคเหลี้มาบ้าง อาจจะผ่านโซเชียลมีเดีย ละครทีวี หรือแม้กระทั่งในชีวิตจริง เหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายว่ากำลังอิจฉา การกัดเซาะคนอื่นให้รู้สึกว่าเขาดีไม่พอเพื่อคลี่คลายคลายความรู้สึกและความสบายใจของตนเอง บางคนใช้คามดีเป็นโล่เพื่อพูดถึงคนอื่นในทางไม่ได้ ลดระดับความสุขของผู้อื่นให้ลงมาอยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าความสบายใจของตนเอง การพูดแบบนี้แน่นอนว่าทำให้ผู้พูดรู้สึกดีขึ้น รู้สึกดีกับตัวเองทันตา จริงๆแล้วเรื่องของอารมณ์นั้นไม่ได้มีผิด ถูก ดี หรือไม่ดี เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เสมอ แล้วไม่ใช่ความผิดใคร อารมณ์อิจฉาจะไม่คงอยู่กับเราสม่ำเสมอและตลอดไปจะเป็นๆหายๆ ไปๆมาๆ บางช่วงก็อิจฉามากบางช่วงก็อิจฉาน้อย
ความจริงแล้วแม้แต่สุนัขและแมวหรือเด็กก็ไม่อาจปฏิเสธอารมณ์นี้ แน่นอนว่าค่านิยมในปัจจุบันนับตั้งแต่มีศาสนาเลยก็ว่าได้บวกกับความที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ คนส่วนมากนับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ก็จะมีความคิดเห็นและมุมมองต่อความอิจฉาว่าเป็นอารมณ์ที่เราไม่ควรจะต้องรู้สึกถึงมัน หรือยอมรับมัน ไม่อนุญาตให้เกิดขึ้นในความคิดทั้งของตนเองและผู้อื่น...
แต่ในความเป็นจริงในมุมของวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาแล้วอารมณ์ของมนุษย์ถูกจำแนกขึ้นทั้งสิ้น 11 อารมณ์และความอิจฉาก็เป็นหนึ่งในนั้นในหนังสือ General Psychologyพบว่ามนุษย์มีรากความอิจฉาอยู่ในวัยเด็กเราจะเริ่มมีความรู้สึกอิจฉาเมื่อมีอายุ 1 ปี 5 เดือนหรือประมาณ 18 เดือนหลังจากที่ลืมตาดูโลก...นั่นแสดงให้เห็นว่าความอิจฉาเป็นเรื่องปกติ เป็นอารมณ์ปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อนๆคนไหนที่กำลังรู้สึกถึงมัน ก็อย่าพึงก่นด่าหรือตีโพยตีพายไปว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี ขาดซึ่งวุฒิภาวะและศีลธรรมอันดีงามเลยนะคะ ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรและ ใครๆก็เป็นกัน...
สิ่งที่เราต่อต้าน...จะอยู่นานขึ้นเสมอ
สิ่งที่เรายอมรับ...จะดับไปอย่างรวดเร็ว
Cr: ขุนเขา
เมื่อความอิจฉาไม่ใช่ความผิดอะไร...อาจทำให้ร้อนรุ่มแต่จะทำความเข้าใจกับมันอย่างไรดีละ??
หลายๆคนอาจจะเคยเข้าใจมาว่าความอิจฉาไม่ใช่สิ่งไม่ดี ไม่ใช่ความผิดอะไรหรือความผิดของใครทั้งสิ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความอิจฉาอาจส่งผลบางอย่างต่อร่างกายและจิตใจของผู้ที่กำลังรู้สึกอย่างแน่นอน ซึ่งทางกายนั้นอาจจะทำให้ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้อันเนื่องมาจากความเครียดเพราะคอร์ติซอลหลั่ง แม้ความอิจฉาไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือไม่ดีแต่ก็ส่งผลทางกายได้เช่นกัน เมื่อรู้เช่นนี้แล้วการรู้ให้ทันอารมณ์ของตนเองและการพยายามทำความเข้าใจกับสภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องตระหนักถึงเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากที่เราจะรู้สึกยินดีไปกับความสำเร็จของผู้อื่นโดยเฉพาะคนใกล้ตัว นักจิตวิทยาพบว่าเราจะรู้สึกอิจฉาคนใกล้ตัวมากกว่าดาราเซเลปคนดัง เช่น บิลล์ เกตส์ เขาอาจรวยมากแต่เราก็รู้สึกเฉยๆอาจจะชื่นชมยินดีไปความสำเร็จขของเขาด้วยซ้ำแต่ถ้าหากเป็นคนใกล้ตัวเพื่อนหรือญาติพี่น้องคนรู้จักหากเราพบว่าเขามีความสุขมากกว่ามีเงินมากกว่ามีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากกว่าเราจะยิ่งอิจฉาได้เร็วขึ้น
แต่ยังไงๆเหรียญก็มีสองด้านเสมอ หากเราสามารถทำความเข้าใจและยอมรับมัน ความอิจฉาก็จะกลายเป็นแรงผลักดันหนึ่งที่เราให้เราก้าวต่อไป และอาจก้าวไปได้ไกลกว่าจุดที่เรายืนอยู่ในปัจจุบัน ความอิจฉาเป็นแรงขับเคลื่อนได้แต่ไม่ใช่แรงขับเคลื่อนที่ดีที่สังคมจะให้การยอมรับ เราอาจรู้สึกรวดร้าวเมื่อรู้สึกถึงความอิจฉาที่กำลังเกิดขึ้นในใจของตัวเอง แต่ในอีกด้านอีกมุมหนึ่งความอิจฉามันกลับทำให้เราทะเยอทะยานมากขึ้น
ผู้เขียนไม่ได้สสนับสนุนอารมณ์ร้อนๆเช่นนี้นะคะ แต่อยากให้เรามาทำความเข้าใจกันเพื่อที่จะได้จัดการกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ดีขึ้นและทุกข์น้อยลง
ทำความเข้าใจกับความอิจฉาอย่างไรให้ร้อนรุ่มน้อยที่สุดและใช้ระยะเวลาน้อยที่สุด???
ความรู้สึกอิจฉาอาจทำให้รู้สึกสกปรกและแย่กับตัวเอง มันกัดกร่อนจิตใจเหลือเกิน ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วล้วนเกิดจากความรู้สึกที่เรารู้สึกว่า ตัวเองยืนอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าคนอื่น จึงพยายามสรรหาคำพูดต่างๆเพื่อลดคุณค่าความสุขของผู้อื่นให้เหลือเท่าหรือน้อยกว่าคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ จริงๆมันก็เป็นการคิดให้ตัวเองสบายใจอย่างหนึ่ง แต่การแก้ปัญหาจริงๆอาจไม่ใช่การสนับสนุนความคิดเช่นนี้แน่น่อน
1.ยอมรับความแตกต่าง
You never get what they have at that moment, but you get have your moment in which no one can take it away from you.
คุณมีวันได้ในสิ่งที่เขามี ณ โมเมนท์นั้น แต่คุณเองก็มีโมเมนท์ของคุณไม่ว่าใครๆก็ไม่สามารถมีเหมือนคุณได้
จริงๆแล้วความรวดร้าวที่กัดกร่อนและเกิดขึ้นในจิตใจ มีสาเหตุมาจากการเปรียบเทียบ การเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ที่ซึ่งถูกเลี้ยงดูมาต่างกันเติบโตในสภาวะแวดล้อมสังคมและครอบครัวที่แตกต่างกัน ความสามารถต่างกันและไม่ยอมรับว่า เราและเขานั้นมีความแตกต่าง และการไม่ยอมรับที่จะทำความเข้าใจนั้นจึงเราเจ็บปวด
2. โฟกัสในสิ่งที่ตัวเองมี
เมื่อยอมถึงเหตุผลการได้การดีของคนอื่นอย่างท่องแท้แล้ว ก็กลับมาโฟกัสในสิ่งที่ตัวเองมีแล้วเร่งพัฒนาตนเองให้บรรลุเป้าหมายนั้น เช่น เพื่อนของคุณอาจไม่ได้ตั้งเรียนในรายวิชาจิตวิทยาเลยแต่เขากลับได้เกรดเอ ซึ่งต่างจากคุณเองที่อ่านหนังสือและหาข้อมูลเป็นสองเท่าคุณกลับได้ซีบวกเท่านั้น ซึ่งไม่ยุติธรรมเลยใช่ไหมละ แต่หากพูดถึงการนำมาใช้ แม้ว่าคุณอาจไม่ได้เกรดเอ แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจของคุณนั้นเต็มเปี่ยมความรู้ที่เต็มแมกซ์คุณสามารถนำความรู้ที่เรียนมาไปต่อยอดเขียนบทความหรือคอลัมน์ลงบนเว็บไซส์เพื่อหารายได้เสริมและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
3.เรียนรู้ว่าชีวิตเขาที่ดีกว่านั้นเพราะอะไร
หากเรากำลังเกิดความรู้สึกนี้อยู่ ไม่อยากให้เพื่อนๆรีบไปตัดสินว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี ให้ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนว่ากำลังรู้สึกถึงมันนะและมันเกิดขึ้นแล้ว...จากนั้นค่อยๆพินิจพิจารณาถึงเหตุและผลว่าสิ่งที่คนอื่นเขามีแล้วเราไม่มี เขาได้มายังไง? เขาต้องแลกอะไรไปบ้างซึ่งมันอาจจะเป็น หยาดเหงื่อ หยดน้ำตา แรงงาน ศักดิ์ศรี เวลาของครอบครัว เวลาส่วนตัว เวลาในชีวิต แล้วอะไรที่ทำให้เราไม่มีอย่างเขา และหากเราอยากได้ในสิ่งที่เขาได้นั้น เราจะยอมแลกเหมือนที่เขาแลกหรือเปล่า
แม้ว่าในปัจจุบันภาพของคนขี้อิจฉาจะยังถูกตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดี เป็นสิ่งไม่ดีในสังคม เป็นความสกปรกเลวร้ายแต่แล้วมันก็เป็นหนึ่งในสิบเอ็ดอารมณ์ที่ธรรมชาติให้มา ความอิจฉามีกันทุกคนแต่สิ่งที่ทำให้คนแตกต่างนั้นก็คือการเลือกที่จะแสดงออกและยอมรับที่จะทำความเข้าใจกับมันว่าความอิจฉาคือเรื่องปกติ ที่สามารถเกิดขึ้นและหายไปได้กับทุกๆคน
ขอบคุณที่อ่านจนจบและชื่นชอบนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความถัดไปค่ะ หากมีคำแนะนำสามารถแสดงความคิดเห็นได้เลยนะคะ Pinky_Bonbons จะได้กลับมาพัมนาฝีมือการเขียนให้ดียิ่งขึ้น :)
อ้างอิง :
ขอบคุณข้อมูลบาส่วนจาก :
ขอบคุณรูปภาพจาก
โฆษณา