17 ธ.ค. 2019 เวลา 13:05 • บันเทิง
เรื่องสั้น : พิพิธภัณฑ์แห่งความร้าวราน
กล่องดนตรีกำลังเล่นเพลง Eternal flame เพลงเก่าล้าสมัยที่เด็กยุคนี้คงไม่รู้จัก เจ้ากล่องดนตรีที่ว่ามีข้อความบรรยายติดไว้ที่ข้าง ๆ ระบุข้อความไว้ว่า
"ด้วยความหวังว่ารักเราจะเป็นนิรันดร์ จาก ต้อม ให้ จุ๋ม"
มีคำอธิบายที่มาของกล่องดนตรีนี้เพิ่มเติมอีกว่า
"กล่องถูกนำมาบริจาคเมื่อ 14 กุมภาพันธุ์ 2561 เพราะเจ้าของไม่ได้ต้องการมันอีกแล้ว ความรักจบลงอย่างปวดร้าวและเดียวดายเกินกว่าจะทนฟังโน๊ตตัวใดจากสิ่งนี้ได้อีกเลย"
และแน่นอนว่าของทุกชิ้นที่ถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งรักร้าวแห่งนี้ ไม่มีชิ้นไหนที่จะพึงใจเจ้าของอีกต่อไป มันจึงถูกนำมาวางไว้ที่นี่ ในแหล่งรวมความร้าวรานของหัวใจ สิ่งของทุกชิ้นเปื้อนน้ำตาและความเสียใจมามากบ้างน้อยบ้าง แต่แน่นอนว่าทุกชิ้นนั้นถูกทิ้ง ไร้คุณค่าต่อเจ้าของตลอดไป
ผมหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายกล่องดนตรีรูปโดมแก้วอันนี้ไว้ มันทำให้ผมนึกถึงเธอคนนั้น คนที่ผมทิ้งเธอไว้ในหลุมดำของความทรงจำ ผมเชื่อว่าที่นั่นจะกักเก็บเธอเอาไว้ได้ราวกับตรุทาร์ทะรัส แต่เปล่าเลย แค่กล่องดนตรีสีแดงอันนี้ ก็ปลดปล่อยเธอออกมาโลดแล่นราวกับกล่องแพนโดร่าที่ถูกความอยากรู้อยากเห็นปลดปล่อยให้ความชั่วร้ายนานาพรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
เธอคือความทรงจำที่แหลกสลายจนไม่อยากแม้เพียงนึกถึง
"พอเหอะ เป้ เราเหนื่อยแล้ว เหนื่อยกับความไม่เอาถ่านของเป้แล้ว ได้ยินป่ะ" เธอมีน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจนไปกองที่ปลายคาง
"ขอเราพยายามอีกหน่อย เราจะเปลี่ยน มันจะดีขึ้นแน่ ออย" ผมพยามกุมมือเธอไว้
เธอสะบัดมือออก
"กี่ปีแล้ว กี่ครั้งแล้ว เป้เคยเปลี่ยนเหรอ ไม่ไง เหมือนเดิมทุกอย่าง พอกันทีกับคำพูดที่หลอกให้แค่ผ่านไปเป็นวัน ๆ" เธอเอามือเช็ดน้ำตาแล้วหยิบกระเป๋าขึ้น
"ออย ขอร้องละ อย่าทำแบบนี้เลย" ผมคว้าแขนเธอ
"ปล่อยสิ ปล่อยยย" เธอกรีดร้องทั้งน้ำตา
ทันทีที่ผมปล่อยมือ หัวใจก็แหลกสลายไม่เหลือแม้ธุลีของความทรงจำดี ๆ
"ของพวกนี้จะทิ้งหมดเลยเหรอครับ" เจ้าหน้าที่หนุ่มของพิพิธภัณฑ์รักร้าวสาขาแรกของไทยเอ่ยทักขึ้น
"อ๋อ ครับ ผมไม่ต้องการพวกมันอีกแล้วครับ ได้โปรดช่วยรับไว้ที" ผมยิ้มแห้ง ๆ ให้เขาพร้อมยื่นกล่องในมือให้เขา
"แหวนนี่..เออ"
"ผมไม่อยากขายมันครับ มันสลักชื่อไว้ อย่าให้มันต้องเปลี่ยนมือไปให้ใครเลยครับ" ผมเอ่ย
"เข้าใจครับ ที่นี่ก็มีหลายวงเลย มันคงเสียใจเหมือนกันที่มันไม่ได้อยู่บนนิ้วของใครคนนั้นอีกต่อไปแล้ว" เขาเอ่ยพร้อมรับกล่องใบนั้นไป
"ขอเดินดูรอบ ๆ อีกสักครู่นะครับ"
"ยินดีครับ ตามสบายนะครับ" เขาเดินเอากล่องที่ผมยกมาจากบ้านเดินลับหายไปในมุมมืดของพิพิธภัณฑ์
ผมมองตามหลังเขาไปจนลับตา แต่สิ่งที่เห็นไม่ใช่หลังของเขา แต่มันคือภาพความทรงจำ
ในตอนนั้น ตอนที่เธอร้องไห้และเดินจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
"มึงไม่มีทางลืมนังออยมันได้หรอก เชื่อกู" เพื่อนทอมของผมเอ่ยในขณะที่ผมกำลังยกขวดเบียร์ขึ้นกรอกลงคอราวกับดื่มน้ำเปล่า
รสขมปร่าแผ่ซ่านลงไปถึงกระเพาะ และเพียงไม่กี่นาที ความรู้สึกราวกับเธอคนนั้นเลือนลางไปจากสมองก็เกิดขึ้น ผมจึงกรอกมันเพิ่มเข้าไปอีก
"มึงแดกจนตับแข็ง มึงก็ไม่ลืมหรอก มึงต้องตายโน่น มึงถึงจะลืมมันได้ ไอ้เป้ มึงมันบ้า" เพื่อนที่เริ่มเมา หรือผมที่เริ่มมึนกันแน่ที่กำลังร้องไห้ ไม่สิคงเป็นผมมากกว่า เพราะผมรู้สึกถึงของเหลวอุ่น ๆ ที่ไหลออกมานองหน้าได้ แม้ว่าอากาศในร้านจะเย็นแค่ไหนก็ตาม เสียงเพลงที่ดังกลบแม้เพื่อนกำลังตะโกนใส่หู แต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจาก
"พอเหอะเป้ พอกันที!" มันดังซ้ำ ๆ ราวแผ่นไวนิลไร้คุณภาพที่เข็มเพชรกำลังขูดไปตามรอยคลื่นเล็ก ๆ แต่กลับวนอยู่ในร่องเสียงเดิมซ้ำ ๆ
ผมเดินไปจนเจอของอีกชิ้น เป็นขวลโหลใส ภายในบรรจุดาวกระดาษหลากสีสัน ของที่ระลึกที่นิยมกันมากในยุค 90 คนให้มักหวังว่ามันจะนำความสมหวังมาให้กับผู้รับ
"หัวใจฉันมันแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันมากมายกว่าจำนวนดาวกระดาวในขวดนี้เสียอีก หรืออาจจะมากกว่าดาวบนท้องฟ้าด้วยซ้ำ แต่อย่าคิดว่าฉันจะยอมแพ้ ต่อให้จะใช้เวลากี่ปีแสง ฉันก็จะเก็บเศษเสี้ยวของหัวใจฉันให้ครบแล้วมอบมันให้คนที่ต้องการมันแม้ในสภาพใดก็ตาม มันอาจใช้เวลา แต่เชื่อว่ามันจะมาถึง"
คำอธิบายที่เขียนไว้ข้างขวดโหลที่ว่า
จริงด้วยสิ ผมคงไม่มีทางลืมเธอได้หรอก ถึงแม้จะเอาความทรงจำเหล่านั้นไปเก็บซ่อนในมุมที่มืดสนิทที่สุด แต่เธอก็ยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่เคยหายไปไหน นิ่งสนิทในมุมมืดที่เย็นเฉียบ แต่กลับไม่เคยสูญสลาย มันจึงไม่มีประโยชน์ที่จะซุกซ่อนเอาไว้ หรือแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
ผมคงทำได้เพียงเย็บซ่อมปะชุนหัวใจที่ขาดสะบั้น จับมันยัดแน่นด้วยความหวัง เย็บปิดตะเข็บด้วยรอยยิ้มที่แท้จริง มันอาจใช้เวลานานมาก ๆ แต่ผมเชื่อว่าเมื่อใดที่ผมทำสำเร็จ เมื่อนั้นต่อให้เธอเดินกลับมายืนตรงหน้า ผมก็คงบอกอะไรไม่ได้ดีไปกว่า
"ลาก่อน ขอบคุณที่เคยมีเวลาดี ๆ ด้วยกันนะ"
เมื่อนั้นพิพิธภัณฑ์แห่งความร้าวรานคงเป็นแค่สถานที่เดินฆ่าเวลา และระลึกถึงความเป็นธรรมดาของชีวิต ที่ความรักมักมีทั้งสมหวังและผิดหวังเป็นของคู่กัน ไม่มีใครไม่เคยเจ็บเพราะมัน แต่ทุกคนก็ยังคงโหยหามัน แม้ว่าจะเคยเจ็บสักเพียงไหน
ผมถ่ายภาพของอีกสองสามชิ้นกับคำอธิบาย พวกมันทำหน้าที่สมบูรณ์แบบแล้ว หลักฐานยืนยันชั้นดีว่าไม่ได้มีผมเพียงคนเดียวที่เจ็บปวดและพยายามลืมมัน แต่ผู้คนมากมายก็ไม่แตกต่างกัน ผมจึงคิดขึ้นได้ว่า
"ในเมื่อลืมยากนัก ก็จำเสียเถอะ จำสิ่งที่สวยงามและเวลาดี ๆ ที่เคยใช้ร่วมกัน เพราะนั้นคือการลืมความเจ็บปวดที่งดงามที่สุดแล้ว"
แสงสว่างตรงทางออกเผยให้เห็นสีเขียวขจีจากร่มไม้ใหญ่ด้านนอก ภาพเธอสวมหมวกปีกกว้าง เดินหัวเราะตอนที่มีกระรอกขว้างกิ่งไม้ใส่หัวผมในสวนสาธารณะลอยแทรกความทรงจำผมขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งมันก็ไม่ได้เลวร้ายนักที่เธอยังอยู่ในนี้ ในหัวใจผม
แต่ต่อไปนี้ มันจะมีแต่ภาพดี ๆ ผมสัญญา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา