3 ม.ค. 2020 เวลา 12:09 • ธุรกิจ
#อยากเปิดร้าน คิดต้นทุนอย่างไร ?
ตั้งราคาแบบไหน "ไม่ให้เจ๊ง"
เชื่อว่าการมีธุรกิจส่วนตัว คงเป็นความฝันของหลายๆคน เพราะใครๆก็อยากที่จะเป็น
"เจ้านายตัวเอง" กันทั้งนั้น
จึงทำให้ทุกวันนี้ ไม่ว่าคุณจะออกไปไหน ก็มักจะเห็นว่า มีกิจการและร้านค้าผุดขึ้นมาเต็มไปหมด
แต่จะมีสักกี่ร้านที่สามารถอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง..
เพราะปัจจุบัน บางธุรกิจมีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก และต้นทุนบางอย่างก็มีราคาสูงขึ้นทุกวันๆ ดังนั้นการวางแผนธุรกิจจึงเป็นสิ่งจำเป็น
วันนี้ #พี่โอกาส เลยจะมาแนะนำวิธีการคิดต้นทุน และการตั้งราคาสำหรับการเปิดร้านกันครับ ใครที่อยากมีร้านเป็นของตัวเอง ห้ามพลาด !!
บางร้านขายดี คนเข้าเยอะ แต่ทำไมถึงเจ๊ง..
สาเหตุที่ผู้ประกอบการหลายคนขาดทุน นั่นก็เพราะส่วนใหญ่ใช้ "ความรู้สึก" ในการตั้งราคา และการคิดต้นทุน ซึ่งจริงๆแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำมากๆครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยาก #เจ๊ง ต้องคำนวณให้ดีนะครับ ก่อนอื่นเราไปดูกันเลยว่า ต้นทุนเปิดร้านนั้นมีอะไรบ้าง !
บางคนอาจคิดว่าขายดี แต่พอมาดูปลายเดือน กลายเป็นว่าขาดทุนหนักมาก นั่นก็เพราะตั้งราคาต่ำเกิน และไม่เคยคำนวณต้นทุนเลย
ถ้าไม่อยากขาดทุน ต้องแจกแจงต้นทุนให้ดี โดยต้นทุนในการทำธุรกิจนั้นมี 2 ประเภท ได้แก่ :
➡️ ต้นทุนผันแปร
ต้นทุนผันแปร คือต้นทุนที่จะเพิ่มหรือลดไปตามจำนวนขาย ยิ่งขายจำนวนมาก ต้นทุนผันแปรก็จะยิ่งมาก เช่น ต้นทุนอาหารต่อจาน หรือต้นทุนกาแฟต่อแก้ว
ซึ่งต้นทุนผันแปร มักจะเป็นค่าวัตถุดิบ ค่าภาชนะ หรือค่าใช้จ่ายของสิ่งที่เป็นองค์ประกอบในสินค้า
➡️ ต้นทุนคงที่
ต้นทุนคงที่ คือต้นทุนที่จะต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะขายสินค้านั้นได้หรือไม่ เช่น ค่าเช่า ค่าจ้าง ค่าน้ำค่าไฟ หรือค่าเสื่อม
ซึ่งหลายคนมักจะตั้งราคาโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนส่วนนี้ เลยทำให้นึกว่าขายดี แต่สุดท้ายขาดทุนโดยไม่รู้ตัว
➡️ ค่าเสื่อม
ค่าเสื่อม เป็นต้นทุนคงที่ที่คำนวณจากเงินลงทุนเริ่มต้น โดยจะตัดออกจากมูลค่าสินทรัพย์เรื่อยๆ
เช่น ถ้าซื้อเครื่องชงกาแฟมา 36,000 บาท โดยคิดคร่าวๆว่าจะมีอายุการใช้งาน 5 ปี จะต้องตัดค่าเสื่อมปีละ 7,200 บาท หรือเดือนละ 600 บาท เป็นต้นทุนคงที่เผื่อไว้ด้วย
สาเหตุที่เราต้องคิดค่าเสื่อมด้วย นั่นก็เพราะว่า การหักค่าเสื่อมจะทำให้คุณเห็น "กำไรตามความเป็นจริง" และทำให้มีเงินสำรองเก็บไว้ซื้อสิ่งนั้นใหม่ เมื่อครบอายุการใช้งาน
ตั้งราคาขายอย่างไร ขายเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม ?
ถ้าอยากรู้ว่าจะต้องขายเท่าไหร่ เพื่อให้คุ้มทุนตามราคาขายที่ตั้งไว้ อันดับแรกคุณต้องหารู้ก่อนว่า ต้นทุนในการทำธุรกิจของคุณมีอะไรบ้าง และแจกแจงให้ได้ว่าเป็น "ต้นทุนประเภทไหน"
✔️ ขั้นตอนที่ 1
หลังจากที่รู้ต้นทุนแล้ว สิ่งที่ต้องหาต่อไปคือ กำไรต่อหน่วย และอัตราส่วนกำไรครับ..
