เรื่องสั้นชุด "ชีวิตต่างแดน" ตอน "มาก ภูทับเบิก" โดย...ตุ๊กดุ๋ย เลิฟลี่...
มีนักเรียนไทยมากมายที่มาเรียนต่อที่อเมริกา
มาด้วยทุนส่วนตัว มาด้วยทุนจากประเทศตนเอง
หรือบางคนก็ได้ทุนจากมหาวิทยาลัยที่นี่
มหาวิทยาลัยระดับท็อปและมีชื่อเสียงของอเมริกานั้น
ส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยของเอกชน ดังนั้น ค่าเรียนก็จึงแพงแสนแพง คุณสมบัติที่จะเรียนได้ นอกจากเก่งแล้ว ก็ต้อง"รวย" ประมาณหนึ่งด้วยนะ
มาก ภูทับเบิก หนุ่มไทยหัวใจสากล ก็ดิ้นรนขวนขวาย จะไปเรียนที่อเมริกาให้ได้
เขาเกิดที่จังหวัดหนึ่งทางภาคกลางตอนบนของประเทศไทย
พ่อ-แม่ มีอาชีพรับราชการ ก็มีชีวิตอยู่ได้ตามอัตภาพ
แต่การที่จะส่งเรียนในมหาวิทยาลัยที่ต้องใช้เงินนับล้านบาทในแต่ละปีนั้น
คงจะเกินกำลังข้าราชการธรรมดาไปสักหน่อย
แต่...มาก ภูทับเบิก ก็ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง
เขาสอบได้ทุนมหาวิทยาลัยฮาเวิร์ด ให้เข้าเรียนในระดับปริญญาตรี ในสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer Science)
มาก ภูทับเบิก ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก
และด้วยความที่จังหวัดบ้านเกิดของเขาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย มีภูมิอากาศหนาวเย็นเหมือนเมืองนอก
เขาจึงได้รับออกซิเจน อากาศบริสุทธิ์ มากกว่าคนในเมืองใหญ่อื่น ๆ
ท้องฟ้าใส และปุยเมฆขาว ล่องลอยมาทักทายเขาในทุกๆ เช้าที่บ้าน
ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าไม่ทราบได้ ทำให้สมองของเขาไร้ไวรัส แต่กลับเต็มไปด้วยความคิดและจินตนาการ ที่จะไขว่คว้าหาความฝัน
สิ่งประดิษฐ์ในเกมคอมพิวเตอร์ที่เขาเล่น คือต้นน้ำแห่งจินตนาการของเขา
มาก ภูทับเบิก หมกมุ่นอยู่กับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยมีเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน และหมกมุ่นพอๆ กัน มาช่วยเติมความฝันให้แก่กันและกัน
โปรแกรมชุดแล้วชุดเล่า ได้ถูกปล่อยทดลองใช้ในหมู่นักศึกษา ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ปะปนกันไป
แต่กลุ่มของ มาก ภูทับเบิก และเพื่อน ไม่เคยหยุดพัฒนา
เขาเริ่มมีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักมากขึ้นในแวดวงนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกัน
จากนั้น ก็พยายามขยายไปยังมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในแถบฝั่งตะวันออก
สุดท้าย เขาสามารถขยายและเข้าถึงมหาวิทยาลัยเกือบทั่วประเทศ
การเรียนของ มาก ภูทับเบิก ในชั้นปีที่ 2 เริ่มตกลง
เนื่องจาก เขามุ่งมั่นในการพัฒนาโปรแกรมอย่างหนักหน่วง
เขาเห็นว่า ชีวิตต้องมาถึงทางแยกสักวัน และต้องเลือกอะไรสักอย่างแล้ว
เขาตัดสินใจที่จะทำตามความฝัน เขาหยุดเรียนที่มหาวิทยาลัย และย้ายไปอยู่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย
ระหว่างนี้เอง เขาได้รับข้อเสนอมากมายเพื่อซื้อโปรแกรมและไอเดียของเขา จากบริษัทยักษ์ใหญ่ของอเมริกา แต่เขาไม่สนใจ
เขาไม่เคยขายฝัน เพราะฝันนั้น เขาต้องทำมันเอง
สุดท้าย...เว็บไซต์ Feetbook.com ก็คลอดออกมา
แล้วจากนั้น Feetbook ก็กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
มาก ภูทับเบิก นำพา Feetbook ทะยานต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เขานำ Feetbook เปิด IPO (Initial Public Offering) ในตลาดหุ้น Nasdaq ในอเมริกา และสามารถระดมทุนได้ถึง 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
อา...คนมันจะดัง รั้งยังไงก็ไม่อยู่ !!
คนจะรวย...ก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ !!
มาก ภูทับเบิก ได้เป็นบุคคลแห่งปี และลงหน้าปกนิตยสาร Time อันโด่งดังของอเมริกา
ต่อมา...เขาก็ได้รับการยกย่องจากนิตยสารหลายฉบับ ให้เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก 100 อันดับ
ในระยะเวลาช่วง 5-6 ปี ของความสำเร็จอันมากมายมหาศาลของเขานี้
เขาไม่ได้กลับบ้านที่เมืองไทยเลย ไม่มีแม้แต่เวลาจะคิดถึงด้วยซ้ำ !!
พ่อ แม่ และน้องๆ ของเขา คงคิดถึงเขาไม่น้อย
แม้พวกเขาจะเห็นกันผ่านสารพัดโปรแกรมของ Feetbook ของเขาเอง
แต่ยังไงก็คงไม่เหมือนได้อยู่ใกล้กันแบบตัวเป็น ๆ
เขาสัญญาว่า ปีนี้เขาจะกลับบ้านที่เมืองไทยให้ได้
(จุดชมวิวผาหัวสิงห์ มุมลับๆ แห่งภูทับเบิก)
ในขณะที่ทางเมืองไทย
พ่อ-แม่วัยใกล้เกษียณราชการของเขา ก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ มิได้รู้สึกว่าตนเองต้องเปลี่ยนอะไรไปแต่อย่างใด
แต่ผู้คนในละแวกหมู่บ้านเล็กๆ นั้น ต่างโจษจันกันไปต่างๆ นานา ถึงความมีชื่อเสียงและความร่ำรวยของ มาก ภูทับเบิก
“หูย...ไอ้มาก ลูกครูแม้น มันดังใหญ่แล้ว มีชื่อเสียงระดับโลก แถมยังร่ำรวยมหาศาล”
ลุงอ่ำ ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยขึ้นในวงสนทนา
“นั่นน่ะสิ ฉันก็ดีใจกับมัน กับครูแม้น ครูสมรด้วย สมเป็นลูกครูลูกครรภ์จริงๆ เลย”
ทิดแหวงให้ความเห็นบ้าง
“ได้ข่าวว่าเรียนไม่จบนี่ !! ทำไมโด่งดัง ร่ำรวยได้ล่ะ?” เจ๊พิศ แม่ค้าขายของชำประจำหมู่บ้านพูดขึ้นอย่างสงสัย
“โอ๊ย...คนยุคสมัยนี้ เขาไม่ได้แคร์อะไรเท่าไหร่หรอกนังพิศเอ๊ย รู้จักคิด รู้จักทำมาหากิน
ก็ร่ำรวยได้ทั้งนั้นแหละ ว่าแต่ลูกแกเถอะ เป็นยังไงมั่งล่ะ? หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นกลับมาบ้าน”
ลุงอ่ำหันมาถามเจ๊พิศบ้าง
“ไอ้คนเล็กมันก็ทำงานอยู่ในเมืองนั่นแหละ คนโตก็อยู่กรุงเทพ ประกาศนียบัตรติดเต็มฝาบ้าน แต่ยังผ่อนรถ ผ่อนไอโฟนอยู่เลย เงินก็ไม่ค่อยจะพอใช้ ว่ากันเดือนชนเดือน ลำบากฉันต้องโอนไปให้อยู่บ่อย ๆ” เจ๊พิศทั้งตอบ ทั้งบ่นไปพร้อมกัน
“เอาน่า..เจ๊พิศ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเองแหละ เข้าพรรษาหน้าคงได้บวชลูกสักคนนะ” ทิดแหวง สมาชิก อบต. พูดให้กำลังใจ
“ฉันก็หวังไว้อย่างนั้นแหละ ทิดแหวง” เจ๊พิศพูด พร้อมขอตัวออกจากวงสนทนาไป
ส่วนครูแม้น และครูสมร พ่อและแม่ของ มาก ภูทับเบิกนั้น
แม้จะรับราชการครูทั้งสองคน แต่ก็เป็นโรงเรียนในชนบท
วัฒนธรรมและวิถีชีวิต ก็ไม่ได้ต่างไปจากผู้คนอื่นๆ นัก
ยังไงก็คือวิถีไทย และวิถีชาวพุทธอย่างที่เคยเป็นมา
มาก ภูทับเบิก เดินทางถึงเมืองไทยอย่างเงียบ ๆ ด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของเขา
พ่อ-แม่ และน้องสาว 2 คน ของเขารออยูที่บ้าน
ทุกคนดีใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อพบหน้ากัน
หลังจากชื่นชมโสมนัสซึ่งกันและกันไปพอสมควร
มาก ภูทับเบิก ขอตัวเดินมาที่ระเบียงบ้านมุมเดิม มุมที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ อุณหภูมิที่ดูร้อนขึ้นกว่าแต่ก่อน
จากภาวะมลพิษที่มนุษย์ทั่วโลกร่วมกันสร้างขึ้น
มันส่งผลกระทบไปทุกแห่ง ทุกพื้นที่จริง ๆ
เขาคิดโครงการที่จะใช้ Feetbook ของเขาเป็นสื่อกลางที่จะรณรงค์และทำงานวิจัยต่างๆ เพื่อลดภาวะโลกร้อนในอนาคตด้วย
เขาเป็นคนไทยก็จริง แต่เขาจะไม่รับวัฒนธรรมมหาเศรษฐีบางคนของไทย ที่ไม่เคยเห็นหัวคนจน และไม่เคยตั้งมูลนิธิเพื่อสาธารณประโยชน์แม้แต่องค์กรเดียว !!
เขาสัญญากับตัวเองว่า เขาจะไม่เป็นคนอย่างนั้นแน่ ๆ
ขอเวลาอีกสักนิดเถอะ !!
ตอนนี้ เขากำลังวุ่นวายในการชี้แจงต่อสภาคองเกรสของอเมริกา เรื่องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ Feetbook ที่รั่วไหลออกไป ทำให้กลุ่มหนึ่งได้ประโยชน์ แต่อีกกลุ่มหนึ่งเสียประโยชน์
บางครั้ง เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
คือมีได้ มันก็ต้องมีเสีย ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน?
หรือมันจะมีเจ๊า แบบทางภาคเหนือของประเทศเรา เขาก็ไม่แน่ใจนัก !!
อาหารเย็นวันนี้ แม่เตรียมของโปรดไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะ
ขนมจีนหล่มเก่า ทั้งน้ำยากะทิ และน้ำยาป่า
ขนมจีนสีเหลืองและสีม่วง ที่ทำจากฟักทองและดอกอัญชัน
พร้อมไก่ย่างวิเชียรบุรี ที่ย่างจนหนังกรอบ แต่เนื้อในนุ่ม และแห้ง หอมฉุยด้วยเครื่องเทศอย่างกระเทียม พริกไทย
มาก ภูทับเบิก สำเริงสำราญกับดินเนอร์มื้อแรกในบ้านเกิดอย่างเอร็ดอร่อย
เกือบ 10 ปีที่ผ่านมาในอเมริกา แม้จะมีเมนูไก่เยอะแยะไปหมด แต่ก็เป็นไก่ที่อยู่ใน KFC, McDonald’s, Popeye อะไรพวกนั้น
มันไม่ถึงที่สุดของคำว่าอร่อย ในแบบไทยแลนด์แดนบ้านเกิดของเขา
ยิ่งขนมจีน ก็ยิ่งแล้วใหญ่
มันไม่มีในห้างอย่าง Walmart หรือร้านอาหารทั่วๆ ไป เขาเคยเห็นมันในร้านขายของชำของคนจีน และของคนเวียดนามบ้าง
แต่เขาก็ไม่ได้ซื้อมาหรอก เพราะมีแต่ขนมจีน
เขาจะหาน้ำยาอร่อยๆ ได้จากที่ไหนกัน เขายอมอดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่า
เพราะคิดว่าสักวัน เขาก็ได้กลับบ้านไปกินแน่ ๆ
เขานั่งปล่อยอารมณ์เพลินๆ ที่ระเบียงโปรดหลังอาหารอีกครั้ง
ครูสมร แม่ของเขา เดินมาสมทบ พร้อมกับความหวังบางอย่าง
“นั่งสิครับแม่” มาก ภูทับเบิก เอ่ยขึ้นเป็นภาษาไทย !!
 
“จ้ะ ลูก” ครูสมรขยับมานั่งข้างๆ ลูก สูดลมหายใจเข้าปอดอึกใหญ่ แล้วก็พูดกับลูกอีกครั้ง
“มาก...ปีนี้ลูกก็อายุ 34 แล้ว แม่ว่า....” ครูสมรเว้นช่วงพูด เพราะรู้สึกลมหายใจติดขัด มาก ภูทับเบิก ต้องหันมาเพ่งมองหน้าแม่ของเขาอย่างจริงจังขึ้น
“อะไรหรือครับ แม่”
“ลูกบวชให้แม่ได้มั๊ย..ลูก” ครูสมรรวบรวมความกล้าและความรู้สึกทั้งหมดที่มีบอกลูกไป
ในใจนั้นรู้ว่า คงจะถูกปฏิเสธจากลูก เนื่องด้วยความเป็นเซเลบคนดัง และเหมือนเป็นคนสาธารณะของโลกไปแล้ว ไม่อาจจะทำเรื่องอย่างนี้ได้สะดวกนัก เพราะเวลาสำหรับบุคคลระดับนี้ มีค่ามหาศาลเหลือเกิน
มาก ภูทับเบิก มองเข้าไปในสายตาอันอ้อนวอนและอ่อนโยนของแม่ตัวเอง ขณะเดียวกัน ก็มองผ่านระเบียงฝ่าความมืดออกไปยังด้านนอก ดาวระยิบระยับส่องแสงอยู่ไกลๆ เต็มท้องฟ้า
ลมเย็นวูบมาเป็นระยะ ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ต่างจากอากาศในเมืองที่เขาอยู่ที่อเมริกามากนัก
“แม่ครับ เราเอาเรื่องนี้ไว้ก่อนได้มั๊ย ผมยังมีความยุ่งยากเกี่ยวกับงานอยู่หลายอย่างมาก ยังไม่สามารถจะทำตามแม่ขอได้ ต้องรอไปก่อนนะครับแม่”
แม้จะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ด้วยความเป็นแม่ ก็อดที่จะผิดหวังไม่ได้
ความหวังของแม่ ความหวังของผู้คนรอบข้าง ความหวังของวัฒนธรรมและศาสนา
กอบเกี่ยวเป็นความหวังทั้งมวลของแม่ ที่ชื่อครูสมรคนนี้ !!
และไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อไป มาก ภูทับเบิก กุมมือแม่ของเขาอย่างนุ่มนวล แล้วก็พูดขึ้น
“ไทเกอร์ วู้ดส์ เขาอายุ 40 กว่าแล้ว เขาก็ยังไม่ได้บวชเลยนะ แม่อย่าซีเรียสเลยนะครับ”
“ไทเกอร์ เขาเป็นลูกครึ่งนะ แต่ลูกน่ะ..เป็นลูกเต็มๆ แม่หมายถึงไทยแท้ๆ ไม่มีครึ่งมีกลาง”
ครูสมรโต้ลูกชาย เหมือนมีช่องทางที่จะชนะได้บ้าง
“จะลูกครึ่ง ครึ่งลูก หรือครึ่งควบลูก ก็ต้องรอก่อนนะครับแม่ แล้วผมจะพิจารณาให้ดีที่สุดเพื่อแม่ครับ”
ครูสมรแม้จะรู้ตัวว่าพ่ายแพ้ แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ลึกๆ กับประโยคสุดท้ายของลูก
ครูสมรเดินทางมาครึ่งหนึ่งของความต้องการแล้ว และอีกครึ่งหนึ่งจะรีรออยู่ทำไม? ไหนๆ ก็จะไหนๆ แล้ว ไอ้ครั้นจะรอครูแม้นผู้เป็นสามี ก็ไม่ได้จริงจัง หวังพึ่งอะไรไม่ได้ พอยกเรื่องนี้มาพูดทีไร ก็ทำเฉยเสียทุกทีไป
เอาละ...เป็นไงเป็นกัน ลุยกันให้มันเสร็จสิ้นในวันนี้เลย
เฮ้อ...การเป็นแม่ของเซเลบคนดัง มันยุ่งยากอย่างนี้นี่เอง !!
“มาก..” ครูสมรพูดแล้ว ก็ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่เหมือนเคย
“ครับแม่...มีอะไรหรือ?”
“ลูกเรียนให้จบปริญญาตรี ให้ได้ใบปริญญา ให้แม่ได้ภาคภูมิใจเหมือนชาวบ้านเขาหน่อยได้มั๊ยลูก แม่ไม่เคยขออะไรลูกเลยนะ แต่ครั้งนี้แม่ขอ และแม่ก็ขอลูกแค่นี้แหละ !!”
ครูสมรคิดว่า น่าจะเป็นประโยคที่ยาวที่สุดแล้ว ตั้งแต่เคยพูดกับลูกมา
มาก ภูทับเบิก นิ่งอึ้ง !! พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองหน้าผู้เป็นแม่ตัวเองแบบงง ๆ
ครูแม้น...ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่สองแม่ลูกคุยกัน
ด้วยจรยุทธ์การซ่อนตัว ที่มีทักษะติดตัวมาตั้งแต่ยุคคอมมิวนิสต์ยังยึดภูหินร่องกล้า
ครูแม้นเดินมาปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งสอง แล้วก็พูดในสิ่งที่คิดว่ายุติธรรมและถูกต้อง
ที่สุดแล้ว
“แม่สมร...ตั้งแต่ฉันกับแม่สมรแต่งงานอยู่กินกันมา นี่ก็เกือบจะ 40 ปีแล้ว ฉันไม่เคยขอ
อะไรแม่สมรเลยนะ” ครูแม้นหยุดพักหายใจชั่วครู่
มาก ภูทับเบิก หันมามองหน้าพ่อตัวเองด้วยอาการแปลกใจเล็ก ๆ
“แม่สมร ไปหาหมอกับฉันนะ ฉันจะพาไปเอง”
สิ้นเสียงครูแม้น ครูสมรทำหน้าผิดหวังอย่างแรง แล้วก็เป็นลมล้มพับคาเก้าอี้หวายตรงนั้น !!
มาก ภูทับเบิก แอบอมยิ้มส่งให้พ่อและดาวบนท้องฟ้า แล้วก็โหวกเหวกเรียกน้อง 2 คนให้ช่วยเอายาดมมาดูแลแม่ที !!
“Hey..Mike..Mike....wake up !! it’s breakfast time.”
เสียงเอลเกนโญปลุกให้ผมตื่น
พร้อมเขย่าตัวซ้ำ ๆ บอกว่าได้เวลาอาหารเช้าแล้ว !!
อืม...เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมตื่นสายจนเกือบจะเลยเวลาอาหาร
พอสักครู่ ตั้งสติได้ ผมจึงรู้ว่า ผมฝันไป !!
ผมฝันไปจริงๆ เหรอวะเนี่ย !!
ทำไมมันดูเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้นวะ !!
หรือผมจะคิดถึงบ้านมาก ก็เลยเก็บไปคิด ไปเพ้อ จนฝันแบบนี้
ผมพยายามนึกทบทวนรายละเอียดเท่าที่จะนึกได้
ผมแอบยิ้มนิดๆ ให้กับความฝันของตัวเองเหมือนกัน
ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาได้สักวันล่ะก้อ...!!
เด็กไทยคนนั้น คงยิ่งใหญ่และกลายเป็นคนดังระดับโลก
แม้แต่มนุษย์พันธุ์ฝรั่งยังต้องโค้งคารวะให้ !!
แต่ยังไง ก็อย่าลืมตระเตรียมยาสามัญประจำบ้านไว้บ้างก็แล้วกัน เผื่อจะได้ช่วยปฐมพยาบาลกันได้ทันท่วงที !!
@@@@@@@@@@
โปรดติดตามตอนต่อไป (ตอนสุดท้าย) ; "Goodbye...Adios...ลาก่อน(เด้อ)"
โฆษณา