4 ม.ค. 2020 เวลา 08:16 • ประวัติศาสตร์
เหตุเกิดเพรา..... “ความเกลียดชัง”
เมื่อก่อน..พอได้ยินใครบอกว่าเด็กก็เหมือนผ้าขาวเลี้ยงอย่างไรเขาก็เป็นอย่างนั้น ดิฉันไม่เคยเชื่อเลยแต่พอหันมามองชีวิตตัวเองตอนนี้ดิฉันจึงเชื่อ…อย่างสนิทใจ
ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 55 ปีที่แล้วดิฉันเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยมากเรียกได้ว่าติดอันดับท็อปเทนของจังหวัด เตี่ยของดิฉันเป็นคนรูปหล่อ ขาว สูงและเจ้าชู้เตี่ยมีเมียเล็กเมียน้อยทั่วจังหวัดแต่ไม่เคยเลี้ยงดูใครจริงจังในขณะที่แม่ของดิฉันค่อนข้างขี้ริ้วตัวเล็กเป็นคนจีนที่มีผิวสองสีตั้งแต่ก่อนจะมีดิฉัน  พวกท่านก็ทะเลาะกันแทบไม่เว้นแต่ละวันแล้ว
มีคนเล่าให้ฟังว่าเตี่ยกับแม่ตีกันจนถึงวันคลอด ดิฉันจึงเป็นเด็กขี้แย ร้องโยเยตั้งแต่เกิดเตี่ยรำคาญมากจึงมักตีดิฉันแรงๆตั้งแต่แบเบาะพอโตขึ้นอายุได้ไม่เท่าไรเตี่ยก็สั่งให้ดิฉันทำงานบ้านทุกอย่างไม่ว่าจะกวาดบ้านถูบ้านซักผ้ารีดผ้าหุงข้าวทำกับข้าวเลี้ยงคนทั้งบ้านหรืออีกมากมายซึ่งก็แปลกที่งานเหล่านี้ดิฉันเป็นคนเดียวที่ต้องทำในขณะที่พี่ชายและน้องสาวอีกสี่คนไม่เคยช่วยหยิบจับอะไรเลย
เวลาจะสั่งให้ดิฉันทำอะไรเตี่ยจะบอกเป็นภาษาจีนเท่านั้น  ทั้งที่ดิฉันไม่รู้ภาษาจีนเลยเพราะฉะนั้นเวลาเตี่ยใช้ให้ไปหยิบอะไรสักอย่างเช่น จานข้าว แก้วน้ำไม้กวาด ฯลฯ ดิฉันจึงต้องวิ่งไปวิ่งมาหลายรอบกว่าจะหยิบถูกพอหยิบผิดก็จะโดนตวาด  โดนด่าและแม้จะหยิบถูกเตี่ยก็มักจะเอาของสิ่งนั้นฟาดตีดิฉัน…เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นตอนที่ดิฉันอายุแค่7-8ขวบเท่านั้นเอง
บ้านเราตอนนั้นมีเด็กๆอยู่หลายคนเป็นลูกเตี่ยกับแม่6คน  เป็นหลานเตี่ยอีก3คน ตอนเช้าเด็ก9คนก็จะเข้าแถวตามลำดับรอรับค่าขนมจากเตี่ยเตี่ยกำเงินเหรียญหยอดใส่มือให้ทีละคนๆแต่พอถึงดิฉันเตี่ยก็เว้น…ข้ามไปแจกเงินน้องๆต่อจนครบพอโตขึ้นมาอีกหน่อยดิฉันก็เริ่มขโมยเล็กขโมยน้อยเพื่อความอยู่รอดดิฉันเคยขโมยเงินของคนข้างบ้านที่ไปรับจ้างเลี้ยงลูกให้เขาพอถูกจับได้ตั้งแต่นั้นมาทั้งเตี่ยแม่ และพี่น้องก็หมายหัวว่าดิฉันเป็นคนขี้ขโมย
