Blockdit Logo (Mobile)
Movie Trivia
•
25 ธ.ค. 2019 เวลา 01:30 • บันเทิง
[Review] 9 ศาสตรา (2018) – เมื่ออนิเมชั่นไทยสำแดงพลัง
ในบางครั้งเวลาเราจะเลือกดูหนัง เราก็มักจะเลือกจากองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นหน้าหนัง แนวหนัง นักแสดง ผู้กำกับ หรือแม้กระทั่งพล๊อตเรื่องที่เลือกจะนำเสนอ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่หลาย ๆ ครั้ง เรามักจะบอกผ่านหนังไทยโดยทันทีที่มีเรื่องใหม่ออกมา
เพราะส่วนตัวเป็นคนเบื่อความซ้ำซากที่หนังไทยมักจะหยิบยกมาด้วย “ความสยองขวัญ” ของหนังผี “ความโปกฮา” ของหนังตลก และ “ความโรแมนซ์” ของหนังรัก มีไม่กี่ครั้งจริง ๆ ที่หนังไทยจะพาความแปลกใหม่จนดึงความสนใจให้ผมลุกออกจากบ้านและตีตั๋วไปดูที่โรงได้แบบ ฉลาดเกมส์โกง เมื่อปีก่อน… จนกระทั่ง 9 ศาสตราได้ลงใน Netflix อีกครั้ง
9 ศาสตรา บอกเล่าเรื่องราวของเมืองที่ชื่อ รามเทพนคร ที่ถูกพวกยักษ์ยึดครองนำโดย เทหะยักษา ทำให้พวกมนุษย์ต้องถูกบีบบังคับและอยู่ภายใต้คำบัญชาของพวกยักษ์ จนกระทั่งโหรเฒ่าก็ทำนายว่าจะมีผู้กอบกู้เป็นชายหนุ่มที่จะมาพร้อมวิชามวยไทยและอาวุธทรงอานุภาพที่ชื่อว่า 9 ศาสตรา ทำให้พวกยักษ์จัดการกวาดล้างสำนักมวยทุกแห่งในรามเทพนครและเด็กหนุ่มที่น่าจะมาเอาชนะเทหะยักษา รวมถึง อ๊อด เด็กหนุ่มที่โตขึ้นมาในหมู่บ้านนกแอ่น และได้ร่ำเรียนวิชามวยไทยจากเฒ่าใบ้และจมื่นพันธ์วรเดช ก่อนที่จะล่วงรู้ว่า เขาต้องออกเดินทางนำ 9 ศาสตราไปมอบให้กับรัชทายาทที่อาจกอบกู้รามเทพนครได้
การเล่าของ 9 ศาสตรา ด้วยความที่เป็นอนิเมชั่นที่นำเสนอความเป็นไทยด้วยการนำเสนอวัฒนธรรมไทยผ่านงานสร้างและศิลปะการต่อสู้อย่างมวยไทย รวมถึงผ่านทางอัตลักษณ์ที่หยิบยืมมาจากวรรณคดีไทย ทางการยึดครองรามเทพนครของพวกยักษ์และเหล่าวานรในแคว้นอื่น ทำให้หนังต้องใช้เวลาในการเล่าที่มาที่ไปอยู่ช่วงเวลานึง ก่อนจะนำพาอ๊อดเข้าสู่การฝึกมวยไทยและปฏิบัติภารกิจที่นำมาซึ่งฉากแอ็คชั่นหมัดมวยและความผจญภัยที่ดูสนุกได้ทั้งครอบครัว พร้อมกับมีเพลงประกอบออเครสตร้าที่ขับเคลื่อนความยิ่งใหญ่ของเรื่องราวไปจนจบ
ส่วนที่ดีและต้องชื่นชมเลยก็คือ ศักยภาพของ 9 ศาสตราที่เผยให้เห็นจากในทุก ๆ องค์ประกอบที่ทำให้เรารู้สึกถึงความทะเยอทะยานของผู้สร้าง ไม่ว่าจะเป็น งานสร้าง ที่สามารถนำเสนอความเป็นไทยลงไปในทั้งฉาก-บทพูด-เรื่องราวได้ โดยไม่ยัดเยียดจนเกินไปและดูร่วมสมัยพอที่คนต่างประเทศจะดูด้วยได้ แถมเรื่องราว แม้จะมีความซับซ้อนด้านตัวละครแต่พล๊อตก็ดูเสพได้ทั้งครอบครัว
ส่วนต่อมาก็คือ ดนตรีประกอบของ ไรอัน ชอร์ ที่เป็นงานออเครสตร้าแรก ๆ ในหนังไทยที่เคยได้ฟังและเป็นนิมิตหมายอันดีจริง ๆ เพราะตัวดนตรีสามารถขับเคลื่อนความยิ่งใหญ่ของเรื่องได้มากมายเลยทีเดียว เอาแค่โลโก้ขึ้นต้นเรื่องและดนตรีดังก็น้ำตาคลอแล้ว ส่วนต่อมาคือ งานด้านเสียง ที่หนักแน่นทั้งเสียงประกอบกับเอฟเฟค และ เสียงพากย์ไทยที่มีคุณภาพและเป็นธรรมชาติพอ ๆ กับงานอนิเมชั่นมาตรฐานโลก
แต่กระนั้นส่วนเสียใหญ่ก็คือ หนังยังต้องมีการขัดเกลาในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในตัวบทสนทนาที่บางครั้งก็ดูประดักประเดิก ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ก็ตามที่จะนำเสนอให้บทสนทนาเหล่านั้นดูคร่ำครึเหมื่อนมาจากวรรณคดี แต่เป็นเพราะจังหวะที่พูดหรือแม้แต่โอกาสที่บทสนทนานั้นยังทำงานได้ไม่ลื่นไหลพอ ยังไม่นับความนามธรรมในบางส่วนของเรื่องราวที่ยังดูเบาบางไปในเรื่องของเหตุและผล
แถมในหลาย ๆ ฉากก็จะขาดความลื่นไหลในการเล่าเรื่องอยู่หลายครั้ง อาจเพราะตัวหนังใช้การเฟดมืดเชื่อมฉากค่อนข้างจะเยอะเกินความจำเป็นไปนิด ทำให้อารมณ์เวลาดูหนังจะรู้สึกสะดุดไปนิดนึง ต่อมาคือฉากแอ็คชั่นที่บางครั้งก็ดูไม่ค่อยออก อาจเป็นเพราะตัวหนังยังใช้ช็อต Close Up อยู่เยอะ ทำให้เราตามแอ็คชั่นของตัวละครแทบจะไม่ค่อยทันและไม่เห็นท่วงท่าแบบชัดเจนในบางฉาก
สรุปแล้ว 9 ศาสตรา คือการแสดงศักยภาพครั้งสำคัญของหนังสัญชาติไทยที่แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่สามารถจะทำได้ ทั้งการนำเสนอความเป็นไทยแบบร่วมสมัยลงในเรื่องราว-ตัวละครและงานสร้าง ประกอบกับงานดนตรีออเครสตร้าก็พาให้ตัวหนังยิ่งใหญ่ขึ้นอีกหลายระดับ กระนั้นหนังยังมีจุดขัดเกลาอีกเยอะ ทั้งตัวบทที่ยังต้องหาเหตุผลมารองรับบางจุด รวมถึงฉากแอ็คชั่นที่แม้จะดูมันส์ก็ตาม แต่ก็ยังดูรวดเร็วเกินไปจนไม่รู้เรื่องในบางฉาก แต่ด้วยพลังโดยรวมที่มันได้สำแดงออกมา ก็ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของหนังไทยเลยล่ะ
สามารถรับชม 9 ศาสตรา ได้แล้ววันนี้ใน Netflix ครับ
3.5 / 5
9 Satra: The Legend of Muay Thai (2018)
Directed by Pongsa Kornsri, Gun Phansuwon & Nat Yoswatananont
Screenplay by Nat Yoswatananont, Bryan Edward Hill & Daraka Wongsiri
Story by Nat Yoswatananont & Suphakorn Riansuwan

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา