21 ธ.ค. 2019 เวลา 05:31 • กีฬา
วันที่รอย คีน กำลังจะแตกหักจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จริงๆเขายังมีโอกาสสุดท้ายที่จะทำให้ทุกอย่างมันดี แต่สุดท้ายเขาเลือกปฏิเสธ นี่คือเหตุการณ์วันสุดท้ายในสีเสื้อปีศาจแดงของยอดกัปตัน "คีโน่"
1
นักเตะที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ให้สิทธิพิเศษมากที่สุด ตลอดช่วงชีวิตการคุมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แน่นอนว่าคือ เอริค คันโตน่า
เป็นที่รู้กันว่าทีมปีศาจแดง จะมีกฎหนึ่งใช้กับนักเตะทั้งทีม และมีกฎอีกฉบับพิเศษที่ใช้กับคันโตน่าแค่คนเดียว แต่ถึงกระนั้น ด้วยความสามารถที่ยอดเยี่ยมกว่าใคร ทำให้นักเตะในทีมต่างยอมรับสิทธิพิเศษบางอย่างของคันโตน่าด้วยใจ
คำถามต่อมา แล้วต่อจากคันโตน่าล่ะ นักเตะคนไหนที่เฟอร์กูสัน ให้สิทธิพิเศษ และให้โอกาสมากที่สุด เป็นอันดับ 2
คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือ รอย คีน
ยอดกัปตันทีมจอมอหังการ ที่ได้โอกาสมากมาย แต่สุดท้ายก็ยังเลือกที่จะจากแมนฯยูไนเต็ดไปอยู่ดี
ทุกคนคงทราบกันดีว่า รอย คีน คือผู้เล่นที่สำคัญมากๆของแมนฯยูไนเต็ด ยิ่งหลังจากคันโตน่ารีไทร์ไปแล้ว รอย คีน ถือเป็นหัวใจสำคัญของเฟอร์กี้ในยุครุ่งเรือง
ท่ามกลางเด็กวัยรุ่นที่มั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม ทั้งเบ็คแฮม, กิ๊กส์, สโคลส์ ,พี่น้องเนวิลล์, นิกกี้ บัตต์ และตัวต่างชาติมากมาย ก็มีรอย คีนนี่ล่ะ เป็นแกนกลางของสโมสร เป็นคนที่นักเตะทุกคนต้องฟังในสิ่งที่เขาพูด หากสโมสรฟุตบอลไม่มีผู้นำที่แท้จริงแบบนี้ ย่อมเกิดความสับสนในห้องแต่งตัว เพราะแต่ละคนก็อีโก้จัดด้วยกันทั้งสิ้น
ความเป็นผู้นำก็สูง แถมฝีเท้าก็ยอดเยี่ยม นี่คือนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่ได้ค่าเหนื่อยถึง 5 หมื่นปอนด์ต่อสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม จุดแตกหักของคีน เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมปี 2005 เมื่อเขาทำความผิดพลาด 2 เรื่องในช่วงเวลาไม่กี่เดือน เรื่องแรกคือทะเลาะกับคาร์ลอส เคยรอซ ผู้ช่วยผู้จัดการทีม ในช่วงปรีซีซั่นที่โปรตุเกส ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับโรงแรมที่พัก ที่ไม่ได้มาตรฐาน
1
ตามปกติถ้ามีนักเตะคนไหนมาปีนเกลียวกับผู้ช่วยของเฟอร์กี้แบบนี้ ก็รับรองได้ว่า นักเตะผู้นั้น จะโดนขายทิ้งแน่ๆ แต่กับเคสของรอย คีน เฟอร์กี้ยังเก็บความรู้สึกเอาไว้ ไม่ได้คิดจะขายคีนทิ้ง
1