นอกจากเตี่ยที่ไม่เคยใจดีกับดิฉันเลยดิฉันก็ยังต้องคอยรองรับอารมณ์จากแม่ด้วยแม่มักจะด่าว่าเตี่ยให้ดิฉันฟังเสมอและก็ตีดิฉันจนเคยมือเช่นเดียวกับเตี่ยส่วนพี่น้องก็ไม่มีใครอนาทรดิฉันสักเท่าไรแต่จะโทษเขาก็ไม่ได้ในเมื่อดิฉันก็ไม่เคยมีน้ำใจให้พวกเขาเหมือนกันจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ดิฉันหวงของเล่นมาก  แค่น้องสาวมาแตะตุ๊กตาตัวโปรดเข้าเท่านั้น ดิฉันก็ตบหน้าน้องทันทีเพราะไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นจากทางบ้าน  ดิฉันจึงเป็นคนที่มีจิตใจหยาบกระด้างหากถูกใครทำร้าย  ดิฉันจะเอาคืนให้ถึงที่สุดตอนถูกเตี่ยด่า ดิฉันหุบปากเงียบก็จริงแต่พอเตี่ยหันหลังเด็กผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวคนนี้ก็จะชี้นิ้วไปที่เตี่ยตาลุกโพลงในใจเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท  ทั้งคำว่าปีศาจ นรก อเวจี ฯลฯ ดิฉันยกมาด่าได้หมดทุกคำ
ถึงแม้จะไม่มีความสุขในบ้านของตัวเองเลย แต่ข้อดีของการเป็นลูกคนรวยคือการได้เรียนในโรงเรียนดีๆ ดิฉันเรียนโรงเรียนคาทอลิกประจำจังหวัดพูดฟังอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้ดีมากจากนั้นจึงเข้ากรุงเทพฯมาเรียนต่อระดับอนุปริญญาสาขาธุรกิจบริหารโรงแรมและมัคคุเทศก์หลังเรียนจบดิฉันก็ทำงานเป็นพนักงานต้อนรับของโรงแรมแห่งหนึ่งมีรายได้ดีมาก
สมัยสาวๆดิฉันแต่งตัวเฟี้ยวฟ้าวเป็นสาวเปรี้ยวหน้าตาจัดเต็มตลอดบุคลิกดีพูดเก่ง ภาษาอังกฤษคล่องเปรี๊ยะแถมยังอ่อนหวานทั้งนี้ต้องวงเล็บว่า…ในยามไม่โมโห เพราะฉะนั้นจึงมีหนุ่มหลายชาติหลายภาษามาจีบแต่สุดท้ายเวรกรรมก็ทำให้ดิฉันมาแต่งงานกับสามีที่มีคุณสมบัติด้อยกว่าผู้ชายทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ที่ร้ายที่สุดคือเขาไม่รู้ผิดชอบชั่วดีซึ่งข้อนี้ดิฉันเพิ่งจะรู้ซึ้งก็ตอนที่ตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกับเขาแล้ว
ดิฉันกับสามีย้ายมาตั้งรกรากที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ  เราเปิดร้านขายยาเพราะสามีเคยเป็นลูกจ้างร้านขายยามาก่อน สามีเคยขายยาทำแท้งด้วยมาที่นี่ดิฉันก็ขายตามเขาโดยที่ไม่รู้สึกผิด กิจการรุ่งเรืองถึงขนาดที่ต้องเปิด2ร้านพร้อมกันหารู้ไม่ว่านั่นเป็นการทำบาปทำกรรมที่หนักหนาสุดๆ
หลังจากมีลูกคนแรก  ดิฉันรู้สึกเบื่อหน่ายเรื่องบนเตียงมาก  เพราะสมัยวัยรุ่นดิฉันเกือบจะถูกญาติตัวเองข่มขืน…ญาติซึ่งเป็นหลานที่เตี่ยรักนักรักหนานั่นแหละแม้ครั้งนั้นดิฉันจะรอดมาได้แต่ก็กลายเป็นบาดแผลในใจแต่ทว่าสามีกลับชอบเรื่องพวกนี้มาก ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาจึงลุ่มๆ ดอนๆ คนทางบ้านดิฉันก็เกลียดเขาคนทางบ้านเขาก็เกลียดดิฉันดิฉันขอเลิกกับสามีหลายครั้งแต่เขาไม่ยอม
