30 ธ.ค. 2019 เวลา 03:22 • ไลฟ์สไตล์
ศึกชิงภพ
“พวกเรานั่งสมาธิกันสัก 15 นาที นะ ช่วยกันให้พลังใจพี่เขาหน่อย”
ผู้เขียน บอกกับญาติและพี่น้องวงบุญ ของนักบุญท่านหนึ่ง ที่กำลังจะสิ้นลมเพราะโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ในห้อง 506 ตึก 72 ปีฯ โรงพยาบาลศิริราช
“เรามีความตายเป็นธรรมดา ยังล่วงพ้นความตายไปไม่ได้” คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ชาวพุทธทุกคนได้ยินได้ฟังกันจนคุ้นหู
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ชาวพุทธเป็นส่วนมาก ยังไม่ได้ศึกษาก็คือ การตายให้ถูกหลักวิชานั้น ต้องทำอย่างไร เพราะเราไม่ได้ตายแล้วสูญ ยังมีชีวิตหลังความตายอีก
ชีวิตหลังความตาย ไม่มีการทำมาหากิน อยู่ได้ด้วยกำลังบุญ กับ บาป ที่เราสั่งสมมาในขณะที่มีชีวิตอยู่
หากบุญมากกว่าบาป ก็ไปภพภูมิที่มีความสุขยาวนาน ท่านเรียกภพภูมินี้ว่า “สุคติ” ซึ่งเรามักได้ยินบ่อยๆ เวลาพูดกับคนตายก็จะบอกว่า ขอให้ไป “สุคติ” เถอะนะ..
หากบาปมากกว่าบุญ ก็ไปภพภูมิที่มีความทุกข์ยาวนาน ท่านเรียกภพภูมินี้ว่า “ทุคติ” ซึ่งเชื่อว่า หลายคนคงไม่เคยได้ยินคำนี้ และเป็นเพราะว่าไม่มีใครอยากไป และไม่อยากให้คนที่เรารักไป จึงไม่พูดกัน
นอกจากกำลังบุญหรือบาปที่สั่งสมมมา จะเป็นตัวกำหนดภพภูมิหลังความตายแล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ “จิต” ตอนใกล้ตาย
ขอนำพุทธพจน์ มากล่าวไว้ในที่นี้สักหน่อย
จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคะติ ปาฏิกังขา
คำแปล เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันต้องหวัง
ความหมาย เมื่อจิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป
จิตเต อะสังกิลิฏเฐ สุคะติ ปาฏิกังขา
คำแปล เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้
ความหมาย เมื่อจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป
เมื่อใกล้ตาย ภาพที่เราทำมาตั้งแต่สมัยยังมีชีวิตอยู่ จะฉายกลับมาให้เราเห็นทั้งหมด บางเรื่องที่เราคิดว่าเราลืมไปแล้ว จะจดจำขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง เหมือนย้อนกลับไปดูหนัง แต่เป็นหนังที่มีเราเป็นคนแสดง เป็นทั้งพระเอก เป็นทั้งผู้ร้าย เป็นทั้งตัวประกอบ ในคนคนเดียวกัน และเห็นอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็นด้วย
ถ้าภาพนั้น เป็นภาพที่เราทำบุญ มากกว่า บาป ใจจะผ่องใส
ถ้าภาพนั้น เป็นภาพที่เราทำบาป มากกว่า บุญ ใจจะเศร้าหมอง ทุกข์ทรมานมาก
ถ้าใครนึกไม่ออกว่าทุกข์ทรมานอย่างไร ผู้เขียนมีวิธีให้ทดลองทำนะ คือ ให้นั่งหลับตานิ่งๆ สัก 15 นาที แล้วทดลองทำใจให้สงบ ทำได้ไหม เชื่อว่า ถ้าไม่ได้รับการฝึกมา จะทำไม่ได้หรอก จะมีเรื่องราวต่างๆ ผุดขึ้นมามากมาย จนเรารำคาญ เลิกนั่งไปทำอย่างอื่น (คนส่วนใหญ่ที่ไม่ชอบฝึกสมาธิ ก็เพราะเหตุนี้)
ตอนนี้เรายังแข็งแรง เมื่อมีความคิดฟุ้งซ่านขึ้นมา เรายังไปทำอย่างอื่นแทนได้ แต่ให้นึกถึงตอนที่เราอยู่บนเตียงคนป่วย มันทำกิจกรรมอะไรอย่างที่เคยทำไม่ได้ แล้วมันก็ไม่สามารถจะหักห้ามความคิดให้มันสงบได้ด้วย มันจะทุกข์ทรมานขนาดไหน
ดังนั้น
คนที่ทำบุญมา มากว่าบาป เวลาใกล้ตาย โอกาสที่จิตจะผ่องใส จึงมีมากกว่า