และเรื่องที่ 2 เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2005 หลังเกมที่แมนฯยูไนเต็ด แพ้มิดเดิลสโบรห์ 4-1 โดยนัดนั้นคีน มีอาการบาดเจ็บไม่ได้ลงสนาม แต่เขาก็นั่งดูบนอัฒจันทร์ ดูนักเตะน้องๆในทีมโดนคู่แข่งไล่ถล่มเละเทะอย่างน่าอับอาย
หลังจบเกม คีน ให้สัมภาษณ์กับ MUTV ด่ากราดนักเตะในทีมอย่างไม่ไว้หน้
"คีแรน ริชาร์ดสัน เป็นกองหลังที่โคตรขี้เกียจ"
"สงสัยเหลือเกิน ว่าคนในสกอตแลนด์จะชื่นชมฝีเท้าของดาร์เรน เฟล็ตเชอร์อะไรนักหนา"
"ริโอ เฟอร์ดินานด์ แกได้เงินสัปดาห์ละ 120,000 ปอนด์ แต่เสือกเล่นดีแค่ 20 นาทีในเกมกับสเปอร์ส แล้วคงคิดว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์งั้นสิ"
ยังไม่นับที่ด่า อลัน สมิธ และ จอห์น โอเช แบบไม่มีชิ้นดีอีก
ซึ่งแม้เทปในการสัมภาษณ์วันนั้น จะถูกยับยั้งไว้ได้ทัน ไม่หลุดไปถึงสื่อมวลชน แต่มันก็ทำให้เฟอร์กูสันฟิวส์ขาด เพราะสิ่งที่คีนทำ คือการทำลายสปิริตทีม ต่อให้คุณเป็นกัปตันทีมก็ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้อย่างที่ใจต้องการ คุณจะด่าเพื่อนร่วมทีมแบบนี้ไม่ได้ แม้พวกมันจะเล่นห่วยแค่ไหนก็เถอะ
ซึ่งปกติถ้านักเตะคนไหนก่อปัญหาหนักขนาดนี้ ก็ย่อมโดนเฟอร์กูสัน สั่งขายแบบไม่ไว้หน้า แต่กับเคสของรอย คีน เขายังให้โอกาสคีน ด้วยการอธิบายตัวเอง
"ถ้าคิดว่าสิ่งที่ผมทำมันผิด ลองเปิดวีดีโอนี้ ให้ทุกคนในทีมดูไหมล่ะ ให้ทุกคนช่วยตัดสินใจ" รอย คีน บอกกับเฟอร์กูสัน
เฟอร์กี้ตอบตกลง บางทีในสายตาของนักเตะอาจจะไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เขาอาจคิดมากไปเอง
เฟอร์กูสัน เรียกนักเตะทุกคนเข้ามารวมกัน รวมถึงทีมงานสตาฟฟ์โค้ช และเปิดวีดีโอ ที่คีน ให้สัมภาษณ์กับ MUTV ให้ทุกคนดูอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อดูจบ คีน ถามว่าคิดยังไงกัน เขาพูดผิดตรงไหนหรือเปล่า
นักเตะส่วนใหญ่เงียบ ไม่มีใครกล้าหือกับคีน แต่ทว่า เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ซึ่งก็มีความอาวุโสใกล้เคียงกัน พูดขึ้นมาว่า "นายล้ำเส้นเกินไปนะรอย ที่วิจารณ์เพื่อนร่วมทีมตัวเองแบบนี้"
"มึงเป็นใครวะ รู้จักแมนฯยูไนเต็ดดีแค่ไหน!" คีน ด่าฟาน เดอ ซาร์ทันที
เมื่อฟาน เดอ ซาร์ โดนด่า รุด ฟาน นิสเตลรอย ก็ออกมาปกป้อง และด่าตอบโต้กันไปมา
บรรยากาศในทีมตอนนั้นเละเทะมาก ไม่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกแล้ว พอล สโคลส์ และ ควินตัน ฟอร์จูน เดินหนีออกจากที่ประชุมไปเลย นักเตะหลายคนอยู่ข้างคีน บางคนอยู่ข้างฟาน เดอ ซาร์
ถึงนาทีนั้น สิ่งที่เฟอร์กูสันรู้ชัดเจนในใจ คือ มันจบแล้ว เขาคุยกับเดวิด กิลล์ทันที
"ผมต้องการให้รอย คีน ย้ายออกไปจากทีมเราเดี๋ยวนี้"
นี่คือจุดที่ความสัมพันธ์ของคีน กับ เฟอร์กี้ น่าจะจบลงอย่างเป็นทางการ
แต่จุดที่น่าสนใจที่สุดของเรื่องนี้ คือแม้เฟอร์กูสันจะพูดไปแบบนั้นแล้ว เขายังให้โอกาสรอย คีน อีกหนเป็นครั้งสุดท้าย ในวันที่นัดมา เซ็นเอกสารยกเลิกสัญญากับสโมสร
ถ้ารอย คีน เปลี่ยนใจ เขายังสามารถอยู่กับทีมต่อไปได้ เพราะนักเตะคนอื่นก็ยังไม่รู้เรื่องว่าทีมจะปล่อยทิ้ง และสื่อมวลชนก็ยังไม่รู้ ดังนั้น ถ้า รอย คีน ยอมเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ เอ่ยปากขอโทษในสิ่งที่ทำลงไป เขาจะยังเป็นกัปตันทีมปีศาจแดงได้อยู่ และจะอยู่กับทีมต่อไปได้จนถึงวันแขวนสตั๊ด
นี่คือโอกาสครั้งที่ 3 ที่อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หยิบยื่นให้รอย คีน ไม่เคยมีนักเตะคนไหนได้โอกาสขนาดนี้มาก่อน อย่าว่าแต่ 3 ครั้งเลย คนทั่วไปทำผิดครั้งเดียวก็กระเด็นออกจากทีมแล้ว
เฟอร์กูสัน รู้ดีว่าความสำคัญของคีนมันมหาศาลแค่ไหน
ในวัย 34 ปี รอย คีน อาจไม่ใช่กองกลางที่เก่งที่สุดในลีก แต่อิทธิพลในห้องแต่งตัวของเขาต่างหาก ที่โดดเด่นไม่มีใครเหมือน
ในห้องแต่งตัวของแมนฯยูไนเต็ด ที่เต็มไปด้วยเด็กรุ่นใหม่ อย่างคริสเตียโน่ โรนัลโด้, เวย์น รูนี่ย์ หรือ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ต่างคนต่างหยิบมือถือมาเล่น รอย คีน เป็นคนเดียวที่สั่งได้ว่า "พวกแก นี่มันห้องแต่งตัวของสโมสรนะ รู้หรือเปล่า" และเมื่อคีนพูดไปแบบนั้น ทุกคนวางมือถือ และกลับมาโฟกัสในการอยู่ร่วมกันกับทีมอย่างรวดเร็ว
1
รวมถึงเวลามีนักเตะใหม่ๆย้ายมา อย่างกรณีโลรองต์ บลองค์ ที่เป็นนักเตะดีกรีแชมป์โลก แต่พอมาอยู่แมนฯยูไนเต็ด ก็มีรอย คีน นี่รู้เป็นอย่างดี ว่าจะปฏิบัติตัวกับผู้เล่นระดับนี้อย่างไร ให้สบายใจที่สุดเมื่อต้องเล่นร่วมกับคนอื่นๆในทีม
แต่เมื่อเขาพูดกับเดวิด กิลล์ไปแล้วว่าต้องขายรอย คีน เขาก็จะทำตามนั้น
กลางเดือนพฤศจิกายน รอย คีน เริ่มฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ และ ตามโปรแกรมเขาต้องลงเล่นเกมสำรอง กับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน เพื่อเรียกความฟิตกลับคืนมา แต่ปรากฎว่า ในรายชื่อทีมกลับไม่มีรอย คีน อย่างน่าเซอร์ไพรส์
คีนไปคุยกับร็อบ สไวร์ หัวหน้าทีมแพทย์ว่าทำไมเขาไม่มีชื่อ และได้คำตอบว่า "อเล็กซ์ไม่ต้องการให้นายลงเกมนี้"
คีน เดินไปที่ห้องทำงานของเฟอร์กี้ แล้วถามว่าทำไมไม่ส่งเขาลงเล่นในเกมกับเวสต์บรอม เขาต้องการเกม เพื่อเรียกความฟิตกลับคืนมา แต่เฟอร์กูสันตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า "ไม่ นายจะไม่ได้ลง และนายควรไปคุยกับไมเคิล เคนเนดี้จะดีกว่า"
