26 ธ.ค. 2019 เวลา 14:03 • กีฬา
[คาร์โล อันเชลอตติ]
[หนุ่มรูปงามกับสาวบ้านนอก]
เป็นที่ชัดเจนเรียบร้อยแล้วว่ากุนซือคนใหม่ของ
สโมสรเอฟเวอร์ตัน จะเป็นชายที่มีชื่อว่าคาร์โล อันเชลอตติ
ซึ่งถือเป็นข่าวใหญ่มากสำหรับวงการฟุตบอล
นั่นเพราะด้วยโปรไฟล์ของกุนซือชาวอิตาเลี่ยน
นั้นสูงส่งอย่างที่เราทราบกันดี ว่าประสบความสำเร็จ
มาแล้วแทบทุกอย่างในวงการลูกหนัง
เอาแค่ว่าเป็นกุนซือผู้เคยพาทีมที่เขาคุมเถลิงบัลลังก์แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้มากถึงสามสมัย
หรือหากนับสมัยที่เขายังเป็นนักฟุตบอลด้วยก็ปาเข้าไป
ทั้งสิ้น 5 สมัยนั้น ก็แทบไม่มีอะไรจะให้ต้องมาตั้งคำถามถึงประสบการณ์อีกต่อไป
แน่นอนว่าแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน อาจจะไม่ชอบใจนักกับคำเปรียบเปรยที่สื่อต่างมอบให้การเข้ามาฟีทเจอริ่งกันครั้งนี้
ว่าเป็นเหมือน"ชายสูงศักดิ์กับสาวบ้านนอก”
(หรือเปรียบแบบหยาบๆเลยก็ดอกฟ้ากับเทมเพิ่ล ด็อก)
แต่มันก็ต้องยอมรับว่าเป็นความจริงทุกประการ
ปัจจุบันในวัย 60 ปี คาร์โล อันเชลอตติ มีประสบการณ์เพียบเต็มตัว เพราะงั้นจึงจะพาไปทำความรู้จักกับกุนซือ
เจ้าของนิกเนมพากย์ไทยว่า "พี่แจ้" กันให้มากขึ้น
-
ข้อแรก หากว่าใครเคยได้อ่านหนังสืออัตชีวประวัติของ
บรมกุนซือชาวสกอตต์ อย่าง เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน
น่าจะยังจำได้ว่าท่านเซอร์ ได้เขียนเปิดเผยเอาไว้ว่าเขานั้นได้ตามพูดตามคุยหว่านล้อมให้ คาร์โล อันเชลอตติ
เข้ามาสานงานต่อจากตนเองอยู่บ่อยครั้ง หลังตัดสินใจว่าจะยุติการทำหน้าที่ประมุขแห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
หรือพูดง่ายๆก็คือ เฟอร์กี้ วางตัวรัชทายาทอันดับหนึ่งเป็นคาร์โล อันเชลอตติ ทว่าเมื่อ คาร์โล อันเชลอตติ
ปฏิเสธโอกาสตรงนี้ เฟอร์กี้ จึงเบนเข็มไปหาคนบ้านเดียวกันอย่าง เดวิด มอยส์ แทน
เรื่องต่อมาก็คือคำกล่าวที่บอกว่านักฟุตบอลที่เก่งกาจนั้น หายากที่จะมาทำหน้าที่กุนซือได้เก่งเหมือนตอนยังเป็นนักฟุตบอล ซึ่งมันใช้ไม่ได้กับชายชื่อ คาร์โล อันเชลอตติ
เพราะสมัยที่ยังหุ่นเพรียวลม สวมสตั๊ดลงเล่นฟุตบอลนั้น เขาเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับและเคยค้าแข้งให้กับสโมสรปาร์ม่า , โรม่า และทีมที่สร้างชื่อเสียงให้เขามากที่สุดก็คือเอซี มิลาน
โดยเจ้าตัวลงเล่นในฟุตบอลเซเรีย อา ไปทั้งสิ้น 338 นัด ทำได้ 35 ประตู มีเกียรติประวัติสมัยเป็นนักเตะไม่มากไม่มายอะไร ก็แค่ 12 โทรฟี่เท่านั้นเอง!!!
