2 ม.ค. 2020 เวลา 12:15 • ข่าว
รู้จัก "Greta Thunberg (เกรต้า ธันเบิร์ก)" ตัวแทนคนรุ่นใหม่กับปัญหาสิ่งแวดล้อม
คำพูดของเด็กสาว........ที่อยากให้คุณได้ฟัง
เรื่องราวของเด็กสาวที่ต่อสู้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้น และยังไม่เห็นวี่แววทางแก้ไข ผมอยากให้ทุกคนได้อ่าน และสัมผัสความรู้สึกผ่านคำพูดที่เด็กคนนี้ส่งออกมา.....
ที่มา : https://time.com/
Greta thunberg สาวน้อยสวีเดนวัย 16 ปี ผู้ถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2019 และเธอถูกยกให้เป็น Person of the Year 2019 ของนิตยสารชื่อดังอย่าง TIME
Greta thunberg เกิดเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2546 เป็นนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยลักษณะการพูดอย่างตรงไปตรงมา ทั้งในที่สาธารณะและต่อหน้าผู้นำทางการเมือง ทำให้เธอเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว
# ทำไมเธอถูกยกให้เป็น Person of the Year 2019
เธอมีความสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศตั้งอายุเพียง 9 ปี
ปัญหาภาวะโลกร้อนถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีใครเดือดร้อน
ในช่วงแรกเธอพยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยการเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัวเธอ ด้วยการปลูกผักกินเอง ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อลดการใช้พลังงาน
และประกาศว่าจะไม่ขึ้นเครื่องบินอีกเลย เพราะไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำโลกร้อนขึ้น
เธอจึงเริ่มศึกษาปัญหาโลกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ยิ่งเธอศึกษาไปเรื่อยๆก็พบว่าปัญหานี้เป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน และไม่ได้รับการแก้ไขเสียที เธอได้เรียนรู้อย่างหนึ่งว่า "อุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้สิ่งมีชีวิตมากอย่าง กำลังล้มตายไปในตายละวัน"
ที่มา : https://www.bbc.com/news/world-europe-49918719
ในวันที่ 20 สิงหาคมเธอตัดสินใจไม่เข้าเรียน และนั่งอยู่ด้านหน้ารัฐสภาสวีเดน พร้อมแผ่นป้ายที่เขียนว่า " ไม่ไปเรียนเพื่อประท้วงโลกร้อน " พร้อมทั้งทำใบปลิวแจกแก่ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา
ในช่วงแรกไม่มีใครให้ความสนใจเธอนัก แต่ต่อมาเริ่มมีนักเรียนมาร่วมประท้วงกับเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเธอหยุดเรียนไปเป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ติดต่อกัน
มีผู้ใหญ่บางคนถามว่า ทำไมไม่เอาเวลาที่มาประท้วง ไปเรียนหนังสือเพื่อเป็นนักวิทยาศาสตร์ แล้วกลับมาแก้ไขปัญหา เธอตอบกลับไปว่า.....
"ทำไมต้องไปโรงเรียนอีก ในเมื่อไม่มีใครสนใจฟังเรื่องโลกร้อน นักวิทยาศาสตร์ต่างเสนอวิธีมากมาย เพื่อช่วยโลก แต่ไม่มีใครฟัง ไม่เคยสนใจ แล้วทำไมฉันต้องไปเรียนเพื่อเป็นนักวิทยาศาสตร์ล่ะ?"
หลังจากจบ 3 สัปดาห์แรกเธอตัดสินใจกลับไปเรียน แต่ยังคงทำการประท้วง เพียงแต่ลดวันลงเหลือเพียงวันศุกร์ จนเกิดเป็นแฮชแท็ก
#Fridayforfuture (วันศุกร์เพื่ออนาคต)
https://sdgyoungvoices.org/explority-joins-friday-for-future-demonstration-and-greta-thunberg-in-berlin
ต่อมาเดือนกันยายน ปี 2019 ที่ผ่านมา มีการประชุมระดับผู้นำโลก เรื่อง สภาวะอากาศ ( UN Climate Action Summit ) ที่สำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติในนิวยอร์ก เกรต้าได้ถูกเชิญให้ไปพูดในงาน แต่เธอมีจุดยืนที่จะไม่ขึ้นเครื่องบินดังที่ตั้งใจไว้ เพราะเครื่องบินปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่งผลให้โลกร้อน เธอจึงตัดสินใจล่องเรือจากยุโรป มาที่นิวยอร์ก เพื่อให้การเดินทางของเธอมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ที่มา : https://www.nytimes.com/
เกรต้า ออกเดินทางจากเมืองพลีมัธ ประเทศ อังกฤษ ในวันที่ 15 สิงหา 2019 การล่องเรือกินเวลานานกว่า 14 วัน ข้ามผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก โดยเรือที่เธอใช้เป็นเรือที่สามารถผลิตไฟฟ้าเองได้ด้วยแผงโซลาเซลล์ และมีกังหันปั่นไฟใต้น้ำเพื่อให้ความสว่างในตอนกลางคืน
การประชุม UN Climate Action Summit เปิดฉากขึ้นในวันที่ 23 กันยา เธอได้พูดและตั้งคำถามกับผู้นำโลก ทั้งถามถึงจิตสำนึกในฐานะของพลเมืองโลกอีกครั้งแก่ผู้นำ ที่มัวแต่สนใจตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจและละเลยการแก้ปัญหาโลกร้อน จนทำให้เธอต้องมาอยู่ตรงนี้....
.............สุนทรพจน์บนเวทีโลก.............
ทุกอย่างมันผิดไปหมด.... หนูไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้! หนูควรจะได้กลับไปเรียนหนังสืออีกฟากของมหาสมุทรที่โรงเรียนของหนู แต่คุณกลับฝากความหวังไว้กับพวกเรา พวกคุณกล้าดีอย่างไร .... ขโมยความฝันและชีวิตวัยเด็กของพวกเราไป ผู้คนกำลังทุกข์ ผู้คนกำลังล้มตาย โลกของเรากำลังจะพังพินาศ ระบบนิเวศเริ่มพังทลาย เรากำลังเข้าสู่จุดเริ่มต้นของการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด แต่พวกคุณกลับพูดถึงแต่เรื่องเงินทอง การเติบโตของเศรษฐกิจที่ไม่มีวันสิ้นสุด พวกคุณกล้าดีอย่างไร!!!
1
ที่มา : https://www.cnbc.com/
เป็นเวลากว่า 30 ปีที่งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทุกอย่างชี้ชัดออกมาแล้ว แต่พวกคุณกลับทำเป็นมองไม่เห็น พูดถึงแต่เรื่องการเงินการเมือง และบอกกับพวกเราว่าคุณพยายามเต็มที่แล้ว ทั้งที่นโนบายไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนไป
คุณบอกว่าคุณเข้าใจและรู้ถึงความเร่งด่วน แต่ไม่ว่าหนูจะโกรธหรือเศร้าแค่ไหน ถ้าคุณเข้าใจถึงสถานการณ์จริง แต่ยังล้มเหลวในการลงมือทำ คุณก็ไม่ต่างอะไรกับคนชั่วคนนึง และฉันขอปฎิเสธที่จะเชื่อคุณ
1
ความคิดที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครี่งนึงใน 10 ปี จะทำให้เราโอกาสแค่ 50 % เท่านั้นที่จะช่วยควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส และป้องกันความเสี่ยงในการเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่มนุษย์ไม่อาจควบคุมได้
50% เป็นตัวเลขที่คุณยอมรับและคิดว่ามันโอเค แต่ตัวเลขนี้ยังไม่ครอบคลุมจุดหักเห (Tipping point )* และภาวะโลกร้อนแฝงที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ พวกคุณทิ้งภาระให้กลับคุณรุ่นหลังในการจัดการ "คาร์บอนไดออกไซต์ " ทั้งที่ตอนนี้เราแทบไม่มีเทคโนโลยีได้ที่จะทำแบบนั้นได้เลย
1
ดังนั้น 50% จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้กับสิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญอยู่
*** Tipping point หมายถึง จุดเปลี่ยนในทางสิ่งแวดล้อมเป็นจุดที่ใช้เป็นเกณฑ์กำหนดว่า หากเกินกว่าเกณฑ์จะนำไปสู่จะการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ และสร้างผลกระทบได้ หากเปรียบกับมนุษย์เรามีอุณหภูมิร่างกายเฉลี่ยอยู่ที่ 37.5 องศา หากอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นเกินกว่าจุดนั้นจะทำให้เรารู้สึกไม่สบาย
อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกในปี 2019
# สีแดงบอกถึงอุณหภูมิสูง
# สีน้ำเงินบอกถึงอุณหภูมิต่ำ
ที่มา : https://www.ncdc.noaa.gov/
โอกาสในตอนนี้มีเพียง 67% ที่จะทำให้อุณหภูมิผิวโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
จากข้อมูลของ IPCC intergovernmental Panel on Climate Change (คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ)
เราสามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ขึ้นสู่บรรยากาศได้เพียงอีก 420 พันล้านตัน จนถึงวันที่ 1 มกราคม 2018 ตัวเลขกำลังลดลงเหลือเพียง 350 พันล้านตัน
