27 ธ.ค. 2019 เวลา 07:01 • กีฬา
การเจอกับเลสเตอร์ทุกครั้ง ไม่เคยเป็นงานง่ายของลิเวอร์พูล คือแม้ชนะได้ ก็เหนื่อยมาก ชนิดเจียนอยู่เจียนไป
ยิ่งก่อนเกมนี้ สถิติเลสเตอร์ คือทีมที่มีเกมรับอันดับ 1 ยิ่งไม่มีใครคิดว่าเกมจะขาด 4-0 แบบนี้
นี่คือบทสรุป 22 ข้อ ของเกมที่สนามคิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม
1) เลสเตอร์แข่งวันเสาร์กับแมนฯซิตี้ จากนั้นได้พัก 4 วัน ก็ต้องมาแข่งกับลิเวอร์พูลต่อในวันพฤหัสบดี ขณะที่ลิเวอร์พูลแข่งกับฟลาเมงโก้ในวันเสาร์ ได้พัก 4 วันเหมือนกัน ดังนั้นลิเวอร์พูลถือว่าเสียเปรียบเรื่องความฟิตนิดๆ เพราะต้องเดินทางไกลกลับจากกาตาร์ บวกกับเล่นเกมเยือนอีกต่างหาก
2) ลิเวอร์พูลเปลี่ยนแค่ 1 ตำแหน่ง จากเกมชนะฟลาเมงโก้ คือใส่เอาจินี่ ไวจ์นัลดุม ที่หายสมบูรณ์แล้ว กลับมายืนตัวจริง เช่นเดียวกับ เลสเตอร์ ที่เปลี่ยนตำแหน่งเดียวจากเกมแพ้แมนฯซิตี้ นั่นคือ เอาเดนนิส ปราต ลงเป็นตัวจริงแทน อโยเซ่ เปเรซ จะเห็นได้ว่า ทั้ง 2 ทีมจัดเต็มมากๆ
เกมหน้าหงส์เจอวูล์ฟส์ ส่วนเลสเตอร์ เจอเวสต์แฮม ค่อยไปโรเทชั่นเอาในเกมหน้า แต่นัดนี้ขอแลกหมัดกันไปเลย ว่าใครจะเก็บสามแต้มได้
3) สถิติบอกว่า ตั้งแต่เลสเตอร์เลื่อนชั้นขึ้นมาในฤดูกาล 2014-15 ทุกครั้งที่เจอลิเวอร์พูลที่คิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม พวกเขาจะยิงหงส์ได้ทุกเกมแบบ 100% คือจะแพ้ จะชนะ ยังไงก็ต้องยิงลิเวอร์พูลได้
ซึ่งถ้าวิเคราะห์ตามสไตล์ของลิเวอร์พูล ก็ต้องบอกว่า นี่คือของโปรดของเลสเตอร์เลย หงส์แดงคือทีมที่เล่นเกมรุก เดินหน้าบุกตลอด ซึ่งก็เข้าทางเลสเตอร์ ทีมที่ใช้การสวนกลับเร็วเข้าโจมตี
4) สิ่งที่เลสเตอร์ไม่รู้เลย คือลิเวอร์พูลศึกษามาเป็นอย่างดีแล้ว ว่าเลสเตอร์จะเล่นยังไง วิธีการเข้าทำของเลสเตอร์ ที่ใช้โจมตีคู่แข่งหลักๆ มีสองแบบ วิธีแรกคือ Build up + Killer Pass คือเซ็ตเกมช้าๆ เริ่มจาก แคสเปอร์ ชไมเคิล จ่ายบอลสั้นให้กองหลัง กองหลังค่อยๆลำเลียงจ่ายมาให้กองกลาง อย่างยูริ ตีเลม็องส์, ฮาร์วีย์ บาร์นส์ หรือ เจมส์ แมดดิสัน พอบอลถึงกองกลางปั๊บ ก็ทำการแทงคิลเลอร์พาส ให้เจมี่ วาร์ดี้ สปรินท์ตัวเข้าไปยิงประตู
วิธีที่สองคือใช้ฟูลแบ็ก ริคาร์โด เปเรยร่า และ เบน ชิลเวลล์ เติมเกมขึ้นมาอย่างดุดัน ถ้าเกมริมเส้นทีมไหนป้องกันไม่ดี ก็โดนอัดไป จำเกมที่เลสเตอร์บุกไปอัดเซาธ์แฮมป์ตันได้ไหมครับ นัดนั้นเบน ชิลเวลล์ ทำ 3 แอสซิสต์ 1 ประตู อัดด้านข้างจนเซาธ์แฮมป์ตันเละเทะไปหมด
5) เกมนี้เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้แนวรุกเล่น High Block หรือตัวรุกไล่เพรสซิ่งตั้งแต่ จังหวะที่แคสเปอร์ ชไมเคิล เริ่มเซ็ตบอล นี่เป็นเกมแรกจริงๆของซีซั่นที่เลสเตอร์ เจอกดดันตั้งแต่หน้าประตูตัวเองขนาดนี้ แม้แต่เกมกับแมนฯซิตี้ เมื่อวีกก่อน ก็ยังไม่โดนกดหนักแบบนี้
กองหลังเลสเตอร์ พอจับบอลปั๊บ ก็โดนกดดันเข้ามา ไม่มีเวลาจะลำเลียงบอลไปถึงมิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกม พวกเขาต้องโยนทิ้งให้พ้นตัวไปก่อน ซึ่งนั่นก็ทำให้ กองหลังลิเวอร์พูลเก็บกินได้หมด
บอลของเลสเตอร์ไม่สามารถไปถึงกองกลางได้เลย ฮาร์วีย์ บาร์นส์ ตัวแอสซิสต์เบอร์ 1 ของทีม ได้จับบอลทั้งเกม 27 ครั้ง , เจมส์ แมดดิสัน ได้จับบอลทั้งเกม 33 ครั้ง และเมื่อบอลไม่ถึงกองกลาง ก็แปลว่าไม่มีตัวคิลเลอร์พาส ส่งผลให้เจมี่ วาร์ดี้ ไม่ได้บอลตามไปด้วย ตลอดทั้งเกม วาร์ดี้ได้สัมผัสบอล 22 ครั้ง น้อยที่สุดในสนาม และยิงไม่เข้ากรอบแม้แต่หนเดียว
ลิเวอร์พูลทำลายเกมของเลสเตอร์ ด้วยการใช้พลังงานในการเพรสซิ่ง ซึ่งเชื่อว่าเลสเตอร์ก็ต้องแปลกใจ เพราะหงส์แดงเพิ่งเล่นกับฟลาเมงโก้มา 120 นาที พวกเขาเอาเรี่ยวแรงจากไหนเยอะแยะมาไล่บอลตลอดเวลาขนาดนี้
6) เมื่อใช้วิธีลำเลียงตรงกลางไม่ได้ เราจึงเห็นเลสเตอร์ พยายามใช้วิธีการเจาะอีกแบบ คือใช้เกมริมเส้นบ้าง แต่นัดนี้ ทั้งเบน ชิลเวลล์ และ ริคาร์โด้ เปเรยร่า เล่นไม่ออกเลย เพราะเจอฟูลแบ็กของลิเวอร์พูลดันขึ้นมาจนสุด ไล่กดเกมริมเส้นของเลสเตอร์ จนขึ้นไม่ได้เหมือนกัน
นาทีที่ 55 ตอนบอลทะลักไปฝั่งขวาสุด เดนนิส ปราต ของเลสเตอร์ คิดอยู่ว่าจะค่อยๆเซ็ต หรือจะโยนยาวดี ทันใดนั้น แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน วิ่งมาแย่งบอลจากเท้าไปดื้อๆ แล้วเปิดเข้ากลาง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ยิงออกไปนิดเดียวเท่านั้น
7) เราจะเห็นได้ว่า เกมนี้ลิเวอร์พูลเอาชนะอย่างเด็ดขาดด้วยกลยุทธ์ เลสเตอร์เจาะไม่ได้เลย และนี่เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ที่เลสเตอร์ยิงไม่เข้ากรอบแม้แต่หนเดียวด้วย
ทีมสุดท้ายที่ทำให้เลสเตอร์ ยิงไม่เข้ากรอบได้ในพรีเมียร์ลีก นั่นคือแมนฯซิตี้ เกมวันที่ 18 พฤศจิกายน 2017 แมนฯซิตี้ บุกมาชนะ 2-0 ที่คิง เพาเวอร์ และจบฤดูกาลนั้น ซิตี้ ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก
8 ) ปัญหาของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ตั้งแต่คุมลิเวอร์พูลแล้ว นั่นคือเขามีแผน A แค่แผนเดียว แต่ไม่มีแผน B ที่เอาไว้แก้สถานการณ์เวลาที่ทุกอย่างไม่เป็นใจ ปีที่หงส์ไล่ล่าแชมป์ (2013-14) แผนของเขา คือส่ง ซัวเรซ-สเตอร์ริดจ์-สเตอร์ลิ่ง ลงสนาม ใช้พลังเกมรุก บุกเอาสามแต้มให้ได้ แต่ไม่เคยคิดว่า ถ้าหากเกิดเหตุอะไรขึ้นมาระหว่างเกม แล้วจะแก้ไขปัญหาอย่างไร มาในนัดนี้ก็เช่นกัน เลสเตอร์ ทรงเกมแย่ขนาดนี้ แล้วพอแก้เกม ฟอร์มยิ่งแย่ลงอีก
จริงๆร็อดเจอร์ส เป็นผู้จัดการทีมที่ดีคนหนึ่ง แต่เรื่องการแก้แท็กติกอันนี้ ต้องยอมรับว่าสู้เจอร์เก้น คล็อปป์ไม่ได้จริงๆ
9) การวางแท็กติกของคล็อปป์ข่มอย่างสมบูรณ์แล้ว ทีนี้ก็อยู่ที่ตัวนักเตะเองนั่นแหละ ว่าจะสามารถจบสกอร์ได้หรือไม่ ซึ่งในช่วงต้นเกม ลิเวอร์พูลทิ้งโอกาสไปเยอะมาก ตั้งแต่จังหวะมาเน่ ยิงจ่อๆ 2 หลาหลุดกรอบ รวมถึงจังหวะที่ซาลาห์ กระชากหลบแคสเปอร์ ชไมเคิล แต่ตัดสินใจเลือกยิงเอง ทั้งๆที่มุมไม่เหลือแล้ว ในนาทีที่ 11
จริงๆในเกมกับซัลซ์บวร์ก ซาลาห์เคยยิงมุมแคบลักษณะนี้ด้วยเท้าขวา เข้าประตู แต่ความแตกต่างของสองลูกนี้ คือเกมกับซัลซ์บวร์กไม่มีเพื่อนตามมาเลยแม้แต่คนเดียว ซาลาห์ต้องเสี่ยงยิงแล้ว แต่เกมนี้กับเลสเตอร์ มีซาดิโอ มาเน่ กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ มาช่วยในเขตโทษอยู่แล้ว ลูกนี้ซาลาห์ใจแคบไปนิด ไม่แปลกที่คล็อปป์จะออกมาตะโกนที่ซุ้มม้านั่งสำรอง ด้วยอาการไม่แฮปปี้
แต่อย่างที่เราบอกกันบ่อยๆ 3 แนวรุกของลิเวอร์พูล ไม่มีการโทษกัน ถ้าเลือกจะเล่นเองแล้วพลาด ก็ไม่เป็นไร ปล่อยจังหวะนั้นไปแล้วเริ่มใหม่
10) จังหวะนำ 1-0 ลูกนี้ต้องชมลักษณะการยืนของอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เหมือนเป็นตัวฟรี ประตูนี้ลิเวอร์พูลเริ่มจากได้เตะมุม เทรนต์ขยับมายืนประมาณมุมเขตโทษ เพื่อเป็นตัวเลือกให้โรเบิร์ตสัน ในกรณีอยากเล่นสั้น ตรงนี้เป็นการสร้างความปั่นป่วนให้เลสเตอร์ ว่าเมื่อเทรนต์ซึ่งเป็นแบ็กขวาอยู่ตรงนี้ แล้วใครจะประกบล่ะ?
พอโรเบิร์ตสัน เปิดบอลเข้าไป กองหลังเลสเตอร์เคลียร์ได้ สิ่งที่เห็นชัดเจนคือเลสเตอร์ ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะประกบเทรนต์ดี นั่นทำให้เขามีพื้นที่มหาศาลมากๆ ก่อนจะครอสบอลเข้าไป ให้ฟีร์มีโน่โหม่งทำประตู
11) อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มีพัฒนาการจริงๆ เขามีส่วนร่วมมากที่สุดในสนาม ได้สัมผัสบอลถึง 105 ครั้ง ครอสบอลทั้งเกม 17 หน คือเลสเตอร์ทั้งทีมยังครอสบอลรวมกันไม่เท่าเทรนต์คนเดียวเลย
เกมนี้เทรนต์ แอสซิสต์ 2 ยิง 1 แถมเก็บคลีนชีทได้อีกต่างหาก นี่เป็นเกมที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเขา ในวัย 21 ปี เขายังไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก ยิ่งบวกกับความเป็นคนลิเวอร์พูลแต่กำเนิดด้วยแล้ว ไม่แปลกถ้าอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะเป็นสัญลักษณ์ของสโมสรต่อไปในระยะยาว
12) สิ่งที่เราเห็นจากอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ คือเขามีเซนส์ในการจ่ายบอลที่ดีมาก แถมยังวางเท้าดีอีกต่างหาก จบสกอร์ได้แบบคมกริบเลย จึงมีเสียงเรียกร้องว่า บางทีเทรนต์ น่าจะลองมาเล่นกองกลางดู จะได้ใช้ทักษะการยิง การจ่าย ให้บ่อยมากกว่านี้
ส่วนตัวผม คิดว่า เทรนต์ เล่นแบ็กขวาเหมาะที่สุดแล้ว เพราะเขามีความเร็วจัด ถ้าเอามายืนในตำแหน่งกองกลางที่แออัด เทรนต์อาจไม่ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเต็มที่แบบนี้ แล้วอีกอย่าง ในฟุตบอลสมัยใหม่ ฟูลแบ็กก็ไม่จำเป็นต้องยืนริมเส้นอย่างเดียว ระบบ Inverted Full-Back เราจะเห็นฟูลแบ็กขยับมายืนตรงกลาง เล่นเป็นมิดฟิลด์ในบางสถานการณ์ แบบที่ฟิลิป ลาห์ม เคยทำ ซึ่งเทรนต์ก็สามารถเล่นแบบนั้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตำแหน่งเลย
13) เกมตอนสกอร์อยู่ที่ 1-0 จริงๆเลสเตอร์ ยังพอมีฮึดที่จะตีเสมออยู่ แต่เกมก็มาโอเวอร์ ในนาทีที่ 70 เมื่อลิเวอร์พูลมาได้จุดโทษ
คำถามคือจุดโทษที่ไมเคิล โอลิเวอร์ ให้ลิเวอร์พูลให้ มันแฟร์ไหม ผมอ้างอิงจากกฎของเอฟเอละกันนะครับ มีข้อที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้อยู่ครับ
- เป็นจุดโทษได้ ถ้าแขนกางในทิศทางที่ผิดปกติ จนขวางทางบอลไว้
- ไม่เป็นจุดโทษ ถ้าลูกบอลกระดอนผู้เล่นคนอื่น แล้วเด้งมาโดนแขน
- ไม่เป็นจุดโทษ ถ้าตัวเองสัมผัสบอล แล้วผิดเหลี่ยม จนเด้งไปโดนแขน
- ไม่เป็นจุดโทษ ถ้าบอลมาโดนแขน แต่แขนของผู้เล่นแนบลำตัว และไม่ทำให้ร่างกายใหญ่โตขึ้นโดยผิดธรรมชาติ
จังหวะแฮนด์บอลของคักลาร์ โซยุนคูนั้น ไมเคิล โอลิเวอร์เป่าอย่างมั่นใจมาก นั่นเพราะลักษณะแขนของโซยุนคู มันดูเหมือนกางออกมา จะตั้งใจหรือเปล่าไม่รู้ แต่ก็ทำให้ร่างกายใหญ่โตขึ้น และขวางทางบอล คือถ้าไม่โดนแขน ก็คงเข้าทางฟาน ไดค์ หรือ มาเน่ คนใดคนหนึ่ง
นอกจากนั้น โอลิเวอร์ก็ต้องพิจารณาว่า ลูกนี้ ไปแคนนอน กระทบนักเตะคนใดคนหนึ่งก่อน แล้วมาโดนแขนโซยุนคู อย่างไม่ตั้งใจหรือไม่ ซึ่งจากภาพช้าก็เห็นชัดว่า ไม่โดนใครเลยแม้แต่คนเดียว
ดังนั้น ลูกนี้ให้จุดโทษได้แน่นอน คือถ้าสังเกตดู ก่อนบอลจะโดนแขน ซาดิโอ มาเน่ ตวัดยิงแล้วนะครับ คิดว่าบอลตกมาถึงเท้าเขาแน่ๆ ดังนั้น การโดนแขนมันจึงเป็นการสกัดกั้นการได้ประตู จุดโทษลูกนี้ แฟร์ครับ
14) ไฮไลท์สำคัญอีกอย่างของนัดนี้ คือตอน โม ซาลาห์ โดนเปลี่ยนตัว ถามว่าเซอร์ไพรส์ไม่ ก็ไม่ เพราะเกมนี้ซาลาห์เล่นไม่ดีจริงๆ เขาผิดหวังแน่ๆ เพราะมีโอกาสเยอะมาก แต่ทำไม่ได้ ซึ่งคล็อปป์ก็เด็ดขาดพอ ที่จะเปลี่ยนออกตั้งแต่นาทีที่ 70 คือซาลาห์เกมนี้ ยิง 4 หน ไม่เข้ากรอบเลย สถิติจ่ายบอลเข้าเป้า 53.3% ต่ำสุดในสนาม ซึ่งในสามตัวรุก ถ้าจะถอดใครสักคน ก็ต้องซาลาห์นั่นล่ะ
ตอนเดินออกเขาส่ายหน้า และชักสีหน้า แต่มันก็เป็นธรรมดาของนักเตะระดับโลกทุกคน วันที่เล่นไม่ดี ก็อยากอยู่จนจบเกมเพื่อยิงให้ได้ มาโดนถอดแบบนี้มันก็ผิดหวัง
15) แต่คล็อปป์ พิสูจน์ให้เห็นว่าการเปลี่ยนตัวของเขาได้ผล จังหวะจุดโทษนั้น โอริกี้ ไปกระโดดตัดหน้า ทำให้โซยุนคู อาจเสียจังหวะ และรู้ตัวอีกทีบอลก็โดนแขนแล้ว ขณะที่เจมส์ มิลเนอร์ ก็ยิงจุดโทษไม่พลาด เท่ากับว่า สองตัวที่เปลี่ยนลงมา สร้างประโยชน์ได้ทันทีตั้งแต่นาทีแรก
ซึ่งพอเปลี่ยนตัวปั๊บ ลิเวอร์พูลยิงได้ 3 ลูกรวดใน 6 นาที เชื่อว่าซาลาห์ ก็คงโกรธไม่ลงหรอก
16) นักเตะอีกคนที่เด่นมาก แต่โดนความยอดเยี่ยมของอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์กลบไป ก็คือโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ลูกนำ 1-0 ในขณะที่มาเน่ กับซาลาห์ ยังจูนตัวเองไม่ติด ฟีร์มีโน่ ใช้โอกาสแรก ทำประตูได้ทันที ส่วนลูก 3-0 ก็เหนือชั้นจริงๆ ใช้ข้างเท้าด้านนอกจับบอล แล้วรอหนึ่งจังหวะ เห็นชไมเคิลเทน้ำหนักไปด้านซ้าย ก็ยิงสวนไปทางขวา
ความเยือกเย็นนี่คือไม้ตายของฟีร์มีโน่เลย คือในพื้นที่แคบๆแบบนั้น ถ้าเป็นกองหน้าส่วนใหญ่คงรีบยิงไปเลย แต่เขายังจับบอลและรอจังหวะ ก่อนเลือกมุมแบบนิ่งมากๆ
ลูกนี้ก็คล้ายๆกับประตูที่ยิงฟลาเมงโก้ คือ ยังใจเย็นที่จะล็อกจนได้มุมยิงเน้นๆจริงๆ ค่อยยิง
17) เกมนี้ ประตู 3-0 ถูกพูดถึงมากที่สุด เพราะลิเวอร์พูลครองบอลนานถึง 40 วินาที โดยที่เลสเตอร์ ไม่โดนบอลแม้แต่ครั้งเดียว
ฟาน ไดค์ > มิลเนอร์ > ฟาน ไดค์ > เฮนเดอร์สัน > ไวจ์นัลดุม > เฮนเดอร์สัน > มิลเนอร์ > โรเบิร์ตสัน > เฮนเดอร์สัน > ไวจ์นัลดุม > มาเน่ > ฟีร์มีโน่ > มิลเนอร์ > อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ > จบที่ฟีร์มีโน่ ยิงเข้าไป
ในการเข้าทำ ลิเวอร์พูลจ่ายบอลถึง 14 ครั้งใน 1 เพลย์ ก่อนปิดด้วยการยิงประตู มันแสดงให้เห็นถึงทีมเวิร์ก และความสามารถเฉพาะตัว เป็นประตูที่เลสเตอร์ทำอะไรไม่ได้เลย
18) เกมนี้ จึงเป็นการแสดงระยะห่างที่ชัดเจน ของสองทีม ทั้งในแง่การวางแท็กติก และ ความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่น ในขณะที่เลสเตอร์ แกะเพรสซิ่งของลิเวอร์พูลไม่ได้เลย ทางฝั่งลิเวอร์พูลกลับแก้เพรสซิ่งของเลสเตอร์ได้ง่ายมาก
ประตู 4-0 เกิดขึ้นจากการที่นักเตะเลสเตอร์พยายามไล่บี้แย่งบอลจากโรเบิร์ตสัน แต่ทำไม่สำเร็จ โดนลิเวอร์พูลแก้ออกมา แล้วสวนกลับจนเป็นประตูของอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ในที่สุด
19) บทสรุปเกมนี้ ก็ค่อนข้างชัดเจน ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นถึงระดับที่ต่างกัน เลสเตอร์ ถ้าเจอคู่แข่งทีมอื่นๆ พวกเขาแกร่งพอจะชนะได้ แต่พอเจอทีมระดับท็อปอย่างแมนฯซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล ก็พอเห็นได้ว่า ยังอยู่ห่างจากทีมเกรดนี้อยู่หนึ่งเลเวลเต็มๆ
20) แม้จะฉีกห่างอันดับ 2 ถึง 13 แต้ม แต่หลังจบเกมคล็อปป์ยังแสดงอาการถ่อมตัว ไม่ประกาศถึงความมั่นใจ เพื่อให้นักเตะในทีมยังโฟกัสอยู่กับเกมการแข่งขัน แต่ถ้าว่ากันแบบแฟร์ๆ โอกาสที่ลิเวอร์พูลจะพลาดแชมป์ในซีซั่นนี้มันยากจริงๆ
คือนอกจากพวกเขาจะสม่ำเสมอมากๆแล้ว คู่แข่งก็พร้อมใจกันทำแต้มหลุดด้วย ไม่มีทีมไหนที่จะกดดันลิเวอร์พูลอย่างจริงๆจังๆ
ยิ่งไปกว่านั้น สองทีมที่ลุ้นแย่งแชมป์ ทั้งแมนฯซิตี้ และเลสเตอร์ ยังมีโปรแกรมลีกคัพรอบรอง ถึง 2 นัด มาคั่นเพื่อตัดกำลังอีก ในขณะที่นักเตะลิเวอร์พูลจะโฟกัสในเกมลีกได้อย่างเต็มๆ
21) ถามว่า เรื่องที่คล็อปป์ควรกังวลใจอยู่ตรงไหน? อาจจะมีประเด็นว่า คล็อปป์ชอบมีสะดุดเดือนมกราคม ซีซั่นที่แล้ว (2018-19) เริ่มไม่ชนะ ก็ปลายเดือนมกราคม จนโดนแมนฯซิตี้แซง แถมตกรอบเอฟเอคัพอีกต่างหาก
ฤดูกาล 2017-18 มีแพ้สวอนซี ทีมที่ตกชั้นในซีซั่นนั้น และตกรอบเอฟเอคัพ
ฤดูกาล 2016-17 ลงเล่นทุกรายการ 9 นัดในเดือนมกราคม ชนะ 1 เสมอ 4 แพ้ 4
22) อย่างไรก็ตาม ถ้าถามความรู้สึกจริงๆ ของคนทั่วๆไป ก็บอกได้เลย แม้ลิเวอร์พูลจะเล่นไปแค่ 18 นัดว่า เกมจบแล้ว คือถ้าอยู่ภายใต้โค้ชคนอื่นที่ไม่มีประสบการณ์ลุ้นแชมป์ อาจมีเป๋ มีเสียทรง แต่เมื่ออยู่ในมือคล็อปป์ ที่มีจิตวิทยาการทำทีมอย่างดีที่สุด นึกไม่ออกเลยว่า ลิเวอร์พูลจะแพ้ติดๆกัน 3-4 นัดได้อย่างไร
แน่นอน เกมลูกหนังอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เปอร์เซ็นต์ที่ลิเวอร์พูลจะพลาดแชมป์ในปีนี้ บอกตรงๆว่า น้อยเหลือเกิน
#Liverpool
โฆษณา