-
และอย่างที่บอกไปแล้วว่าคาร์โล อันเชลอตติ นั้นเคยคว้าแชมป์ยุโรปถ้วยใหญ่มาครองได้ทั้งหมดห้าครั้ง
โดยแบ่งเป็นตอนค้าแข้งกับเอซี มิลาน สองสมัย ที่ตอนนั้นยังใช้ชื่อรายการว่า ยูโรเปี้ยน คัพ เมื่อปี 1989 และ 1990
และอีกสามสมัยในตอนที่ผันตัวมารับงานเป็นผู้จัดการทีม โดยสองครั้งแรกทำได้ในนามเอซี มิลาน เมื่อปี 2003 และ 2007 ส่วนอีกหนึ่งครั้งคือการพา เรอัล มาดริด ชนะเลิศ ในปี 2014
นี่ยังไม่นับรวมแชมป์ลีกอิตาลี แชมป์ลีกเยอรมัน แชมป์ลีกฝรั่งเศส และแม้กระทั่งแชมป์ลีกอังกฤษ ที่เขาเคยคว้ามาประดับบารมีมาหมดแล้ว
ลองเปรียบเทียบให้เห็นภาพแบบง่ายๆก็คือ ในขณะที่สโมสรเอฟเวอร์ตัน ก่อตั้งมาจนถึงวันนี้เป็นเวลานานถึง 141 ปี
ยังมีเกียรติประวัติในการคว้าแชมป์มาครอง
น้อยกว่าช่วงชีวิต 60 ปีของ คาร์โล อันเชลอตติ เสียอีก
โดย เอฟเวอร์ตัน นั้นมีสถิติการคว้าแชมป์ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ที่จำนวน 25 โทรฟี่ แต่ตัวของ อันเชลอตติ นั้นฟาดไปแล้ว 31 โทรฟี่ นั่นเอง
ตลอดเวลาที่เขาหันมาจับงานการทำทีม คาร์โล อันเชลอตติ ผ่านงานคุมทีมมาแล้วหลายสโมสรอย่างมาก
จนได้ชื่อว่าเป็นจอมพเนจรคนหนึ่งของวงการ
ซึ่งเอฟเวอร์ตัน ถือเป็นสถานีลำดับที่ 9 ที่เขาตัดสินใจเข้ามารับงาน โดยก่อนหน้านี้เขาผ่านมาแล้วทั้ง ปาร์ม่า ,ยูเวนตุส , เอซี มิลาน , เชลซี , เปแอสเช , เรอัล มาดริด , บาเยิร์น มิวนิค และ นาโปลี
ว่ากันว่าหลังจากตกงานมาจากสโมสรนาโปลี นั้นตัวคาร์โล อันเชลอตติ มีแผนจะพักงานกุนซือไปสักระยะด้วยซ้ำ
แถมยังจองตั๋วไปแวนคูเวอร์ เพื่อฉลองคริสมาสต์กับครอบครัวยาวจนถึงปีใหม่ แต่ด้วยชีวิตที่ผูกพันธ์กับฟุตบอล
ทำให้เขาตัดสินใจจับเครื่องบินมาพูดคุยรายละเอียดแผนงานกับทางบอร์ดบริหารของสโมสรสีน้ำเงินแห่งลุ่มน้ำ
เมอร์ซี่ ก่อนจะตกลงเซย์เยสรับงานที่เขามองว่าเป็นความท้าทายที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
ในด้านของสไตล์การทำทีมนั้น คาร์โล อันเชลอตติ จะมีความแตกต่างจาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ เจอร์เก้น คล็อปป์
เพราะกุนซือชาวอิตาเลี่ยนอย่างเขามีความยืดหยุ่นมากกว่า ไม่ค่อยมีสไตล์จำเพาะเจาะจงที่เป็นเทรดมาร์กหรือภาพจำ เหมือนอย่าง เป๊ป และ คล็อปป์
ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีหลักการทำทีมแต่อย่างใด หากแต่ฟุตบอลของ อันเชลอตติ จะสามารถยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนไปตามหน้างานหรือสถานการณ์ได้ หรือก็คือการมีแผนบีและซีเอาไว้รองรับ เมื่อแผนเอ ใช้งานไม่ได้นั่นเอง
เช่นที่เขาเคยบอกเอาไว้ในหนังสือของตนเองที่ชื่อ
"Quiet Leadership" เอาไว้ว่า
"ฟุตบอลนั้นไม่จำเป็นว่าต้องเจาะจงตายตัวว่าสไตล์ไหน
สิ่งสำคัญคือคุณต้องรู้ว่าเจ้าของทีมนั้นๆต้องการอะไร
แฟนบอลแต่ละสโมสรนั้นต้องการอะไร รวมถึงสโมสรที่คุณเข้าไปทำงานนั้นเป็นแบบไหน ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณไปคุมเรอัล มาดริด แล้วดันบอกว่าจะสร้างทีมเพื่อแผนงานระยะยาว ผมรับรองว่าคุณได้ตกงานแน่ๆ เพราะสโมสรอย่าง
เรอัล มาดริด จัดอยู่ในประเภทต้องการความสำเร็จทันที"
