19 ธ.ค. 2019 เวลา 07:48 • การศึกษา
มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐหรือนักซุบซิบโดยกำเนิดกันแน่นะ?
"แกรรรร....มีเรื่องเมาส์มอยคร่าา"
"ฉันเห็นเลขาหน้าสวยเปลี่ยนคู่ควงอีกแล้วจ้า"
"เออนี่...ได้ยินข่าวลือป้ะ ที่บอสโดนจับได้ว่าแอบไปกิ๊กกั๊กกะน้องฝึกงานที่มาใหม่ หูยยย สภาพเยินมาทำงานเชียว"
ประโยคคุ้นๆที่อ่านไปแล้วก็ทำให้เห็นถึงสีหน้าสีตาผู้พูด และดูเหมือนว่าประโยคด้านบนจะเป็นการกล่าวถึงผู้อื่นอีกด้วย รูปประโยคแบบนี้คงหลีกหนีไปใช้คำนิยามอื่นไม่ได้นอกเสียจากจะนิยามว่าพฤติกรรมเช่นนี้ว่า "การซุบซิบนินทา"
การซุบซิบนินทาหมายถึงอะไร??
การซุบซิบนินทาหมายถึงพฤติกรรมการกล่าวถึงบุคคลที่สามในเรื่องที่อาจเป็นจริงหรือเป็นเท็จก็ได้ อย่างลับๆ โดยที่บุคคลนั้นไม่สามารถรับรู้ถึงการกล่าวตนเองได้เลย และส่วนมากการนินทามักจะเพ่งความสนใจไปที่พฤติกรรมหรือสถานการณ์ไปที่การกระทำที่ผิด ความไม่ถูกต้อง มากกว่าการกระทำหรือสถานการณ์ที่ถูกต้องและดีงาม
การนินทาเป็นเครื่องมือทางสังคมอย่างหนึ่งที่ออกมาในรูปแบบของการสื่อสาร การสื่อสารอาจเกิดขึ้นในรูปแบบของการพูดคุย ผ่านตัวอักษร หรือภาษากายก็ได้เช่นกัน นานมาแล้วที่การซุบซิบนินทาถูกทำให้เป็นเรื่องปกติในสังคมและปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันได้อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาอย่างช้านานแล้ว ในปัจจุบันแม้การซุบซิบนินทานั้นจะไม่เป็นพฤติกรรมที่ถูกยอมรับในสังคม แต่ดูๆไปแล้วเหมือนตลกร้ายในสำนวนไทยที่ว่า “ปากว่าตาขยิบ” หรือ “มือถือสากปากถือศีล”
แม้การซุบซิบนินทาจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรส่งเสริมหรือไม่เป็นที่ยอมรับแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราสามารถพบเห็นพฤติกรรมเช่นนี้ได้อย่างง่ายดายอย่างเป็นปกติ เช่น ข่าวซุบซิบดาราผ่านทางวารสารบันเทิงจอโทรทัศน์ ใกล้ตัวเข้ามาหน่อยก็ปัญหาของคนใกล้ตัวที่มีต่อบุคคลที่สาม ที่คอยมาบ่นระบายให้ฟังอย่างลับๆ ซึ่งบางทีการซุบซิบนินทาอาจไม่ได้ทำเพื่อแก้ไขปัญหาหรือการให้คำปรึกษาด้วยซ้ำ แต่เป็นเพียงการพูดหรือกล่าวถึงบุคคลที่สามเพื่อความสนุกในกลุ่มของตนเอง และไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเราเองต่างก็ต้องเคยตกเป็นเหยื่อของการถูกนินทาและเป็นผู้ซุบซิบนินทาผู้อื่นเสียเองเช่นกัน
พฤติกรรมการซุบซิบนินทาถูกจัดให้อยู่ในหมวดของตัวร้าย ทั้งในทางสังคม ศาสนาและจิตวิทยา ฉะนั้นผู้ที่นินทาผู้อื่นจึงมักถูกตราหน้าว่าเป็นคนนิสัยไม่ดี ด้วยเหตุนี้แล้วการซุบซิบนินทาจึงต้องเป็นไปอย่างลับๆและระมัดระวังที่สุด เพราะหาโดนจับได้แล้วพฤติกรรมการซุบซิบนินทาผู้อื่นอาจส่งผลกระทบทางความสัมพันธ์ให้กับผู้พูดและผู้ถูกกระทำทั้งสองฝ่ายแล้ว ผู้พูดอาจถูกลงโทษจากสังคมและในทางข้อกฎหมายในข้อที่ว่าความผิดฐานหมิ่นประมาท
และผู้ถูกกระทำเองก็อาจส่งผลกระทบด้วยในข้อที่ว่าถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงในกลุ่มหรือแวดวงนั้นๆ การซุบซิบนินทายังเป็นการสร้างบาดแผลทางใจให้กับผู้กระทำซึ่งจากคำครหาต่างๆที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านภาพลักษณ์และเสียใจเสียความรู้สึกและยิ่งไปกว่านั้นการซุบซิบนินทายังเป็นเป็นการสร้างความบาดหมางภายในใจระหว่างบุคคลสองคนหรืออาจจะมากกว่านั้น
ในหนังสือชื่อ เซเปียนส์ ของนักวิชาการประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 อย่าง ยูวัล โนอาห์ แฮรารี เขาได้ให้คำอธิบายในเรื่องของการซุบซุบนินทาว่า การซุบซิบนินทา แท้จริงแล้วเป็นผลพวงของภาษาที่เราใช้ในการสื่อสารกัน มนุษย์ถูกวิวัฒนาการขึ้นมาให้เป็นสัตว์สังคมต้องอยู่ร่วมกันเท่านั้น ไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้
และการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มในสมัยก่อนนั้นภัยอันตรายไม่ใช่เพียงแค่มาจากสัตว์ป่าหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เหล่าเซเปียนซ์อาจคาดไม่ถึงเท่านั้น แต่การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มก็อาจมีภัยอันตรายจากสมาชิกของกลุ่มเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้การอยู่รวมเป็นกลุ่มนั้นจึงทำให้เราจำเป็นต้องรู้ข้อมูลของสมาชิกภายในกลุ่มว่า ใครเป็นอย่างไร ใครเกลียดใคร ใครมีปัญหากับใคร ใครนอนกับใคร ใครเจ้าเล่ห์ และใครซื่อสัตย์
การซุบซิบนินทาเป็นการส่งต่อข้อมูลแบบลับๆโดยที่ผู้ที่ถูกเอ่ยถึงไม่อาจได้ยินหรือรับรู้ได้เลย ในขณะที่บทสนทนาได้เกิดขึ้นแล้ว การซุบซิบนินทาแท้จริงแล้วเป็นการส่งสารหรือข้อมูลของสมาชิกในกลุ่ม เป็นการเอาตัวรอดเพื่อทำความเข้าใจกับบุคคลหรือสถานการณ์นั้นๆ เพื่อที่จะเตรียมรับมือและไตร่ตรองว่าควรที่จะตอบสนองหรือเเสดงออกไปอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับบุคคลและสถานการณ์นั้นๆ นี่อาจเป็นเหตุผลแท้จริงของการซุบซิบนินทาว่า แท้จริงแล้วพฤติกรรมนี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไรด้วยเหตุผลอันใด
เกือบสามพันปีมาแล้วที่ศาสนาเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของสัตว์สังคมอย่างมนุษย์เรา และไม่ว่าศาสนาใดใดก็ต่างพยายามพุ่งเป้าไปที่การขจัดความทุกข์ มุ่งหาสาเหตุแห่งทุกข์ ขจัดการเบียดเบียนต่างๆ โดยข้อบัญญัติของบางศาสนาจะดูขัดกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่เป็นผลพวงของชีววิทยาที่เราไม่สามารถเลือกหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธได้ ก็ได้ถูกศาสนาวางข้อจำกัดและตีความถึง ความดี ไม่ดี เหมาะสม ไม่เหมาะสม บุญ บาป ศาสนาไม่ได้แม้แต่พยายามให้ความเข้าใจแต่พยายามกำจัดสิ่งที่เป็นโครงสร้างหนึ่งของสังคมมนุษย์อย่างการซุบซิบนินทาออกไป ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่าการนินทานั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีแต่ผู้เขียนให้ความสนใจที่จะทำความเข้าใจมากกว่าการที่จะไปตัดสิน
ในมุมของผู้โดนซุบซิบนินทาบ้าง การถูกกล่าวถึงโดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ดีของคนนั้น ไม่ว่าใครๆ ก็คงไม่น่าจะเป็นที่พิสมัยนัก ที่ความลับหรือตัวตนของตัวเองถูกเปิดเผยแพร่งพรายออกไป จึงทำให้มีการตอบสนองออกไปในรูปแบบต่างๆตามประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมมาของแต่ละบุคคล บางคนก็อาจแสดงออกโดยการปลีกตัวออกจากกลุ่มไปสักพักเพื่อหากลุ่มย่อยกลุ่มใหม่ บางคนก็อาจตอบโต้กลับทันทีโดยการต่อว่าคนที่กำลังพูดหรือรู้ข้อมูลของตัวเองและรุนแรงกว่านั้นก็อาจเป็นการแสดงออกโดยการใช้กำลังประทุษร้ายทางร่างกายจนถึงแก่ชีวิตต่อผู้ที่ได้ล่วงความลับหรือข้อมูลบางอย่างของเราไว้ภายใต้มือของเขา
แต่บางคนก็แสดงออกโดยการนิ่งเฉยไม่ให้ความสนใจใดใดและสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ทั้งนี้แล้วการเลือกแสดงออกซึ่งปฏิกิริยาใดใดล้วนต้องเกิดจากประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาของแต่ละบุคคลว่าได้รับการเรียนรู้อบรมสั่งสอนในเรื่องการแสดงออกต่อปัญหานั้นๆอย่างไร