เคนเนดี้ คือเอเยนต์ส่วนตัวของรอย คีน ที่จัดการเรื่องสัญญาทั้งหมด ตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายมาแมนฯยูไนเต็ด ซึ่งการที่เฟอร์กี้บอกแบบนี้ รอย คีนก็พอเดาได้ว่า เป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก
1
รอย คีน โทรหาเคนเนดี้ แล้วบอกว่า "ฉันคิดว่าแมนฯยูไนเต็ดคิดจะกำจัดฉัน"
1
ไมเคิล เคนเนดี้ ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ เขาไม่เชื่อว่าแมนฯยูจะทำ เพราะ โดยปกติแมนฯยูไนเต็ด ไม่เคยยกเลิกสัญญากับนักเตะคนไหนกลางฤดูกาล และที่สำคัญสัญญาของคีน ก็เหลืออีกไม่กี่เดือนเท่านั้น ซึ่งกับคนที่อยู่กับสโมสรมานาน 12 ปีครึ่ง ไม่ว่าอย่างไร แมนฯยูไนเต็ด ก็คงไม่โหดเหี้ยมถึงขนาดตัดชื่อทิ้งกลางคัน แทนที่จะแยกทางกับนักเตะอย่างสมเกียรติช่วงปลายฤดูกาลหรอก
1
แต่รอย คีน รู้ว่าเฟอร์กูสันเอาจริงแน่ ซึ่งถามว่าเขาแคร์ไหม ก็ไม่ อยากฉีกสัญญาก็ฉีกได้เลย เขาพร้อมรับมือทุกสถานการณ์
18 พฤศจิกายน 2005 เฟอร์กูสัน นัดรอย คีน และไมเคิล เคนเนดี้ มาคุยกันที่ออฟฟิศ เวลา 9.00 น. โดยจะมีเดวิด กิลล์ ซีอีโอของทีมร่วมคุยด้วย ซึ่งเคนเนดี้ ยังมองในแง่ดีว่า อาจคุยกันเรื่องต่อสัญญาฉบับใหม่หรือเปล่า หรือไม่ก็คุยกันเรื่องเทสติโมเนียล แมตช์ ให้กับคีน
แต่นั่นเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปเยอะทีเดียว
คีน และเคนเนดี้ มาพบเฟอร์กูสันที่ออฟฟิศ โดยเดวิด กิลล์ ยืนอยู่ข้างๆ
"ว่าไงล่ะ" คีนเริ่ม
"เอาล่ะ รอย ฉันคิดว่า เส้นทางของพวกเราคงต้องยุติกันตรงนี้แล้ว" เฟอร์กูสันพูด แต่ยังมีท่าทีลังเลเล็กน้อย
1
เมื่อไม่ใช่สิ่งที่เกินคาด รอย คีน จึงสวนกลับมา "โอเค ได้ ก็ตามนั้นละกัน ผมเห็นด้วยกับคุณ มันต้องจบลงตรงนี้ล่ะ"
"โว้วๆๆ เดี๋ยวก่อนๆ" ไมเคิล เคนเนดี้ ขัดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว "นี่มันอะไรกัน ผมคิดว่าเรื่องที่รอยพูดกับ MUTV มันจะมีแค่โทษปรับเงินเท่านั้น นี่มันไปไกลขนาดนี้เลยได้ยังไง"
เคนเนดี้ ขอเฟอร์กูสัน กับเดวิด กิลล์ คุยกับรอย คีนเป็นการส่วนตัวก่อน 5 นาที เขาเองคิดว่าคีนไม่เข้าใจสถานการณ์เลย คือถ้าเอาจริงๆ คีนกล่าวคำขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น ลดดีกรีความแข็งลงมาก่อน เคนเนดี้เชื่อว่า เฟอร์กูสันจะพร้อมพูดคุยเปิดใจให้คีนอยู่ต่ออีกครั้ง
3
การโดนปล่อยตัวทิ้งแบบนี้ไม่ดีกับใครเลย ภาพลักษณ์สโมสรที่ปล่อยกัปตันทีมทิ้งกลายซีซั่น มันส่งผลเสียยับเยินแน่ เช่นเดียวกับรอย คีน ที่โดนปล่อยในเดือนพฤศจิกายน แล้วจะเอายังไงต่อ กว่าจะเล่นฟุตบอลได้อีกรอบก็ต้องรอถึงเดือนมกราคมเลยนะ ช่วง 2 เดือนนี้คีนจะเคว้งเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าจบแบบไม่สวยอย่างนี้ รอย คีน จะกลับมาแมนฯยูไนเต็ด ในฐานะทูตของสโมสรได้หรือไม่ มันอาจส่งผลต่อเส้นทางของเขาหลังจากแขวนสตั๊ดไปแล้วด้วยก็ได้
