18 ธ.ค. 2019 เวลา 15:07 • ปรัชญา
คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
วันนี้พอดีมีเวลาว่างจึงอยากจะเขียนบทความสักเรื่องเป็นสิ่งที่ผมอยากนำเสนอ ผมได้อ่านบทความเกี่ยวกับกาแฟ การดื่มกาแฟของแต่ละบทความ ของน้องเป้ย คลินิคลงทุน สอนตัวเอง เป็นต้น
จึงทำให้ผมฉุกคิดขึ้นได้ว่ามีคนหนึ่งที่เป็นต้นแบบตัวอย่างให้กับผมในการปลูกต้นกาแฟ คือ คุณก้อง สุพจน์ กรประสิทธิ์วัฒน์ หรือ “ก้อง กาแฟ” หนุ่มอินดี้ ที่ผันตัวเองเป็นนักพัฒนากาแฟไทย สู่สากล
ถ้ากล่าวถึง “กาแฟ” ผมเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่คลั่งไคล้ และหลงใหลทั้งรส ทั้งกลิ่นของกาแฟ แต่การเข้าถึงและสัมผัส กาแฟไทยได้ด้วยจิตวิญญาณนั่นจะยากมาก
หากใครมีโอกาสไปเที่ยวที่ จังหวัดระนองและได้แวะไปที่ Kong coffee (ก้อง กาแฟ) วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์กาแฟคั่วมือ
“ก้อง วัลเลย์” ตั้งอยู่ในหุบเขาบ้านบกราย ต.บางน้ำจืด อ.กระบุ จ.ระนอง ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและเรียนรู้ กาแฟพันธุ์ไทย ที่กำลังจะมีคุณภาพเทียบเท่ากาแฟสากล
คุณก้องกล่าวว่า จากคนที่เป็นคอกาแฟอยู่แล้ว และเขาได้เห็นเกษตรกรที่บ้านเกิด ปลูกกาแฟหลายร้อยไร่ แต่ในหัวกลับมีคำถามว่า ชาวสวนกาแฟที่มีสวนหลายสิบไร่ ทำไมยังซื้อกาแฟแบบซองดื่ม? ไม่ดื่มกาแฟที่ตัวเองปลูก
อีกทั้งราคากาแฟที่พวกเขาปลูกสูงลิ่ว เป็นเหตุผลที่เขาใช้เวลาศึกษากว่า 5 ปี เพื่อพัฒนา “กาแฟโรบัสต้าไทย” ให้เทียบเท่ากาแฟสากล
คุณก้องบอกว่า “โรบัสต้า" ถือเป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง แค่ใช้เวลาอยู่บนต้นนานหลายเดือน ผลไม้ที่ดีต้องมีรสเปรี้ยวและผลไม้ที่สุกเต็มที่จะคั้นน้ำได้เยอะ น้ำที่คั้นได้จะมีรสชาติดี
คุณก้องบอกอีกว่าการคั่วกาแฟไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย ไม่มีอะไรซับซ้อน มีแค่ความใส่ใจที่ต้องคอยดูเมล็ดกาแฟที่อยู่บนกระทะให้ได้ตามต้องการ เพื่อจะนำกาแฟมาบดและดริป
1
โดยขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ แต่คุณก้องบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องชงราคาหลักหมื่นหลักแสน หากเพียงแค่เรามีเมล็ดกาแฟที่ดี และความตั้งใจกาแฟในแก้วก็จะออกมารสชาติดีแน่นอน
ต้นกาแฟที่พร้อมสุก
จากที่กล่าวมามันทำให้ผมเรียนรู้ศึกษาเรื่องกาแฟ ซึ่งในเบื้องต้นผมได้ซื้อต้นกาแฟสายพันธุ์อราบิก้า จากงานเกษตร 3 ต้น 100 บาท โดยซื้อมา 1000 บาท จำนวน 30 ต้น
จากการใช้เวลา 3 ปี ออกลูกสุก มีสีแดง แต่ครั้งแรกยังไม่รู้กรรมวิธีในการนำเมล็ดกาแฟมาแกะเปลือก เอาเมล็ดตากแดด นำมาคั่ว และบด พร้อมชงแบบกรองธรรมชาติ
การเก็บเมล็ดกาแฟนั้นจะต้องให้สุกสีแดงเต็มที่ เมื่อนำมาเคี้ยวจะมีความหวาน ผมเคยสังเกตดูว่าต้นกาแฟที่มีร่ม หรือต้นไม้คลุม บังแดดให้ จะสุกช้ากว่า ต้นที่อยู่กลางแจ้ง และต้นในร่มจะไม่แดงมากเท่าต้นกลางแจ้ง
ต้นกาแฟที่เก็บเมล็ดแล้ว
รสชาติของกาแฟจะอยู่ที่ระยะเวลาในการตากแดด พอถึงเวลาเย็นหรือตกค่ำ ควรเก็บเมล็ดที่ตากไว้เก็บในที่ร่ม เพื่อไม่ให้หมอก หรือฝนตกลงใส่ ตอนเช้านำมาตากแดดเหมือนเดิม ใช้ระยะเวลาตากสัก 2-3 วัน
หลังจากนั้นคัดเมล็ดที่เล็กออกแยกเป็นส่วนๆ หากเมล็ดไหนที่เล็กสำหรับผมจะนำมาคั่วแล้วบดชงดื่มเองตอนเช้า บางครั้งก็บดใส่กระปุกไปด้วยและมีที่กรองกับแก้ว 1 ใบ ขวดเก็บน้ำร้อน พกติดตัวหรือใส่ในรถไปด้วย
กรรมวิธีในการคั่วระยะเวลาในการคั่วมี 3 ระดับ คือ 1. แบบคั่วอ่อน 2. แบบคั่วปานกลาง 3. แบบคั่วเข้มข้น (ดำ) ซึ่งจะอยู่ที่ระดับไฟที่คั่วและระยะเวลาแต่ละระดับไม่ห่างกัน 30-50 วินาที
การคั่วทั้ง 3 ระดับ ที่ผมลองคั่วดู ในระดับแรกจะมีกลิ่นหอมนิดหน่อย รสชาติคล้ายโอเลี้ยง ระดับที่สอง กลิ่มหอมแบบนุ่มนวล รสชาติขมพอดี มีรสเปรี้ยวนิดหน่อย ระดับที่สาม จะมีกลิ่นหอมกลมกล่อม รสชาติเข้มข้น และเปรี้ยว
กาแฟที่คั่วและบดเอง
ความภูมิใจของผมคือการได้ทานลูกกาแฟแบบสดๆ ที่มีความเปรี้ยวบ้าง หวานบ้าง เมื่อเคี้ยวเมล็ดที่สดโดยไม่คั่วจะมีความมัน แต่มีคาเฟอีนอยู่ แต่ถ้าคอกาแฟจริงๆ แนะนำกาแฟดำ หรือ อเมริกาโน่ ผมชอบชงแบบนี้ได้รสชาติและกลิ่นของกาแฟ ที่ไม่เจือด้วยนม น้ำตาล หรือครีมเทียม
หลังจากที่ศึกษาแนวคิดของคุณก้องผมจึงได้ขยายต้นกาแฟออกอีก 300 ต้น จาก 30 ต้น โดย ผมคำนวณดูกาแฟ 1 ต้น ได้กาแฟคั่ว ประมาณ 1 กิโลกรัม 30 ต้น ได้ 30 กิโลกรัม
ราคากาแฟโลกกิโลกรัมละ 600-1000 บาท แต่หากทำดีๆ ส่งตามร้านกาแฟทั่วไป กิโลกรัม ละ 500 บาท ก็ขายได้ผมเคยลองขายดูแล้ว 5 กิโลกรัม มีการตอบรับดี
โดยผมมีความฝันอยากมีไร่กาแฟเป็นของตนเองไว้ทำกินเอง ซึ่งวันนี้ผมได้ทำกินเองแล้ว และในอนาคตคงจะเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมาก
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนที่มีความฝัน จงทำจากเล็กไปหามาก แล้วสักวันสิ่งที่เราทำจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาเอง ขอแค่กล้าที่จะทำ แต่อย่าคาดหวังอะไรมาก ทำเล็กไปหาใหญ่ แล้วจะดีเอง
ด้วยรักและปรารถนาดี
โฆษณา