โดยกำไรต่อหน่วยสามารถหาได้ โดยนำราคาขายที่ตั้งไว้มาลบกับต้นทุนผันแปรต่อหน่วย ส่วนอัตราส่วนกำไรจะหาได้จาก กำไรต่อหน่วยหารด้วยราคาขาย
เช่น ถ้าคุณขายข้าวราดแกงจานละ 40 บาท แล้วมีต้นทุนต่อจาน 10 บาท คุณจะมีกำไรต่อจานประมาณ 30 บาท และจะมีอัตราส่วนกำไร 75%
✔️ ขั้นตอนที่ 2
เมื่อได้คำตอบจากขั้นตอนที่ 1 แล้ว คุณจะต้องนำกำไรต่อหน่วย และอัตราส่วนกำไรที่ได้ ไปหาจุดคุ้มทุน (จำนวนขายคุ้มทุน และยอดขายคุ้มทุน)
โดยจำนวนที่ขายคุ้มทุนจะเท่ากับ ต้นทุนคงที่ หารด้วยกำไรต่อหน่วย และยอดขายคุ้มทุนจะเท่ากับ ต้นทุนคงที่ หารด้วยอัตราส่วนกำไร
✔️ ขั้นตอนสุดท้าย
ถ้าคุณขายตามราคาที่ตั้งไว้ ได้น้อยกว่าจำนวนขายคุ้มทุน และน้อยกว่ายอดขายคุ้มทุน จะหมายความว่า คุณกำลังขาดทุน
แต่ถ้าอยากได้กำไร คุณต้องขายให้ได้ มากกว่าจำนวนขายคุ้มทุน และมากกว่ายอดขายคุ้มทุน
➡️ ต้นทุนผันแปรต่อแก้ว
จากตัวอย่างร้านกาแฟ คุณจะได้ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย เท่ากับ 15 บาท ซึ่งเป็นต้นทุนต่อแก้ว โดยยิ่งขายได้เยอะจะมีต้นทุนส่วนนี้เยอะ
➡️ ค่าเสื่อมต่อเดือน
เมื่อเปิดร้านลงทุนเริ่มต้นรวม 1.2 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะใช้เปิดร้านได้ 10 ปี (สมมุติว่าไม่มีค่าซาก) คุณจะต้องตัดค่าเสื่อมเป็นต้นทุนคงที่ทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท (เยอะมาก)
➡️ ค่าต้นทุนคงที่ต่อเดือน
ค่าต้นทุนคงที่ตามตัวอย่างจะเท่ากับ ค่าใช้จ่ายดำเนินงานรวมกับค่าเสื่อม ซึ่งรวมกันแล้วจะเท่ากับ 130,000 บาท
ซึ่งต้นทุนสองตัวนี้ เราจะนำไปคำนวณในหน้าถัดไปครับ
➡️ หากำไรต่อหน่วย
กำไรต่อแก้วจะเท่ากับราคาขายต่อแก้ว ลบกับ ต้นทุนแปรผันจากหน้าที่แล้ว ( 60-15) ซึ่งจากตัวอย่างจะได้กำไรเท่ากับ 45 บาทต่อแก้ว
และนำกำไรต่อแก้วหารด้วยราคาขาย (45/60) จะทำให้อัตรากำไรต่อแก้วเท่ากับ 75%
➡️ หาจุดคุ้มทุน
เราสามารถหา "จำนวนขายคุ้มทุน" ได้โดยนำต้นทุนคงที่จากหน้าที่แล้วมาหารด้วยกำไรต่อแก้ว (130,000/45) ซึ่งจะได้ประมาณ 2,889 แก้วต่อเดือน
และหา "ยอดขายคุ้มทุน" ได้โดยนำต้นทุนคงที่มาหารด้วยอัตราส่วนกำไร (130,000/0.75) จะได้ยอดขายคุ้มทุนเท่ากับ 173,333 บาทต่อเดือน
➡️ อยากได้กำไรทำอย่างไร ?
✔️ กรณีแรก คือต้องขายให้ได้มากกว่า 2,889 แก้วต่อเดือน หรือได้ยอดขาย 173,333 บาทต่อเดือน
✔️ กรณีที่สอง คือการเปลี่ยนราคาใหม่ หรือลดต้นทุนเพื่อให้ได้กำไรต่อแก้วมากขึ้น
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า คำนวณได้ไม่ยากเลย อย่าลืมกลับไปลองคำนวณ และปรับใช้กับธุรกิจของคุณดูนะครับ 😁
#พี่โอกาส
โฆษณา