และที่สำคัญที่สุด คีน อยู่กับทีมมานาน 12 ปีครึ่ง เขาคือสัญลักษณ์ของทีมปีศาจแดง ดังนั้นมันไม่ควรจะลงเอยด้วยการฉีกสัญญา คือถ้าจะแยกทางกันจริงๆ คีนควรได้โอกาสลงเล่นในนัดสุดท้ายของฤดูกาล มีแฟนๆปรบมือให้ทั่วสนาม และเขาควรมีโอกาสพูดอะไรเล็กน้อยกับแฟนๆที่โอลด์แทรฟฟอร์ด คือมันควรจะเป็นแบบนั้น
3
"รอย นายทำอะไรน่ะ ฉันไม่อยากเชื่อ นายจะฉีกสัญญาอย่างนี้ไม่ได้นะ แล้วกับครอบครัวล่ะ นายคุยแล้วหรือยัง กับสโมสรใหม่ นายก็ยังไม่ได้หา พวกเรายังไม่ได้วางแผนทำอะไรเลยนะ" เคนเนดี้ วอนให้รอย คีน คิดอีกที คือเอาจริงๆยังไม่สายที่คีน จะขอโทษเฟอร์กูสันตอนนี้
คิดตามคอมเมนเซนส์ ถ้าสโมสรจะกำจัดจริงๆ เฟอร์กี้ไม่จำเป็นต้องมาคุยวันนี้ก็ได้ เขาก็ให้ฝ่ายกฎหมาย หรือเดวิด กิลล์จัดการเรื่องสัญญาไปเลย แต่ที่เฟอร์กูสันนัดมาคุยกัน เคนเนดี้เชื่อว่า จริงๆ เฟอร์กี้ ต้องการคำขอโทษจากคีน ว่าพร้อมจะเปลี่ยนแปลงนิสัยตัวเองมากกว่า
1
แค่คำคำเดียวเท่านั้น "ขอโทษ" พูดไปสิ มันจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแน่ๆ
แต่รอย คีน ไม่เปลี่ยนใจ เขาทำอะไรผิดล่ะที่ต้องขอโทษ ทุกอย่างที่เขาทำ ทำไปเพราะความจริงใจกับสโมสรทั้งสิ้น ที่เขาด่านักเตะในทีมกับ MUTV ถามว่ามีอะไรที่เขาพูดผิดสักประโยคบ้างล่ะ?
ศักดิ์ศรีของคีนยิ่งใหญ่เกินกว่าจะยอมลดราให้ใคร ซึ่งจริงๆแล้วเฟอร์กี้ ก็น่าจะรู้ตรงจุดนี้ดี ว่าคนอย่างคีน ไม่มีทางเอ่ยปากขอโทษแน่ๆอยู่แล้ว
"พอเถอะไมเคิล" คีนบอกกับเอเยนต์ "ฉันก็เหนื่อยกับพวกนี้เกินจะทนแล้วเหมือนกัน เราไม่มีความเคารพให้กันและกันอีกต่อไปแล้ว"
รอย คีน ตัดสินใจไปแล้ว ถ้าสโมสรอยากไล่เขาออกก็โอเค ตามนั้น
เฟอร์กูสัน และเดวิด กิลล์ เดินกลับเข้ามาในห้อง กิลล์ถามว่า "เป็นยังไงบ้าง"
คีน ตอบกลับไปว่า "ใช่ ใช่ ใช่ พวกคุณพูดถูก พวกเราคงต้องจบกันวันนี้จริงๆ"
นั่นคือโอกาสสุดท้ายที่จริงๆคีน จะสามารถอยู่แมนฯยูไนเต็ดต่อได้ แต่เขาเองก็ยอมขอโทษไม่ได้เหมือนกัน ยอมหักไม่ยอมงอ นั่นคือจุดยืนของคีน
เพียงแต่น่าเสียดาย ที่ยอมหักไม่ยอมงอ ก็เป็นจุดยืนของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครครึ่งทาง ไม่มีใครขอโทษ มันก็ต้องจบตรงนั้น
ในสัญญาของรอย คีน ระบุไว้ว่า ถ้าหากเขาลงเล่นเกิน 50% ในฤดูกาล เขาจะได้เงินโบนัส 1 ล้านปอนด์ ซึ่งไมเคิล เคนเนดี้ พยายามต่อรองกับสโมสรก่อนว่า ให้คีนเล่นถึงก่อน แล้วค่อยปล่อยตัวดีไหม
"ไมเคิล ผมไม่สนใจเรื่องเงินหรอก" คีนกล่าวตัดบท เรื่องรายละเอียดรายได้ต่างๆ ไม่ต้องมาคุยกันถึงตรงนั้น เขาไม่ได้แคร์
"งั้น ผมไปล่ะ" เมื่อพูดจบแล้วคีนก็ลุกเดินออกไป โดยไม่จับมือกับใคร และปล่อยให้เคนเนดี้ จัดการรายละเอียดเรื่องเอกสารที่เหลืออยู่
รอย คีน ออกจากออฟฟิศของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เดินผ่านสนามซ้อม เพื่อไปสู่ลานจอดรถ ตามหลักแล้วในวันนี้ เขาควรจะต้องซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ เพราะวันรุ่งขึ้นจะมีโปรแกรมพรีเมียร์ลีก พบกับชาร์ลตัน แต่เมื่อทุกอย่างเป็นแบบนี้ มันก็จบแล้ว
1
คีน ขับรถออกมาจากสนามซ้อม เมื่อขับพ้นไม่ถึงกิโลเมตร เขาจอดรถข้างทาง แล้วร้องไห้
"มันจบแล้ว" คีนคิด ก่อนจะหยุดร้อง แล้วขับรถกลับบ้าน และเตรียมตัวที่จะรับแรงกระแทกอย่างมหาศาลที่จะเกิดขึ้น หลังสโมสรประกาศเรื่องนี้กับสื่อมวลชน
ในการพูดคุยกันที่ห้องทำงานของเฟอร์กูสัน จริงๆแล้วเป็นโอกาสสุดท้ายที่คีนจะได้อยู่แมนฯยูไนเต็ดต่อ แต่เขาแน่วแน่ในความคิดของตัวเอง ดังนั้น จึงทิ้งโอกาสนั้นไป แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเสียใจหรือไม่ ที่ตัดสินใจอย่างนั้น
หลังจากคีนย้ายออกไป แมนฯยูไนเต็ด ก็เสียทรงไปครึ่งฤดูกาล ในซีซั่น 2005-06 พวกเขาพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีก แถมยังตกรอบในแชมเปี้ยนส์ลีกอย่างรวดเร็วแค่รอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น
แต่สุดท้ายในปีต่อมา พอจูนเครื่องติด ทีมปีศาจแดงก็คัมแบ็กกลับมาได้และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างยิ่งใหญ่
ขณะที่รอย คีน หลังจากย้ายออกจากทีม เขาต้องคืนรถยนต์ ออดี้ A8 ให้กับสโมสร จากนั้นได้ย้ายไปเล่นร่วมกับกลาสโกว์ เซลติก จากสกอตแลนด์ ในเดือนมกราคม ปี 2006
1
คีนมีส่วนช่วยให้เซลติกได้ดับเบิ้ลแชมป์ในฤดูกาล 2005-06 แต่สุดท้ายพอจบซีซั่น หลังย้ายทีมมาได้แค่ 6 เดือน รอย คีน ก็ประกาศแขวนสตั๊ด
ในวันที่แตกหักกับทีม สิ่งที่รอย คีน ไม่ได้บอกใคร คือเขาเองก็รักแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมากๆ เพียงแต่การแสดงออก และบุคลิกของเขามันเป็นแบบนั้น แน่นอนเขาเข้าใจในการตัดสินใจของเฟอร์กูสันเป็นอย่างดี ว่าปล่อยเขาทิ้งเพื่ออะไร เพียงแต่จะให้เขาเอ่ยปากขอโทษ หรืออ้อนวอนขออยู่ต่อ เขาทำไม่ได้จริงๆ
หลังแขวนสตั๊ดรอย คีน เขียนอัตชีวประวัติ และน่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาพูดถึงความรู้สึกของตัวเองกับสโมสรเอาไว้อย่างละเอียดขนาดนี้
"ผมรักทุกอย่างเกี่ยวกับยูไนเต็ด ตั้งแต่วันแรกที่ผมเซ็นสัญญาเข้ามาอยู่ที่นี่ ผมคิดว่าเคมีของทีมกับผมมันเข้ากันพอดี ผมรักสไตล์การเล่นของสโมสรแห่งนี้"
"ผมชอบนักเตะทุกคน ผมชอบการฝึกซ้อม ผมชอบเวลาเราเดินทางไปแข่งเกมเยือน ผมชอบความกดดัน ผมชอบแฟนๆของยูไนเต็ด ผมคิดว่าพวกเขามหัศจรรย์มาก และพร้อมส่งเสียงเชียร์เสมอ คือในยามที่เราแพ้ พวกเขาอาจจะโมโห แต่ผมก็เข้าใจว่ามันเป็นการโมโหด้วยเจตนาที่ดี"
"ผมชอบที่ถูกคนอื่นคาดหวัง ผมชอบเสื้อ กางเกง ตราสโมสร ผมชอบประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของทีม ผมชอบใช้ชีวิตในเมืองแมนเชสเตอร์ จริงๆผมกับผู้จัดการทีม ตลอดช่วงเวลาที่ร่วมงานกัน เรามีความเข้าใจกันดี เพราะระหว่างเรามีสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อใจอยู่"
"ผมชอบทีมงานสตาฟฟ์ ไม่ว่าจะเป็นทุกคนที่สนามซ้อม หรือช่างตัดหญ้าในโอลด์แทรฟฟอร์ด ผมชอบโค้ชทุกคนที่ร่วมงานด้วย ไบรอัน คิดด์, จิม ไรอัน, สตีฟ แม็คคลาเรน, วอลเตอร์ สมิธ, คาร์ลอส เคยรอซ , มิกกี้ ฟีแลน"
"และสุดท้ายผมชอบชัยชนะ อยู่ที่นี่ผมมีความสุข เพราะได้ดื่มด่ำกับชัยชนะ"
จากการแตกหักกับสโมสรแบบไม่ดี นั่นทำให้รอย คีน ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าจริงๆแล้ว เขายังคงเป็นแฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่หรือเปล่า และเขาต้องใช้เวลาถึง 8 ปี กว่าเขาจะตอบคำถามในใจของตัวเองได้
25 พฤษภาคม 2013 ศึกแชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ ระหว่างบาเยิร์น มิวนิค กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เกมนี้แข่งที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งรอย คีน มีโอกาสพาลูกชายเข้าไปชมเกมด้วย
คีน ถามลูกชายว่า "ลูกเชียร์ทีมไหน" แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ไม่ได้เชียร์ทั้งบาเยิร์น และดอร์ทมุนด์ แต่เขาเชียร์ "ยูไนเต็ด"
คีน ถามต่อ "แล้วทำไมลูกเชียร์แมนฯยูไนเต็ดล่ะ"
"พ่อ คือผมเกิดที่แมนเชสเตอร์ แล้วพ่อจะให้ผมไปเชียร์ซิตี้งั้นหรือ ผมก็ต้องเชียร์ยูไนเต็ดอยู่แล้วสิ"
"โอเค" คีนตอบ
หลังจากแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงในเกมนั้น คีนจึงพาลูกชายไปดูแมนฯยูไนเต็ด ลงแข่งที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด และด้วยความไม่รู้ตัว ระหว่างที่ดูบอลอยู่ คีนตะโกนออกมาว่า "เอาหน่อยสิ เอาหน่อย!"
และถึงวินาทีนั้น เขาแว้บคิดขึ้นมาว่า เฮ้ย ตัวเราเองพูดคำว่า 'เอาหน่อย' ไปอย่างนั้นหรอ เราก็ยังอยากให้ทีมประสบความสำเร็จอยู่นี่นา
หลังจากสับสนในใจตัวเองอยู่นาน สุดท้ายแล้ว คีนก็มารู้ใจตัวเองอย่างแน่ชัดว่า
เขายังแคร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่มากมายจริงๆ
#Keane
โฆษณา