คุณบอกว่าปัญหาขนาดนี้สามารถแก้ไขได้ โดยให้เราใช้ชีวิตไปตามปกติ และใช้เทคโนโลยีนิดหน่อย ถ้าหากยังทำตัวแบบนี้ Carbon budget
(ปริมาณคาร์บอนไดออกไซต์ที่ยังปล่อยสู่บรรยากาศได้)
ที่เรามีเหลืออยู่จะหมดลงไปภายในเวลา 8 ปีครึ่ง แต่ก็ยังไม่แผนหรือวิธีการใดที่จะสอดคล้องกับตัวเลขนี้
ตัวเลขเหล่านี้น่ากลัวมาก และพวกคุณก็ยังไม่โตพอที่จะยอมรับความจริง คุณทำให้เราผิดหวัง พวกเราคนรุ่นใหม่มองดูคุณอยู่ ถ้าคุณยังล้มเหลวอีก เราจะไม่มีวันให้อภัยพวกคุณ และเราจะไม่ยอมให้พวกคุณรอดตัวไปได้อีก ตอนนี้ทุกคนในโลกจะต้องรู้ความจริง และต้องมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม
เด็กสาววัยเพียง 16 ปี ที่ออกมาต่อสู้กับปัญหาภาวะโลกร้อน เธอเป็นเพียงตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่กล้าจะออกมาพูดถึงปัญหานี้ ตลอดเวลาที่ผ่านโลกถูกละเลยโดยผู้นำส่วนใหญ่ มาตรฐานของความดี ความจริง ของสังคมมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ที่ไหน
ณ ตอนนี้เราคงปฎิเสธไม่ได้ว่าโลกคือบ้านหลังเดียวที่เรามีอยู่ตอนนี้ ขนาดบ้านที่เราอยู่นานไปก็ยังเสื่อมโทรมตามการใช้งาน โลกก็เช่นกันอาจถึงเวลาที่เราต้องลุกขึ้นมาช่วยกันซ่อมแซมบ้านหลังนี้กันแล้ว
แม้แต่อากาศที่เราเคยสูดได้อย่างเต็มปอด แต่ตอนนี้อากาศที่หายใจก็ยังเป็นพิษ น้ำฝนที่เคยกินได้เมื่อสมัยเด็ก ตอนนี้กลับมีค่าความเป็นกรดที่เพิ่มขึ้น ลองคิดดูว่าปัจจุบันเรายังเจอปัญหากันมากมายขนาดนี้ แล้วคนรุ่นต่อไปต้องเจอกับอะไรบ้าง
ทุกคนอาจไม่ได้มีพลังที่จะทำอย่างสาวน้อยคนนี้ แต่เราสามารถเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัวเราก่อนได้ครับ ตั้งแต่การกินข้าวให้หมด ไม่ตักมาเกินความจำเป็น
ปฎิเสธการใช้ถุงพลาสติกและหันมาใช้ถุงผ้าแทน หรือใช้ถุงเดียวแต่ใส่ของรวมๆกันก็ได้ครับ พกแก้วน้ำพกขวดน้ำ
หรือแม้แต่การออกไปวิ่งในสวนสาธารณะก็ช่วยได้นะครับ เพราะถ้าเราออกไปวิ่งไปเดินเราก็จะไม่ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่อยู่กับห้องไม่เสียค่าไฟ ประหยัดพลังงานแถมได้สุขภาพกายสุขภาพจิต และยังมีอีกมากมาย
.......ทำไมต้องกินข้าวให้หมด ?
เรา..... กำลังทำอะไรกันอยู่ในปัจจุบัน ณ ตอนนี้ เวลานี้
คุณอยากให้โลกนี้ออกมาเป็นแบบไหนกันครับ ถึงเวลาหรือยังที่เราจะหันกลับมามองสิ่งแวดล้อมหรือยัง ไม่ใช่เพื่อใครเเต่เพื่อตัวเองก่อนก็ได้ครับ
"โลกสวยด้วยมือเรา" และก็เช่นกัน "โลกกำลังพังทลายก็เพราะเรา"
สละเวลาเพียง 3 นาทีเพื่อดูคลิปนี้......
#natruenow
Jane Goodall นักชีววิทยาชื่อดังกล่าวไว้........
"เป็นไปได้อย่างไรที่สิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาดที่สุดที่เคยปรากฏขึ้นมาบนโลก กลับกำลังทำลายบ้านหลังสุดท้ายของตัวเอง”
: ขออภัยหากแปลผิดพลาดประการใด มือใหม่หัดแปล
📌หากชอบฝาก กดไลค์ กดแชร์ และอย่าลืมกดติดตามด้วยนะครับ 🙏
เรื่องราวสิ่งแวดล้อมที่อยากให้คุณได้รู้ และช่วยกันรักษาเพราะนี้คือ "บ้านของเรา"🌏🌏
# ร่วมกันส่งเสียงให้กับโลก
โฆษณา