กระทั่งวันหนึ่งดิฉันขับรถกลับจากโรงพยาบาลหลังจากไปนอนให้หมอดูอาการไซนัสมาสองวันโดยที่สามีไม่เคยไปเยี่ยมเลย  เมื่อมาถึงบ้านเขาก็ยังพูดไม่ดีใส่อีก เขาพูดอะไรดิฉันจำไม่ได้แล้วเพราะที่จริงเรื่องมันเล็กน้อยมากแต่ด้วยปัญหาต่างๆนานาที่สะสมมาตลอดคำพูดนั้นก็เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ดิฉันเครียดจนถึงขีดสุดด้วยความโกรธจนขาดสติ…เพียงชั่วแวบเดียว…ดิฉันก็กระโดดพุ่งตัวจากชั้นสองของบ้านลงมา  บ้านหลังนี้สร้างอยู่ริมเขา ด้านล่างมีแต่หินก้อนใหญ่ๆผลคือ…เข่าหัก ร่างกระแทกหิน เจ็บสาหัสไปทั้งตัว
จะว่าไปแล้ว ดิฉันก็น่าจะตายเสียตั้งแต่ตอนนั้นแต่กลับไม่ตาย  ต้องนอนให้หมอต่อกระดูกเข่าที่หักและกระดูกสันหลังที่ยุบอยู่ในโรงพยาบาลถึงหนึ่งเดือนเต็ม
หลังจากนั้นไม่นานดิฉันก็เลิกธุรกิจร้านขายยา และหันมาทำงานรับเหมาก่อสร้างแทนธุรกิจนี้ทำให้ดิฉันจับเงินล้านเป็นว่าเล่นมักได้งานประมูลเสมอๆในขณะที่สามีก็เริ่มสนใจเล่นการเมืองท้องถิ่นดิฉันเห็นว่าถ้าสามีได้เป็นใหญ่เป็นโตก็จะช่วยสนับสนุนธุรกิจของเราด้วยดิฉันจึงสนับสนุนสามีกระทั่งเขาได้เป็นนายก อบต.ติดต่อกัน3สมัย
ดิฉันน่าจะเป็นหลังบ้านนักการเมืองที่ได้คะแนนเต็มสิบ  เพราะดิฉันช่วยสามีได้ทุกเรื่อง คุมคนงานก็ได้เข้าถึงชาวบ้านเอาอกเอาใจผู้ใหญ่เก่งงานสังคมไม่เคยพร่องเวลาจังหวัดจัดงานสำคัญๆก็จะเชิญดิฉันไปเป็นแม่งาน ดิฉันจัดประกวดนางงามจับไมค์ร้องเพลงช่วยหาทุน ฯลฯ เรียกว่าเป็นคนมีหน้ามีตาของจังหวัดและมีคนรักมากกว่าคนชัง
แต่แล้วในที่สุดก็มีเหตุทำให้ดิฉันต้องย้ายออกจากจังหวัดนั้น  เพราะสามีเกิดไปขัดแย้งกับนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง  เรื่องทำท่าจะลุกลามถึงขั้นเอาชีวิต ดิฉันขายธุรกิจทุกอย่าง  จากนั้นก็ไปเปิดโรงงานเย็บผ้าทางภาคอีสานแต่งานนี้ทำกำไรดีแค่ปีเดียวดิฉันจึงชวนสามีกลับมาค้าขายที่บ้านเดิม
คราวนี้ดิฉันมาเปิดร้านขายข้าวสารอาหารสัตว์ โฟม  พลาสติก ฯลฯ โดยน้องสาวมาช่วยลงสินค้าให้ก่อนอีกสองสามวันจึงค่อยมาเคลียร์เงินซึ่งตามเคยช่วงปีแรกๆกำไรดีมาก  ทุกคนแฮ็ปปี้ จนมาช่วงหลังดิฉันปล่อยให้สามีดูร้านคนเดียวธุรกิจก็เริ่มขาดทุนสินค้าขายออกไปแล้วแต่กลับไม่มีเงินเข้ามาเลย
ช่วงนั้นเหมือนผีบังตา แทนที่จะนึกเอะใจและไปไล่เบี้ยกับสามีเพื่อหาสาเหตุดิฉันกลับเอาแต่ยืนยันกับน้องเสียงแข็งว่า“ไม่ได้เอาเงินไป” น้องก็เถียงว่า “ถ้าไม่เอาไป ทำไมของถึงไม่เหลือ…อีขี้โกง อีขี้ขโมย” ดิฉันตอบไม่ได้ได้แต่โกรธน้องจนตัวสั่นจากนั้นก็ช็อกหมดสติไปเลย…
มารู้สึกตัวอีกทีพบว่าตัวเองอยู่ในบ้านอีกหลังของสามี สามีบอกว่าร้าน บ้านรถ เงินทองที่สะสมมาทั้งหมดถูกน้องสาวยึดไปถือเป็นการใช้หนี้เขาบอกว่า ดิฉันเป็นบ้า อาละวาด  ทำร้ายคนจนหมอต้องช็อร์ตไฟฟ้าเพื่อให้หายคลั่ง
ความทรงจำของดิฉันหายไปถึง3เดือนอันที่จริงดิฉันจำวันสุดท้ายก่อนหมดสติไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เหตุการณ์ข้างต้นเป็นเรื่องที่สามีเล่าให้ฟัง ดิฉันกลายเป็นคนเซื่องซึมเชื่องช้าบางครั้งแค่จะหยิบของสักอย่างมือก็ไม่ยอมขยับตามดิฉันต้องอยู่ในบ้านคนเดียวน้องสะใภ้ของสามีให้เงินใช้แค่วันละ 30 บาทซึ่งก็แทบไม่พอกินไม่พอใช้ พอเริ่มเดินเหินได้คล่อง  ดิฉันจึงไปของานทำในร้านขายข้าวแกงเจ้าของร้านเมตตาดิฉันมากยอมให้ทำงานทั้งที่ยังหยิบจับไม่คล่องและเชื่องช้าเต็มที ดิฉันเป็นลูกมือหั่นผักบ้าง ล้างจานบ้าง ทำกับข้าวบ้าง  แลกกับอาหารสามมื้อและเงินวันละ 100 บาท จะว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายก็ว่าได้ เพราะดิฉันเคยถูกกระทำอย่างโหดร้ายมาตั้งแต่เล็กจึงปรับตัวได้โดยไม่ลำบากนัก
ทว่าสายตาของคนรอบข้างต่างหากเป็นปัญหาทิ่มแทงจิตใจดิฉัน จะว่าคิดไปเองหรือไม่ก็ตาม ดิฉันรู้สึกว่าชาวบ้านแถวนั้นมักจะมองดิฉันด้วยสายตาดูถูกยิ่งนึกไปถึงเงินทองและชีวิตเก่าๆก็ยิ่งเครียด ในที่สุดความทุกข์ก็ทำให้ดิฉันหวนกลับมาคิดถึงบาปบุญคุณโทษเป็นครั้งแรก
ดิฉันคิดได้ว่า ตั้งแต่เกิดมาเราไม่เคยทำอะไรดีๆเพื่อใครเลย  ถึงเวลาที่ต้องทำแล้ว และสิ่งแรกที่คนหมดตัวอย่างดิฉันทำได้ก็คือบริจาคร่างกายให้กับโรงพยาบาลที่ดิฉันต้องไปพบหมอจิตเวชทุกเดือน
หลังจากนั้นดิฉันก็หันมาสวดมนต์ทั้งเช้าและเย็นเมื่อเวลาผ่านไป ดิฉันก็รู้สึกว่าสติแจ่มใสขึ้นมากเรื่องทรัพย์สินถูกยึดถูกช็อร์ตไฟฟ้าอะไรนั่นช่างมันเถอะ ดิฉันไม่ได้ติดใจในเรื่องเหล่านี้มากเท่ากับว่า “ทำไมสามีถึงไม่มาเยี่ยมดิฉันเลย”
ไม่ไกลจากบ้านที่ดิฉันอยู่มีโรงงานทำปุ๋ยของน้องชายสามีตั้งอยู่ ดิฉันสงสัยมานานแล้วว่าเจ้าของโรงงานที่แท้จริงน่าจะเป็นสามีดิฉันมากกว่า วันหนึ่งดิฉันจึงตามไปดูที่โรงงาน  และได้เห็นสามีของตัวเองอยู่ที่นั่น…กับเมียใหม่ซึ่งอายุน้อยกว่าลูกของเราเสียอีก เด็กคนนี้ที่จริงเคยเป็นลูกจ้างในโรงงานเย็บผ้าของดิฉันเมื่อ 7ปีก่อน พอเห็นเขาอยู่ด้วยกัน  ก็เหมือนฟ้าผ่าลงมาที่กลางใจ ดิฉันร้องอ๋อกับตัวเองทันทีว่าเงินทองที่หายไปตลอดหลายปีมานี้สามีเอาไปเลี้ยงเมียน้อยนี่เอง หนำซ้ำยังมารู้ภายหลังอีกว่าโรงงานนี้ความจริงเป็นของสามี  แต่เขาโอนทรัพย์สินทุกอย่างเป็นชื่อญาติพี่น้องหมด เพื่อให้ดิฉันไม่สามารถฟ้องร้องได้
เมื่อดิฉันรู้ความจริง แทนที่สามีจะละอายใจเขากลับตั้งป้อมด่าว่าดิฉันจนไม่เหลือชิ้นดีดิฉันไปหาเขาแค่สองครั้งเท่านั้นก็ไม่ไปอีก นั่นคือจุดต่ำสุดของชีวิตดิฉันเลยก็ว่าได้
หลังจากผ่านหลายเหตุการณ์ที่หนักหนาที่สุดในชีวิต  นอกจากดิฉันจะเยียวยาจิตใจตัวเองด้วยการสวดมนต์แล้ว  ดิฉันก็เริ่มเจียดเงินมาซื้ออาหารใส่บาตรพอถึงวันพระดิฉันก็ไปวัด และจากที่ไปวัดใกล้บ้านในที่สุดก็ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง เมื่อจบคอร์ส ดิฉันกราบเรียนพระอาจารย์ว่าขอให้ดิฉันได้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆเพราะดิฉันไม่มีที่พึ่งแล้ว  ซ้ำยังขอเงินค่ารถค่ายาจากท่านด้วย เพราะดิฉันยังต้องไปหาหมอทุกเดือน ซึ่งท่านก็อนุญาตตามที่ดิฉันขอทุกอย่าง
ตอนปฏิบัติธรรมช่วงแรกๆดิฉันไม่สามารถเอ่ยชื่อหรือแผ่เมตตาให้คนที่ทำร้ายดิฉันได้เลย แต่ถึงวันนี้ดิฉันไม่รู้สึกโกรธแค้นใครอีกแล้ว เวลานั่งกรรมฐานก็จะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง
…ให้เตี่ยที่ตอนนี้ไม่ได้มั่งมีเหมือนเก่าและต้องอยู่ตัวคนเดียว
…ให้แม่และญาติพี่น้องทุกคน
…ให้ลูกที่ดิฉันไม่ได้เลี้ยงดูใกล้ชิดปล่อยให้เขาเห็นแต่ภาคที่ดุร้าย อาละวาดเขาจึงไม่ได้ดูแลดิฉัน
แม้แต่สามี ดิฉันก็เห็นใจเขา ดิฉันเคยโหดร้ายกับเขาเคยถึงกับจะฆ่าตัวตายเพื่อหนีจากเขา  กเป็นธรรมดาที่เขาจะจากดิฉันไป
ตอนนี้ดิฉันออกจากวัดของพระอาจารย์เพื่อมาเริ่มชีวิตใหม่ของตัวเอง ดิฉันไม่ขออะไรนอกจากให้มีเงินเลี้ยงชีพ และมีเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขัดเกลาตัวเองไปเรื่อย ๆ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
กรรมใดก็ตามที่ทุกคนทำต่อดิฉันดิฉันอภัยให้หมดแล้ว  หากแต่ยังหวังว่าสักวันจะมีคนให้อภัยและให้โอกาสดิฉันบ้างเท่านั้น.....
การให้อภัยสามารถพาชีวิตของเราออกจากความมืดและช่วยให้เราเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างแท้จริง ส่วนความดีที่กระทำต่อผู้อื่นนั้น ก็ไม่เคยสูญเปล่าสามารถดึงดูดความดีและความโอบอ้อมอารีของผู้อื่นมาสู่เราได้ ขณะเดียวกันขอให้มั่นใจในพระธรรมว่าจะนำพาเราไปสู่ความสุขที่แท้แม้จะไม่ร่ำรวย  ไม่มีชื่อเสียงเกียรติยศเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสุขแท้นั้นพบได้ที่ใจเรานี้เอง (คำแนะนำจากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล)
ที่มา : การันต์
🍃ขอบพระคุณที่แวะมาอ่านนะคะ กดไลค์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ🍃😊
โฆษณา