จากคำพูดดังกล่าวบ่งบอกชัดเจนถึงริ้วรอยประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน และอีกหนึ่งสิ่งที่ถือเป็นนิสัยของ คาร์โล อันเชลอตติ ก็คือความสุภาพและน่าเคารพมากที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งมันเกิดมาจากการที่เขาให้ความเคารพคนอื่นก่อนนั่นเอง
ย้อนไปในสมัยที่เขารับงานคุมทีมเชลซี เมื่อปี 2009 สิ่งแรกๆที่เขาจัดการทำทันทีเมื่อรู้ว่าต้องไปทำงานที่เดอะ บริดจ์ คือการต่อสายโทรหา ดีดิเยร์ ดร็อกบา เพื่อพูดคุยทำความแนะนำตนเองและรวมไปถึงนักเตะซีเนียร์ของทีมรายอื่นๆด้วย
นั่นเพราะเขาตระหนักดีว่า หากชนะใจพวกแข้งรุ่นใหญ่ได้แล้วนั้น การทำงานขั้นตอนต่อๆไปก็จะราบรื่นเอง
ซึ่งเมื่อถึงวันอำลาตำแหน่งนายใหญ่สิงโตน้ำเงินคราม
ในปี 2011 ก็เป็นนักเตะอย่าง ดีดิเยร์ ดร็อกบา , จอห์น
เทอร์รี่ และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด
ที่เป็นแกนนำในการจัดเลี้ยงอำลาให้กุนซือชาวอิตาเลี่ยน ณ ห้องอาหารหรูย่านเมย์แฟร์ กลางมหานครลอนดอน
หรือหากไล่ย้อนไปนานกว่านั้น เขาก็ทำให้ทุกคนได้เห็นมาแล้วว่าการที่ในทีมมีสุดยอดมิดฟิลด์ระดับพระกาฬมากถึงสี่คน อย่าง อันเดรีย ปีร์โล่ , คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ , รุย คอสต้า และ กาก้า ไม่ใช่ปัญหาในการที่จะจัดระบบให้ทั้งหมดลงเล่นประสานงานกันได้แบบไร้รอยต่อ ไม่ส่งผลกระทบถึงภาพรวมของทีมได้
โดยตอนนั้น อันเชลอตติ ตัดสินใจวางระบบ 4-4-2 แบบไดมอนด์ ให้ กาก้า เป็นยอดเพชรและอันเดรีย ปีร์โล่ เป็นฐานเพชรอันแข็งแกร่ง
บวกกับคู่กลางอย่าง เซดอร์ฟ และ รุย คอสต้า ส่งผลให้ทีมทะยานไปคว้าแชมป์ยุโรปมาได้เมื่อปี 2003 รวมถึงแชมป์กัลโช่ ในปีถัดมา โดย คาร์โล อันเชลอตติ ให้เหตุผลเอาไว้ว่า
"ตอนนั้นผมสร้างทีมเพื่อสนองความต้องการของซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ และแฟนบอล ที่ต้องการเห็นทีมเล่นเกมรุกมากขึ้น ผมจึงก่อร่างแผนงานโดยทำให้นักเตะอย่าง กาก้า , คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ , รุย คอสต้า , อันเดรีย ปีร์ โล่
รวมไปถึงกองหน้าอย่าง อังเดร เชฟเชนโก้ ได้ลงเล่นและประสานงานร่วมกันให้ได้ ผมทำได้เพราะจากประสบการณ์ของผมได้สอนผมว่า อย่าไปตายตัวยึดติดกับฟุตบอล แต่ควรทำงานให้ตรงตามทรัพยากรที่เรามีในมือ รวมถึงให้ตรงกับความต้องการของเจ้าของทีมและแฟนบอล"
-
ด้วยสัญญา 4 ปีครึ่ง ที่คาร์โล อันเชลอตติ ได้จรดปากกา
ลงนามในการทำหน้าที่กุนซือสโมสรเอฟเวอร์ตัน
จึงเป็นอะไรที่น่าติดตามอย่างยิ่งว่ากุนซือผู้มีบารมีสูงศักดิ์เปรียบดั่งหนุ่มหล่อแห่งบ้านทรายทองอย่างเขา
จะมีแผนงานอะไรในการเข้ามาเปลี่ยนโฉมสาวบ้านนอกคอกนาอย่าง เอฟเวอร์ตัน ให้กลายร่างมาเป็น
โฉมงามหน้ามนขึ้นปกนิตยสารชื่อดัง
ซึ่งก็ไม่แน่นะครับว่าด้วยฝีมือในการคุมทีมของ อันเชลอตติ นั้น บางที เอฟเวอร์ตัน อาจกลายไปเป็นเจ้าหญิงรูปงามเจ้าของตำแหน่งมิส ยูนิเวอร์ส ได้เลยด้วยซ้ำไป
แต่ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน
เส้นทางครั้งใหม่นี้ของทั้งชายสูงศักดิ์กับสาวบ้านนอก
จะลงเอยอย่างไรนั้น คงต้องใช้คำว่า โปรดติดตามกันต่อไปครับ
โฆษณา