คนที่ทำบาปมา มากกว่าบุญ เวลาใกล้ตาย โอกาสที่จิตจะเศร้าหมอง จึงมีมากกว่า
แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะบุญกับบาป ชิงช่วง ช่วงชิง กัน แม้ทำบุญมามาก แต่พอถึงตอนถอดกาย หรือ วิญญานออกจากร่างที่เราเข้าใจกัน เราเกิดเห็นภาพที่เราทำบาปตอนนั้นพอดี ก็ไปทุคติเหมือนกัน (แต่ไปอยู่ไม่นาน)
หรือ ทำบาป มามาก แต่พอถึงตอนถอดกาย เราเกิดเห็นภาพที่เราทำบุญตอนนั้นพอดี ก็ไปสุคติเหมือนกัน (แต่ก็ไปอยู่ไม่นานเหมือนกัน)
ภาวะตอนนี้แหละ ท่านเรียกว่า “ศึกชิงภพ”
คือการช่วงชิงกัน ระหว่างบุญกับบาป บุญชนะ ก็ไป “สุคติ” หาก บาปชนะ ก็ไป “ทุคติ”
เพราะฉะนั้น จึงต้องมีคนคอยช่วยอยู่ข้างๆ เตียง คือ หมั่นเตือนให้ระลึกนึกถึงบุญอยู่เรื่อยๆ เพื่อที่บาป จะไม่ได้ช่อง เพราะจิตคนเรากวัดแกว่งง่าย เดี๋ยวก็คิดดี เดี๋ยวก็คิดไม่ดี
บางครั้ง แม้มีคนคอยช่วยเตือนสติอยู่ข้างเตียงแล้ว ก็ยังไม่พอ เพราะร่างกายมันเจ็บปวดมาก พอเจ็บปวด มันก็กระสับกระส่าย ทุรนทุราย จิตก็กวัดแกว่งไม่สงบ เหมือนกับผู้ป่วยที่ผู้เขียนมาเยี่ยมอยู่ตอนนี้
แม้ขณะยังมีชีวิตอยู่จะสั่งสมบุญมามาก แต่ด้วยความที่เน้นเรื่อง การทำทาน กับการรักษาศีล และ การชักชวนคนทำความดีเป็นหลัก จึงไม่ค่อยได้สั่งสมเรื่องการฝึกจิต คือ ทำสมาธิภาวนา สักเท่าไหร่ กำลังจิตจึงไม่มากพอที่จะทำให้ตัวเองสงบระงับได้ แม้มีคนอยู่ข้างเตียง ก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง
แล้วจะทำอย่างไร...
ก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้เขียน ที่ต้องใช้กำลังสมาธิของตัวเอง ที่ฝึกมา 30 ปี ช่วยอีกแรง และเพื่อความมั่นใจ จึงขอกำลังสมาธิจากหมู่ญาติ และ พี่น้องวงบุญ มาช่วยเสริมด้วย
ทั้งผู้เขียน และ 10 กว่าคนที่อยู่ในห้อง เมื่อได้ยินผู้เขียนชักชวนให้นั่งสมาธิ ที่มีโซฟาเก้าอี้นั่ง ก็นั่งบนเก้าอี้โซฟาไป ที่ไม่มีเก้าอี้ ก็นั่งขัดสมาธิบนพื้นนั่นแหละ
ด้วยวิธีการนึกถึงภาพของผู้ป่วยมาไว้ที่ศูนย์กลางกาย เพียงเท่านี้ ก็จะเกิดการแบ่งปันบุญ จากผู้ทำสมาธิ ถึง ผู้ป่วย เหมือนจากแบตเตอรี่หลายๆ ลูก ไปยังแบตเตอรี่ลูกเดียว กำลังบุญนี้ก็จะทำให้จิตของผู้ป่วย มีพลังที่เข้มแข็งขึ้น และยังช่วยกันปิดกั้นบาป เปิดช่องบุญให้ผู้ป่วยด้วย
พวกเรานั่งกัน 15 นาที ก็ขอตัวกลับ
ก่อนกลับ ผู้เขียนก็ไปบอกลาผู้ป่วย ว่ากลับก่อนนะ ให้นึกถึงบุญเอาไว้ ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์นะ เพราะก่อนหน้านี้ผู้ป่วยไม่มีสติรับรู้อะไรเลย แต่พอผู้เขียนบอกว่าจะกลับ ก็กลับมีสติขึ้นมาพยักรับแรงๆ (พูดไม่ได้แล้ว) รับรู้ข้อความที่ผู้เขียนสื่อสารออกไป
ก่อนจะออกจากโรงพยาบาล ศิริราช ก็ถ่ายรูปที่หน้าลานพระรูปไว้เป็นที่ระลึกว่า วันหนึ่งเราได้เคยมาทำสมาธิแบ่งปันบุญให้กับผู้ป่วยที่ใกล้จะสิ้นลม ณ ที่นี้
กลับมาถึงที่พัก ก็บอกตัวเองว่า แม้แต่เราก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน หลังจากทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ ก็นั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง แล้วจึงค่อยพักผ่อน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา