เรื่องสั้นชุด "ชีวิตต่างแดน" ตอน "สิงห์ทะเลทราย (2)"
โดย..."ตุ๊กดุ๋ย เลิฟลี่"....
หลังอาหารค่ำวันหนึ่ง
ผมนั่งปล่อยอารมณ์อยู่ที่โต๊ะริมระเบียงชั้นบนเงียบ ๆ
มูซ่าเดินเข้ามาทักทาย
“เฮ้..มิสเตอร์ไมค์ ทำอะไรอยู่เหรอ?”
“เปล่าหรอก ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมตอบไป พร้อมกับเชิญชวนเขานั่งร่วมโต๊ะ
แล้วเราก็สนทนากันไป สัพเพเหระเหมือนเดิม
เขารู้ว่าผมเป็นเชฟที่ร้านอาหารไทย ก็เลยสอบถามเกี่ยวกับเรื่องอาหารบ้าง
ในขณะเดียวกัน เขาก็พูดเรื่องอาหารบ้านเขาให้ฟังเหมือนกัน
ผมบอกเขาว่า ในฐานะคนทำอาชีพเกี่ยวกับอาหาร ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะมีโอกาสชิมอาหารของทุกๆ ชาติทั่วโลก เพราะอาหารของทุกๆ ชาตินั้น ก็จะมีเอกลักษณ์ มีจุดเด่นของตัวเอง มีความอร่อยในแบบฉบับของตนเองที่แตกต่างออกไป ยิ่งเป็นอาหารที่ดูแปลกๆ จากที่เรารู้จัก ก็ยิ่งมีเสน่ห์และตื่นเต้นที่จะได้ลิ้มรส
เขาเลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น คุณต้องชอบเนื้ออูฐแน่ ๆ
เขาว่า ชาวอาหรับมีการกินเนื้ออูฐกันเป็นปกติ
แม้เนื้ออาจจะแข็งบ้าง เพราะเป็นสัตว์ใหญ่ แต่ก็อร่อย !!
และเมื่อคุณเข้าไปในภัตตาคารอาหรับ
คุณก็สามารถสั่งเนื้ออูฐ และทำตามเมนูที่คุณต้องการได้
อืม...ผมฟังมูซ่าพูดแล้ว ต้องกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ จนอยากจะลองขึ้นมาทันที
แม้จะรู้ว่า เมนูลาบหรือน้ำตกอูฐนั้น อาจจะไม่มีก็ตาม !!
เขาบอกว่า ที่บ้านของเขาแต่ก่อน ก็กินม้าด้วย
แต่ปัจจุบันนี้ ก็ไม่มีใครกินกันแล้ว อาจจะเป็นเพราะรสชาติที่ไม่ดีนัก หรือมีความแข็งกระด้างมากกว่าเนื้ออูฐก็เป็นได้
ผมบอกเขาว่า บ้านผมก็มีการกินเนื้อม้าบ้าง ในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ปัจจุบันก็ไม่มีใครนิยมกินกันแล้ว
โดยหันมากินเป็นแบบเม็ดแทน ซึ่งมีความคล่องตัวและสะดวกสบายมากกว่า
เพียงแต่ต้องแอบกินนะ เพราะผิดกฎหมาย !!
มูซ่า หัวเราะเสียงดัง แบบเปิดเผยตามสไตล์ของเขา
“ถ้าคุณมีโอกาส คุณต้องลองให้ได้นะ อาหารอาหรับของเราอร่อยมาก” มูซ่าสำทับผมอย่างจริงจัง
“โอเค ผมไม่พลาดแน่”
ผมตอบเขาไป และก็คิดอย่างจริงจังเช่นเดียวกับเขาเหมือนกัน ว่าสักวัน ผมต้องบุกไปดินแดนตะวันออกกลางเพื่อลิ้มรสเนื้ออูฐให้ได้ !!
“ซาบา..ซาบา”
เสียงมูซ่าเรียกซาบา น้องชายของเขาที่อยู่ชั้นล่าง ซึ่งง่วนอยู่กับการอุ่นอาหารในไมโครเวฟอยู่ แล้วก็พูดภาษาอาหรับกันหลายประโยค ซึ่งฟังดูรื่นหูมาก แต่ผมแปลไม่ออกแม้แต่คำเดียว !!
แล้วซาบาก็เอาข้าวผสมถั่ว คลุกด้วยเครื่องปรุงรสแบบอาหรับมาให้ผมลองชิมดู ผมตักไปหลายคำทีเดียว มันดูโอเคนะ รสชาตินุ่มนวล กลมกล่อมใช้ได้เลย
มูซ่าเล่าถึงช่วงที่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองลิตเติ้ล ร็อค
รัฐอาร์คันซอ ว่า
เขารู้จักผู้หญิงชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที เธออัธยาศัยดี
ดูเป็นมิตร และเอาใจเก่งด้วย
เขาคิดว่า เขาต้องการแต่งงานกับผู้หญิงลักษณะแบบนี้ ในทรรศนะของเขาคิดว่า ผู้หญิงจากเอเชีย โดยเฉพาะผู้หญิงฟิลิปปินส์ น่าคบหาสมาคม และน่าหลงใหลมากที่สุดแล้ว !!
เขายอมรับว่า เขาอายมากๆ เวลาที่พูดกับผู้หญิง เพราะบ้านเขาที่ซาอุดิอาระเบีย ไม่สามารถพูดคุยกับผู้หญิงได้เลย !!
ยกเว้นว่า เป็นการไปพบเพื่อติดต่อเรื่องงาน หรือทำภารกิจบางอย่าง เช่น
ไปโรงพยาบาล หรือไปพบเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานต่าง ๆ เป็นต้น
แม้แต่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ยังแยกกันเรียนระหว่าง ชายกับหญิง
ผมฟังแล้ว ดูท่าเขาจะชอบสาวฟิลิปปินส์เอามาก ๆ
ไม่รู้ว่า ไปโดนเสน่ห์ยาแฝด มนต์กาลีจากสำนักไหน จึงได้คลั่งไคล้ขนาดนั้น !!
ผมจึงแอบแซวเขาเล็ก ๆ
“แล้วตอนนี้ คุณพบผู้หญิงฟิลิปปินส์ในฝันแล้วหรือยังล่ะ?”
“ยังเลย” เขาตอบแบบมืดมน ไร้ความหวัง
“แต่ผมว่า คุณพบแล้วนะ” ผมเอ่ยขึ้น
“หือ?” มูซ่าอุทาน พร้อมทำหน้าตาเหรอหราอย่างแปลกใจ
แทนคำตอบ ผมชี้มือไปที่เตียงนังผิน ซึ่งนั่งท่าไม้ตาย “จะงอยขอนรอผัว” อยู่ด้วยสายตาอันอ้อยสร้อย ประหนึ่งหิ่งห้อยรอฉายแสงระริกระรี้ในยามค่ำคืน
มูซ่า อ้าปากค้าง !! ร้องเสียงหลง และหัวเราะลั่นโต๊ะ
“Oh..No…My Goddd !!”
หลังจากที่ผมคุยกับมูซ่าเมื่อคราวก่อน ผมยังสงสัยไม่หายในคำบอกเล่าของเขา เกี่ยวกับเรื่องผู้ชายและผู้หญิงในประเทศซาอุฯ ว่าถ้าหากผู้ชายไม่สามารถคุยกับผู้หญิงได้เลยเนี่ย มันจะทำให้ผู้ชายรู้จักผู้หญิง และนำไปสู่การแต่งงานได้อย่างไร?
พูดง่ายๆ นั่นก็คือ จะมีแฟนหรือมีเมียได้อย่างไรกันล่ะ?
บ่ายวันต่อมา หลังจากอาหารเที่ยงเสร็จสิ้น
ผมนั่งเอกเขนกกินแอปเปิ้ลอยู่ที่ฐานบัญชาการเตียง
มูซ่าถือพรมเดินผ่านมา หลังจากละหมาดเสร็จ
เราทักทายกันเหมือนเดิม แล้วผมก็ถามเรื่องที่ยังสงสัย คาใจอยู่
“มูซ่า ถ้าคุณว่าง พอจะอธิบายเรื่องของชายและหญิงของประเทศคุณให้ผมฟังได้มั๊ย?”
