1 ม.ค. 2020 เวลา 01:54 • ความคิดเห็น
#2019มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
อีกไม่กี่วันก็จะหมดปีแล้ว ถือโอกาสนั่งทบทวนตัวเองตลอดทั้งปีที่ผ่านมาซะหน่อย เริ่มจากตั้งคำถามดูว่า ปีนี้ตัวเองมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง แล้วก็เจอคำตอบที่น่าสนใจอยู่ เลยอยากถอดความคิดออกมาดูครับ
◼โลกเปลี่ยน
VUCA World คำเท่ห์ๆ ที่แทบจะฝังอยู่ในหัวผมตลอดทั้งปี ผ่านไปทางไหนก็เจอ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างไม่มีทางเลือกว่า เราอยู่ในโลกที่มันไม่มีอะไรแน่นอน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งนั่นหมายความว่า หลายครั้งที่ชุดความรู้ ทักษะ และแนวคิดแบบเดิมที่มันเคยเวิร์ค ตอนนี้มันกลับใช้ไม่ได้กับโลกยุคนี้อีกแล้ว แม้แต่บทบาทความเป็นพ่อแม่ แนวทางการเลี้ยงลูกแบบเดิม ยังแทบใช้ไม่ได้กับเด็กในยุคที่เกิดมาก็มีเฟสบุคเป็นของตัวเองแล้ว
◼What got you here, wont' get you there
ผมสะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "What got you here, won't get you there" บางทีสิ่งที่พาเรามาถึงจุดนี้ จะไม่สามารถพาเราไปถึงจุดหมายต่อไปได้ ก็จริงนะ วันที่เราเป็นลูกน้องทำงานตามคำสั่งอย่างขันแข็ง ชุดความรู้ ทักษะหรือแนวคิดต่างๆ เหล่านั้น คงเอามาใช้ไม่ได้ในวันที่เราได้ขึ้นเป็นหัวหน้าและอยากจะดูแลลูกน้องให้ดี หรือแม้แต่คนที่ยังเป็นลูกน้องอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะอยู่แบบเดิมไปเรื่อยๆ ได้ ผมว่ามันก็หลักการคล้ายๆ กับที่เค้าพูดกันว่า ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีการ ผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิม ผมเชื่อว่า เราไปไกลกว่าเดิมได้ แต่เราต้องไม่ทำสิ่งเดิมที่ทำให้เราย่ำอยู่กับที่ แค่เราต้องหาให้เจอว่า "สิ่งเดิม" ที่ว่านี้ มันคืออะไร...
◼เริ่มค้นหา "สิ่งเดิม"
ผมนึกถึงทฤษฎีหนึ่ง ตอนไปเข้าร่วม Creative Leadership Workshop ที่สิงคโปร์ เค้าบอกว่า คนเราจะมีพฤติกรรมที่แสดงออกเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เรารู้สึกไม่ปลอดภัย เรียกว่า Reactive Tendencies หรือ ผมเรียกเป็นภาษาง่ายๆว่า พฤติกรรมที่มีแนวโน้มจะทำให้เราไม่ก้าวหน้า ซึ่งพฤติกรรมนี้มักเกิดจากความ "กลัว" เจ้าความกลัวก็มีหลายประเภท เช่น กลัวไม่เป็นที่รัก กลัวไม่ได้รับการยอมรับ กลัวที่จะไม่สมบูรณ์แบบ กลัวที่จะควบคุมไม่ได้ กลัวไม่ฉลาดพอ ซึ่งพฤติกรรมที่เกิดจากความกลัวเหล่านี้แหละ เป็นกับดักให้เราไปได้ไม่ไกล หรือ ตกม้าตาย ไปไม่น้อย
.
ตั้งแต่เด็กผมถูกสอนมาตลอดว่า "นกไม่มีขน คนไม่มีเพื่อน ขึ้นที่สูงไม่ได้" การทำให้คนอื่นพอใจเป็นสิ่งที่ทำให้เราเติบโต ตอนเรียนผมใช้วิธีนี้ในการอยู่ร่วมกับคนอื่นมาตลอด และมันก็ได้ผลในตอนนั้น ผมเป็นที่ยอมรับและมีตัวตนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย แล้วมันก็ติดมาจนถึงตอนทำงาน ผมยังคงเป็น Mr. Yes คนที่คอยตามใจคนอื่น แม้แต่ในงานของผมเอง แค่มีผู้ใหญ่มาเสนอไอเดีย ถึงแม้จะขัดกับสิ่งที่ผมคิด ผมก็พร้อมจะเปลี่ยนเพียงเพราะผม "กลัวไม่ดีพอในสายตาคนอื่น" ซึ่งหลายครั้งสิ่งนี้มันทำให้ผมเสียความเป็นตัวตน และหลายครั้งที่สุดท้ายผมจบด้วยประโยคว่า "รู้งี้ทำแบบที่คิดแต่แรกก็ดี" "ไอเดียนี้ไม่ใช่ของเรา"
◼One Big Thing
ใน Workshop เค้าให้กำหนด One Big Thing หรือสิ่งที่เราจะทำ เพื่อปลดล็อค Reactive Tendencies หรือพฤติกรรมที่ทำให้เราไม่ก้าวหน้านั้น เราจะได้ไปต่อได้ ผมจึงเลือกว่า One Big Thing ของผม คือ "กล้าพูดสิ่งที่คิด" แล้วผมจะเริ่มลองใช้มัน
.
ในที่ประชุมบรรยากาศที่คุ้นเคย ผมนำเสนอไอเดียจบ เหมือนเดจาวู ผู้ใหญ่ท่านเดิมแย้งไอเดียที่ผมเสนอพร้อมเสนอไอเดียของตนออกมา แต่ครั้งนี้ตอนจบต่างจากเดิม ผมยืนยันจุดยืนในความคิดของผม ใช้ทักษะเล่าเรื่องทั้งหมดที่มี เพื่ออธิบาย Why ของผมให้เค้าเข้าใจในสื่งที่ผมเชื่อ โดยที่ไม่ได้รู้สึกกลัวว่าจะถูกตัดสินว่าไม่ดีพอเหมือนที่เคยกลัว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เค้าหยุดฟังและคิดตาม แล้วก็จบลงด้วยข้อสรุปที่ผมอยากให้เป็น หลังเดินออกจากห้องประชุมวันนั้นผมปลดล็อคความกลัวและลบภาพการเป็น Mr. Yes ทันที หลายคนมาบอกที่หลังว่า "คุณดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีทักษะ Storytelling ที่ดีมากนะ" ผมรู้เลยว่า ผมก้าวไปอีกขั้นแล้ว
.
นี่คือ หนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงหรือ One Big Thing ของผมในปีนี้ และผมรู้เลยว่า มันช่วยให้ผมก้าวไปข้างหน้าได้ และผมจะไม่สามารถไปได้ไกลกว่าเดิม ถ้าผมยังไม่ได้กำจัดพฤติกรรมที่เกิดจากความกลัวนี้ออกไปจากชีวิตผม
.
◼แล้วคุณล่ะ
จะหมดปีแล้ว ลองหา Reactive Tendencies หรือพฤติกรรมที่เกิดจากความกลัวของตัวเองดูนะครับ อาจลองถามตัวเองดูว่า "อะไรที่เป็นตัวขัดขวางให้เราหยุดอยู่แค่นี้ ไปได้ไม่ไกลกว่านี้" "สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นจากความกลัวใช่หรือไม่" ถ้าใช่ ลองทำความเข้าใจมันดู เมื่อเข้าใจมันแล้ว ให้ลองกำหนด One Big Thing ขึ้นมา แล้วตั้งเป็น 2020 New Year Resolution ไปเลย ถ้าปลดล็อคความกลัวนี้ได้ ผมว่าคุณจะก้าวไปไกลขึ้นอีกขั้นแน่นอน
#TheSomersaulThink
#TheSomersault
#2020NewYearResolution
#CreativeLeadership
#OneBigThing
โฆษณา