21 ธ.ค. 2019 เวลา 12:32 • ประวัติศาสตร์
วันที่ฉันตัดสินใจก้าวออกมาจากการเป็นพนักงานออฟฟิศ
CR:pixabay
กุมภาพันธ์ 2017
เราเดินไปคุยกับหัวหน้างาน แจ้งว่าจะลาออกสิ้นเดือน มิถุนายน 2017 เราแจ้งล่วงหน้าหลายเดือนมาก เพราะเผื่อเวลาให้หัวหน้าเราหาคน เพราะตำแหน่งที่เราทำคือ ฝ่ายบุคคลที่ดูแลระบบของ HR ทั้งหมด ค่อนข้างหายาก และเราอยากได้คนที่เข้ากับคนอื่นๆด้วย
วันที่ตัดสินใจลาออก ในหัวใจมันพองโต มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น มันมีพลังในตัวเองมากมายมหาศาล มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ
ที่ทำงานวันสุดท้าย
หัวหน้าเรายินดีกับเราและไม่ได้แปลกใจอะไรที่เราขอลาออก เพราะเรากับหัวหน้าสนิทกันหัวหน้าเปรียบเหมือนพี่สาวของเราเลยล่ะ เค้าคอยช่วยเหลือเราเสมอไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว เป็นคนๆนึงในชีวิตที่เรารักและเคารพ เราคุยมาตลอดว่าอยากกลับบ้าน พอเราตัดสินใจลาออก หัวหน้ายิ้มด้วยความดีใจ เพราะเค้ารู้ว่ามันคือความฝันของเรามานาน
เราฝันว่า ถ้าเราไม่มีหนี้สินอะไรแล้วเราอยากกลับไปดูแล พ่อและแม่ เราเป็นลูกคนเดียว เราอยากทำหน้าที่ลูกในบั้นปลายชีวิตของพ่อและแม่ให้ดีที่สุด
เราคิดแค่นี้ และวันนี้ วันที่เราตัดสินใจลาออก เราและทางบ้านก็ไม่มีหนี้สินอะไรหลงเหลือแล้ว
แม่ของเราเอง
ส่วนเรื่องเงิน เราคิดว่า เราเป็นคนไม่ฟุ่มเฟือย ใช้ชีวิตเรียบง่าย เราคงสามารถใช้ชีวิตที่ต่างจังหวัดได้ เรื่องรายได้ ก็อย่างที่เราเคยเล่ามาในหลายๆตอน เราเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว มันคงไม่ยากสำหรับเราที่จะก้าวออกไปจาก comfort zone
เราทำงานที่นี่มา 5 ปี มันเป็น 5 ปี ที่เรามีทั้งความสุขและความทุกข์ แต่ความสุขมันมีมากกว่าความทุกข์ มันเป็นงานที่เรารัก เราสามารถอยู่กับมันได้ทั้งวันไม่เคยเบื่อเลย แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เราอยู่ในองค์กรนี้ได้มายาวนาน นั่นก็คือ ทีม
เพื่อนร่วมงานในทีมของเรา มี 8 คน มีทั้งวัยทำงานและ พี่ที่ใกล้เกษียน เราเป็นคนง่ายๆ ไม่คิดเล็กคิดน้อย ชอบเป็นห่วงคนอื่นอยู่เสมอ เป็นคนอ่อนน้อมแต่ไม่อ่อนแอ เมื่อเราหรือใครไม่ผิด เรานี่แหละจะเป็นแกนนำ จะสู้หัวชนฝา และฉะกับทุกคนด้วยเหตุผลจนชนะ ฮ่าๆๆๆ ดังนั้นเรามักจะเป็นคนกลางเสมอ คอยเป็นคนไกล่เกลี่ยปัญหาในทีม นอกทีม ดังนั้น ไม่ว่าใครจะมีปัญหากัน หรือ ใครมีปัญหาชีวิตอะไรก็ตาม เราก็จะเป็นคนที่คอยประสานรอยร้าวและคอยให้กำลังใจผู้คนเสมอ อาจเป็นเพราะ เราเป็นคนตรงๆ และจริงใจ และกล้าที่จะต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ดังนั้น หัวหน้าเราจึงไม่มีความกังวลอะไรเลย เพราะ ใครมีปัญหาอะไรก็จะมาเล่าให้เราฟัง แม้แต่บางเรื่องที่ไม่กล้าคุยกับหัวหน้า เราก็กลายเป็นคนกลาง ที่คอยไปคุยกับหัวหน้า เราโชคดีที่หัวหน้าเราเป็นคนที่รับฟังทุกปัญหา และเป็นคนที่มีเหตุและผล รับฟังความคิดเห็นของทุกๆคนเสมอ และพยายามหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้ทุกคนอยู่อย่างมีความสุข
ตลอด 5 ปีที่ทำงานที่นี่ และรวม 13 ปี ที่ทำงานเป็นมนุษย์ออฟฟิศ
เรายึดถือหลักการ 4 ข้อนี้ตลอดระยะเวลาในการทำงาน นั่นคือ
1.ช่วยคนอื่น เท่าที่เราจะช่วยได้ อย่าคิดว่างานฉัน งานเธอ ให้คิดว่าทุกคนคือคนในครอบครัว เรากำลังช่วยคนที่เรารัก ช่วยด้วยความจริงใจ ให้ความจริงใจกับคนอื่น แล้วเมื่อไหร่ที่งานเราต้องการคนช่วย ทุกคนก็จะช่วยเราโดยที่เราไม่ได้ร้องขอเลย
2.เราอาจทะเลาะกันบ้าง แต่จงคุยกันด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์
"ฟังให้มากกว่าพูด พูดเมื่อถึงเวลา"
3.การที่เรามาเจอกัน ได้ทำงานร่วมกัน ได้ใช้ชีวิต 8 ชั่วโมงร่วมกัน มันมีเหตุผลของมัน อยู่ที่ว่าเราจะใช้เวลาที่ฟ้าลิขิตไว้ "สร้างรอยยิ้ม หรือคราบน้ำตา"
4.พยายามลดการพูดถึงเพื่อนในทีมในทางที่ไม่ดีเพราะทุกคน ไม่มีใครดี หรือแย่ 100% ทุกคนมีด้านบวกและด้านลบ จงพยายามทำใจให้เป็นกลาง และพยายามมองด้านบวกให้มากกว่าด้านลบ เพราะถ้าเราเป็นคนๆนั้นที่ถูกนินทา เราคงไม่มีความสุขในการทำงาน
เราคิดว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการทำงาน คือ มนุษย์ที่ต้องทำงานร่วมกับเรา ไม่ว่าจะหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนต่างทีม หากเราเจอคนแย่ๆ ทีมห่วยๆ ชีวิตในการทำงานของเราก็จะไม่มีความสุข
ชีวิตมนุษย์ออฟฟิศของเรา ช่างโชคดีเหลือเกินที่เราเจอแต่กัลยาณมิตรที่ดี ทำให้เราเจอเพื่อนแท้ เพื่อนที่อยู่ข้างๆเราเสมอ ไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุขใจ
แม้ลาออกมาแล้ว ก็ยังคงติดต่อกัน คอยถามไถ่ คอยช่วยเหลือเสมอมา
ขอบคุณหัวหน้างานในทุกองค์กรตลอดระยะเวลา 13 ปี ทุกคนคือ ครู ของเรา ทำให้เราเก่งขึ้นในทุกๆวัน และทำให้เราเติบโตเป็นหญิงแกร่งในวันนี้
ขอบคุณมิตรสหายทุกคน ที่คอยช่วยเหลือ คอยอยู่ข้างๆกันในวันที่โหดร้าย
การเดินทางของเราหลังจากลาออก มีเรื่องราวมากมาย ที่ไม่ได้เป็นอย่างที่เราฝันไว้
1 กรกฎาคม 2017 วันแรกของการเป็นมนุษย์ไร้เงินเดือน ก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดกับเราซะแล้ว....
โชคชะตาก็มักเล่นตลกกับคนที่จะเริ่มต้นสิ่งใหม่เสมอ
เกิดอะไรขึ้นกับเรา? ไว้ตอนหน้าจะมาเล่าให้ฟังนะคะ
ฝากติดตามตอนต่อไปน๊า
โฆษณา