17 ธ.ค. 2019 เวลา 11:40 • ประวัติศาสตร์
“ตั้งแต่อัญเชิญพระพุทธชินสีห์ไป เมืองพิษณุโลกก็ฝนแล้งไป ๒ ปี”
ความตอนหนึ่งที่ราษฎรพากันกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงทราบ เมื่อราษฎรได้ทราบพระราชดำริที่จะอัญเชิญเอาพระพุทธชินราชจากเมืองพิษณุโลกไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรที่ทรงบูรณะ
ก่อนหน้านี้ พระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์ คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา ประดิษฐานอยู่ร่วมกัน ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก ทั้งยังเป็นที่สักการะของราษฎรและเจ้านายมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย
ความงดงามของพระพุทธรูปทั้ง ๓ เป็นที่เลื่องลือจนเป็นที่กล่าวขานกันอย่างเอิกเกริกว่าเป็นฝีมือของเทวดา ด้วยเป็นพระพุทธรูปที่รังสรรค์ตามคติของช่างสกุลสุโขทัย ที่เข้าถึงสรีระแห่งอุดมคติอันแฝงถึงนัยยะแห่งความสงบในพระนิพพานตามแก่นของบวรพุทธศาสนา
ถึงขนาดที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงเอ่ยไว้ว่า
“พระพุทธชินราช พระพุทธชินศรีสองพระองค์นั้นงามแหลมแก่ตามมากกว่าพระพุทธรูปใหญ่น้อยบรรดามีในแผ่นดินสยามทั้งปักษ์ใต้ ฝ่ายเหนือ และตลอดกาลนานมาถึง 900 ปีมีผู้เลียนปั้นเอาอย่างไปมากก็หลายตำบล จะมีพระพุทธรูปที่คนเป็นอันมากดูเห็นว่าเป็นดีเป็นงามกว่าพระพุทธชินราชพระพุทธชินศรีสองพระองค์นี้ก็ไม่มี”
ครั้นเมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ทรงอัญเชิญพระพุทธชินสีห์ไปประดิษฐาน ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
คราวนั้นราษฎรต่างพากันเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก จนกล่าวกันว่าบรรยากาศในเมืองพิษณุโลกระหว่างอัญเชิญพระพุทธชินสีห์ไปกรุงเทพฯ เหงียบเหงาราวกับป่าช้า
ต่อมาไม่นานเมืองพิษณุโลกฝนแล้งไปถึงสองปี และเกิดโรคระบาดในเมือง และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพก็สิ้นพระชนม์ในเวลาไล่เลี่ยกัน
ชาวพิษณุโลกจึงโจษจันกันว่าเป็นเพราะท่านพรากเอาศรีของเมืองพิษณุโลกนั้นไป
พระพุทธชินสีห์ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
โฆษณา