จากแค่ซุบซิบนินทาเพื่อส่งข้อมูล มนุษย์ยังรู้จักการใช้จินตนาการในการเล่าเรื่อง เพิ่มอรรถรสให้ดูน่าตื่นเต้นและยิ่งเป็นการส่งข้อมูลของบุคคลที่เราไม่ชอบแล้วละก็ แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่ข้อมูลเหล่านั้นอาจถูกบิดเบือนไปได้ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะการทำข้อมูลให้ดูเสื่อมเสียและแย่ลง ทั้งนี้ในมุมจิตวิทยาการนินทาว่าร้ายผู้อื่น ใส่สีตีไข่ในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงก็ถือเป็นพฤติกรรมการเรียกร้องความสนใจจากผู้รับฟังอย่างหนึ่ง
แต่ทั้งนี้แล้วการนินทาก็ยังมีประโยชน์และโทษไปพร้อมๆกัน กฎหมาย ศาสนาและศีลธรรมอาจปกป้องคุ้มครองผู้ถูกนินทา แต่การนินทาหรือการส่งข้อมูลที่เป็นจริงก็ปกป้องผลประโยชน์ให้กับกลุ่มและสังคมเพื่อป้องกันคนฉ้อโกงและเอาเปรียบผู้อื่น ส่วนในมุมจิตวิทยานั้น การนินทาว่าร้ายกลับไปการสั่งสมบ่มเพาะพฤติกรรมที่ไม่ดีให้กับผู้พูดเอง และยังสร้างบาดแผลทางใจให้กับผู้ตกเป็นเหยื่ออีกด้วย
อย่าลืมนะคะว่าการนินทาว่าร้ายนั้น เป็นเครื่องมือหนึ่งของการบูลลี่ ซึ่งไม่ใช่พฤติกรรมที่เป็นที่ยอมรับในสังคม การส่งสารของบุคคลที่สามก็ควรส่งสารเฉพาะที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เพื่อระมัดระวังข้อทางกฎหมายให้กับตนเองและระมัดระวังความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งทางสังคมหรือจิตใจของผู้ที่เรากำลังถูกกล่าวถึงด้วย
และแม้ว่าในปัจจุบันการซุบซิบนินทาถูกห้ามไม่ให้ทำ และถูกจัดว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างแน่นอนแล้ว แต่คุณคิดว่า นักวิชาการทางด้านการศึกษาจะหารือเรื่องการศึกษาหรือการพัฒนาศักยภาพทางการเรียนรู้ของมนุษย์ในมื้อเที่ยงกับบัดดี้ของเขา (ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นในบางครั้ง) หรือพวกเขาจะพูดเรื่องคุณหมอเพื่อนรักสมัยมัธยมถูกภรรยาของเขาจับได้ว่าเขามีชู้เป็นนางพยาบาลในโรงพยาบาลเขาทำงานอยู่ หรือการมีปากเสียงของเลขาหน้าห้องของระหว่างหล่อนและสามีมากกว่ากัน
ฉะนั้นแล้วการซุบซิบนินทาแม้ว่าไม่ใช่พฤติกรรมที่เป็นที่ยอมรับของสังคม แต่ก็การซุบซิบนินทาก็ยังคงดำเนินไปในทุกๆสังคม ในบทสนทนาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราและสมาชิกในกลุ่มของเราที่ใกล้ชิดกันก็ยังคงทำไปเพื่อความสนุกของกลุ่ม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ภายในกลุ่มของตนเองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นแม้ว่าจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือเสียหายก็ตาม เราอาจเป็นผู้เล่นที่คอยไปซุบซิบนินทาผู้อื่นเสียเอง หรือบางคราวก็อาจตกเป็นเหยื่อของการนินทานั้นก็ได้เช่นกัน วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่เช่นนี้ ตามกลไกลของสังคมไปเรื่อยๆ หรือแท้จริงแล้วมนุษย์นอกจากจะเป็นสัตว์ประเสริฐและยังเป็นนักซุบซิบโดยกำเนิดอีกด้วย...
ไม่ได้สนับสนุนการนินทา...แต่มาเพื่อให้ความเข้าใจ ติดตามบทความที่หน้าสนใจแบบนี้ได้ที่ Pinky_Bonbons ค่ะ แล้วพบกันใหม่ในบทความถัดไปนะคะ
อ้างอิง
ยูวัล โนอาห์ แฮรารี่, (2561). Sapiens เซเปียนส์ ประวัติย่อมนุษยชาติ. กรุงเทพ : ยิปซีกรุ๊ป, 54
รูปภาพจากเว็บไซส์
โฆษณา