“ได้สิ” คือคำตอบของเขา ด้วยน้ำเสียงอันเต็มใจ
แล้วเขาก็ร่ายยาว
ส่วนผม ก็จับใจความได้สั้นๆ ดังนี้
“การรู้จัก” ผมสรุปได้ 2 วิธีใหญ่ๆ คือ โดยตนเอง และ โดยคนอื่น
โดยตนเอง ขยายความว่า อาจจะไปพบเจอในที่สาธารณะบางแห่ง แม้จะเห็นเพียงแค่ดวงตากลมโต
ภายใต้ผ้าคลุมหน้าสีดำ และคาดเดารูปร่างจากชุดคลุมตัวสีดำ ซึ่งยาวจนถึงข้อเท้า
แต่เมื่อศรรักปักอกจนอยากจะทำความรู้จัก ก็ต้องสืบหาข้อมูลเอาเอง จากเพื่อน ญาติ หรือใครก็ตาม ว่านางฟ้าคนนั้นเธอเป็นใคร ลูกเต้าเหล่ากอของใคร อยู่ที่ไหน
เมื่อได้ข้อมูลแล้ว จึงให้พ่อแม่ของตนเองไปทาบทามทางครอบครัวฝ่ายหญิง เพื่อขอเข้าพบ และทำความรู้จัก และหลังจากนั้น ก็จะพัฒนาไปตามขั้นตอน ซึ่งจะได้อธิบายต่อไป
โดยผู้อื่น ในที่นี้หมายถึง พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ซึ่งอยากจะแนะนำให้เราได้รู้จัก แต่ก็ต้องทำตามขั้นตอนประเพณีวิธีปฏิบัติเหมือนเดิม คือ พ่อแม่ตนเองต้องออกโรงไปทาบทาม
ครอบครัวฝ่ายหญิง เพื่อขอเข้าพบและทำความรู้จักกัน
อนึ่ง ในสังคมของชาวซาอุดิอาระเบีย ยังมีลักษณะการแต่งงานในหมู่เครือญาติ ลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฎหมายหรือศาสนาแต่อย่างใด แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัว และชนเผ่า
ที่มีวัฒนธรรมต่างกัน
“การพบกัน” ถือว่ามีความเป็นทางการเป็นอย่างมาก***
ทั้ง 2 ฝ่าย คือครอบครัวฝ่ายชายและหญิง ต้องมาพร้อมกันทั้งหมด
เมื่อพร้อมหน้าและอยู่ต่อหน้ากันทั้งหมด ก็แนะนำตัวและทำความรู้จักกันเบื้องต้น
แล้วก็มาถึงขั้นตอนสำคัญต่อมา คือ เพศชายของฝ่ายชาย ต้องมาพบกับเพศชายของฝ่ายหญิงทั้งหมด แล้วก็มีการพูดคุย ถามไถ่กันพอสมควร
และหากทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ก็จะเริ่มขั้นตอนต่อไป
คือ ให้ชายหนุ่มหนึ่งเดียวของฝ่ายชายรออยู่ที่ห้อง
แล้วพ่อของฝ่ายหญิง ก็จะพาลูกสาวที่ชายหนุ่มหมายปองออกมาให้ยลโฉม
โดยจะเปิดผ้าคลุมหน้าและผ้าคลุมตัวออก เพื่อให้เห็นรูปร่าง หน้าตา อย่างชัดเจน
นาทีนั้น...ที่ผมฟังมูซ่าเล่า
ผมจินตนาการไปว่า ตัวเองเป็นไอ้หนุ่มซาอุฯคนนั้น !!
ผมคงใจเต้น..ตึ๊ก..ตึ๊ก..ตึ๊ก รอเวลาเธอเปลื้องผ้า เอ๊ย..เปิดผ้าคลุมหน้า !!
เธอจะสวยหยาดเยิ้มขนาดไหนกันน๊า? ดวงตากลมโตที่เราเคยเห็นนั้น มันจะคมบาดใจ กรีดลึกไปถึงทรวกอกมั๊ยนะ?
โอ๊ย...แค่คิดก็ตื่นเต้น..หัวใจจะวายแล้วเนี่ย !!
หลังจากนั้น ก็เป็นอันจบพิธีการทั้งหมด
ต่อไปก็เป็นเรื่องของฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง ที่ต้องสานต่อและศึกษาดูใจกัน
แต่ก็ยังไม่สามารถไปไหนมาไหนด้วยกันได้
หากชอบพอกัน และทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ก็อาจจะมีการหมั้นหมายในเวลาต่อมา
และเมื่อหมั้นกันเรียบร้อยอย่างเป็นทางการแล้วนั่นแหละ ก็จึงจะสามารถไปไหนมาไหนด้วยกันได้ตามสะดวก
หลังจากนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน
หากแฮปปี้ พออกพอใจกันทั้ง 2 ฝ่าย และคิดว่า...เธอมากับคำว่า..”ใช่”...
ก็ตกลงปลงใจจัดพิธีแต่งงานกัน
แต่ถ้าเหตุการณ์กลับตาลปัตร
เพราะคนที่ “ใช่” ทำอะไรเขาก็ชอบ แต่คนที่ “ไม่ใช่” ทำดีไปกี่รอบ ก็ยังได้คำตอบว่า “ไม่ใช่”
ก็จัดการถอนหมั้นกันไป !!
ผมยิงคำถามสุดท้ายกับมูซ่าว่า
“แล้วใครเป็นฝ่ายจ่ายค่าสินสอด?”
มูซ่าหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบ
“ฝ่ายชายสิ!!”
ผมหัวเราะเบาๆ เหมือนกัน ก่อนบอกเขาว่า
“นึกว่าจะเหมือนสายอินเดีย”
มูซ่าเสริมท้ายนิดนึงว่า
ค่าสินสอดจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับครอบครัวของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงตกลงกัน
แต่คู่แต่งงานใหม่ มีประเพณีว่า ต้องมีของใหม่ และใช้ของใหม่ทั้งหมด อาทิ
บ้าน รถ ข้าวของเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ นานา
อืม..ฟังดูแล้วก็เข้าทีเหมือนกันนะ
ก็เหมาะกับเศรษฐีน้ำมันอย่างชาวซาอุฯเขาแหละ
แต่คงไม่เหมาะกับเศรษฐีน้ำท่วมอย่างประเทศเรา !!
มูซ่าเคยสังเกตเห็นผมนั่งเขียนหนังสือยุกๆยิกๆ อยู่คนเดียวหลายครั้ง
มีครั้งหนึ่งเขาถามผมว่า ผมเขียนอะไรหรือ?
ผมบอกเขาไปว่า เขียนเรื่องราวต่างๆ ในศูนย์ฯนี้แหละ
เขียนถึงผู้คน เขียนถึงความรู้สึก
“และเขียนถึงคุณด้วยนะ !!”
เขาทำหน้าแปลกใจ และก็บอกว่า
“เขียนเป็นภาษาอังกฤษด้วยสิ ผมอยากอ่าน”
ผมทำทีเป็นพยักหน้ารับรู้ ที่ไหนได้..ในใจนั้นบอกว่า...
“จะบ้าเรอะ !! ที่คุยกะมึงรู้เรื่องนี่ ก็เป็นบุญตาวาสนาของเจ้าลอยอย่างกูแล้ว !!”
อยู่มาวันหนึ่ง
หลังจากผมหวดปิงปองกับสมาชิกจนเหงื่อซึมแล้ว
จึงเดินมานั่งพักที่โต๊ะข้างราวริมระเบียง เหลือบไปเห็นโต๊ะถัดไป มูซ่านั่งเขียนหนังสืออยู่อย่างคร่ำเคร่ง ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นตัวหนังสือภาษาอารบิคของเขาเต็มหน้ากระดาษ แล้วก็เขียนจากขวามาซ้าย ตามลักษณะวัฒนธรรมภาษาของเขา
“เขียนอะไรอยู่เหรอ?”
คำถามนี้เขาเคยถามผม แต่คราวนี้ผมเป็นฝ่ายถามบ้าง
“เขียนเกี่ยวกับที่นี่ เขียนเกี่ยวกับ Immigrant อย่างเรา เขียนเกี่ยวกับอเมริกา แคนาดา และเขียนเรื่องราวของมิสเตอร์ไมค์ ด้วย”
อืม..เหมือนเขาจะลอกคำตอบผมมาเลย !!
“เขียนเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ ผมอยากอ่านเหมือนกัน !!” ผมลอกคำพูดเขาบ้าง
“No Problem !!” มูซ่าตอบอย่างไม่ลังเล และคำตอบนี้ เขาไม่ได้ลอกผมอีกแล้ว !!
“คุณรู้มั๊ย..มิสเตอร์ไมค์ คุณคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากเขียนหนังสือเลยนะ
เพราะอันที่จริง ผมไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้มาก่อน แต่ผมเห็นคุณนั่งเขียนหนังสือทุกวันอย่างมีความสุข ผมก็เลยอยากจะทำตามบ้าง และมันทำให้ผมรู้สึกดี สงบ และมีสมาธิ ขอบคุณอย่างจริงใจนะ”
“ด้วยความยินดี มูซ่า”
จะว่าไปแล้ว ผมไม่เคยคิดที่จะชักชวนใครให้มาเป็นแบบผม หรือมาเป็นอะไรในแบบที่เราชอบหรอก ผมคิดเสมอว่า ทุกคนมีอิสระเสรีที่จะเลือกในสิ่งที่ตนเองชอบ ผมเองก็เช่นกัน ผมก็ทำในสิ่งที่ตนเองชอบ เลือกในสิ่งที่ตนเองมีความสุข แต่เมื่อเห็นใครสักคนหนึ่ง มองสิ่งที่เราทำว่าเป็นเรื่องที่ดี และน่าสนใจ
เราเองก็มีความรู้สึกดีๆ และปลาบปลื้มไปด้วย
ที่เหมือนเป็นคนจุดประกายความคิดให้กับเขาโดยไม่รู้ตัว
สุดท้าย...ก็นำไปสู่แรงบันดาลใจที่อยากจะทำในสิ่งนั้น
ผมไม่รู้ว่า หลังจากนี้ มูซ่าและน้องชายของเขาวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป
เขาอาจจะอยู่ต่อที่อเมริกา หรือกลับประเทศตนเอง
ส่วนแคนาดาที่เขาใฝ่ฝันนั้น น่าจะยังคงเป็นไปไม่ได้ในขั้นตอนนี้
แต่อนาคต...ใครจะไปรู้
เขาอาจจะดั้นด้น และพยายามจนสำเร็จในวันหนึ่งข้างหน้า
หรือเขาอาจจะกลายเป็นนักเขียนชื่อเสียงโด่งดัง
ผู้มีสำนวนร้อนระอุดั่งเม็ดทรายในตะวันออกกลาง...ก็เป็นได้ !!
@@@@@@@@@@
โปรดติดตามตอนต่อไป ; "มาก ภูทับเบิก"
*** ปัจจุบัน ประเทศซาอุดิอาระเบีย มีการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ มากขึ้น
ประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ ก็เปลี่ยนไปตามกระแสโลก
การพบกันระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง อาจจะไม่ได้มากันชุดใหญ่ของครอบครัวทั้งหมดก็ได้ ซึ่งก็แล้วแต่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายตกลงยินยอมกันด้วย.
และเมื่อ 24 มิถุนายน 2561 รัฐบาลซาอุฯ ได้อนุญาตให้ผู้หญิงทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป สามารถสอบใบขับขี่และขับรถยนต์เองได้ ซึ่งถือว่า เป็นประเทศสุดท้ายของโลก ที่ได้ยกเลิกกฏหมาย "ห้ามผู้หญิงขับรถ"
@@@@####@@@#
โฆษณา