6 ม.ค. 2020 เวลา 09:47 • ธุรกิจ
การ Distrupt ของตลาดน้ำมันโลก
ย้อนไปเมื่อปี 2014 หรือ 5 ปีที่เเล้ว ในช่วงเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่ธุรกิจให้บริการนักท่องเที่ยว เตรียมต้อนรับกับ “High Season” ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศที่มีอากาศหนาว ทั้งยุโรป สแกนดิเนเวีย และรัสเซีย เป็นจำนวนมาก เดินทางเข้ามาพักผ่อนในประเทศไทย
นักท่องเที่ยวจากยุโรปและสแกนดิเนเวียลดลงอย่างต่อเนื่องมาก่อนหน้านั้นนานเเล้ว แต่นักท่องเที่ยวจากรัสเซียนั้นกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2013 มีนักท่องเที่ยวรัสเซียเข้ามาในประเทศไทยเกือบ 1.7 ล้านคน
ธุรกิจโรงแรมในกลุ่มจังหวัดที่มีชายหาดต่างต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวจากรัสเซีย เพราะใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวจากจีนมาก ซึ่งตอนนั้น ทัวร์ศูนย์เหรียญระบาดหนัก
นักท่องเที่ยวจากรัสเซียนั้นนิยมใช้บริการบริษัทให้บริการจองแพ็คเกจท่องเที่ยวแบบเหมา ส่วนใหญ่จะมีบริษัท DMC (Destination Management Company) ติดต่อทำสัญญากับโรงแรม บริษัทนำเที่ยวรายย่อย บริษัทให้เช่ารถบัส สายการบิน ล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปี เพื่อแย่งกันจองจำนวนห้องพัก ที่นั่งในสายการบิน ก่อนจะกำหนดราคาขายแพ็คเกจล่วงหน้า
แต่เหตุการณ์ที่ไม่มีใครได้รับการเตือนล่วงหน้าก็เกิดขึ้น เมื่อในเดือนตุลาคม 2014 ค่าเงินรูเบิ้ลรัสเซียอ่อนค่าลงเป็น 2 เท่า จากเดิมอยู่ที่ 30 รูเบิ้ลต่อ 1 US Dollars อ่อนตัวลงไปถึง 60 รูเบิ้ลต่อต่อ 1 US Dollars ภายในเดือนเดียว จำนวนการจองห้องพักจากรัสเซียหยุดนิ่งทันที พร้อมกับการไหลมาของการยกเลิกการจองแบบต่อเนื่อง
สถาณการณ์ค่าเงินรูเบิ้ล แย่ลงเรื่อยๆ เดือนธันวาคมในปีเดียวกัน ค่าเงินรูเบิ้ลอ่อนลงถึง 3 เท่า ทุกๆฝ่ายได้แต่หวังว่า ประธานาธิบดี
วลาดิเมียร์ ปูติน จะพลิกสถานการณ์ได้ในเวลาอันสั้น
ปูตินตอบโต้ด้วยการประกาศว่า จะไม่ส่งก๊าซธรรมชาติไปขายให้ชาติยุโรป เดือนธันวาคม-กุมภาพันธุ์ เป็นช่วงหน้าหนาว ชาวยุโรปต้องพึ่งพาเครื่องทำความอุ่นภายในบ้าน (Heater) ซึ่งใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ ที่ต้องซื้อจากรัสเซียเป็นส่วนใหญ่ แต่การกดดันยุโรปไม่ได้ส่งผลไม่ถึงอเมริกามากนัก ค่าเงินรูเบิ้ลแข็งค่าขึ้น แต่ไม่สามารถกลับมา ณ จุดเดิมได้อีก
แพ็คเกจทัวร์และห้องพักของไทย แทบขายให้นักท่องเที่ยวรัสเซียไม่ได้เลย เพราะราคาแพ็คเกจสูงขึ้นเกือบ 3 เท่า เนื่องจากเงินบาทอิงตามค่าเงินดอลลาร์ และราคาขายแพ็คเกจทัวร์และห้องพักต้องอิงราคาต้นทุนตามค่าเงินของประเทศที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางไป
ในปีนั้น หลายๆโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตที่รับนักท่องเที่ยวรัสเซียเป็นหลัก ถ้าไม่อยากให้โรงแรมว่าง ต้องไปหาบริษัททัวร์จีน ขายห้องพักด้วยราคาที่ถูกจนไม่กล้าบอกพนักงาน ส่วนที่พัทยาสถานการณ์ก็แย่ไม่ต่างกัน
ในวันนี้ เรารู้เเล้วว่า การอ่อนค่าของเงินรูเบิ้ลที่เกิดขึ้นนั้น เนื่องจากสหรัฐอเมริกา ปรับลดราคาน้ำมันดิบลงกว่า 50% เพราะต้นทุนการผลิตลดลงอย่างมาก เนื่องจากความสำเร็จในการค้นพบเทคโนโลยีขุดเจาะน้ำมันจากชั้นหิน (เชลล์ออย) และประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเข้าไปแทรกแทรงกิจการภายในของยูเครนมากเกินไป ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐฯที่ก็พยายามยื่นมือเข้าไปในยูเครนเช่นกัน
น้ำมันราคาถูกที่ไหลออกมาจากสหรัฐฯอย่างตั้งใจ เข้ามา Distrupt และกดดันราคาน้ำมันในตลาดโลกให้ต่ำลงทันที
นอกจากรัสเซียเเล้ว ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกน้ำมันดิบและปริโตเลียมคิดเป็น 90% ของรายได้อย่างเวเนซุเอลา ก็ต้องพบกับการสูญเสียรายได้ จนไม่พอจ่ายหนี้ และเกิดวิกฤติค่าเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในเวลาต่อมา
กลุ่มประเทศในตะวันออกกลางซึ่งเป็นกลุ่มผู้ค้าน้ำมันที่รวมตัวกันอย่างแข็งแกร่ง และร่ำรวยด้วยการขายน้ำมันมาอย่างยาวนาน พยายามเจรจากับสหรัฐฯเพื่อแก้ไขสถานการณ์ แต่ไม่เป็นผล แม้แต่ซาอุดิอาระเบียที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯอย่างออกนอกหน้ามาอย่างยาวนาน ก็ไม่ได้หลุดรอดจากวิกฤติครั้งนี้
ผ่านมากว่า 5 ปีเเล้ว ยังไม่มีทีท่าว่า ฝันร้ายของประเทศที่เคยร่ำรวยด้วยน้ำมันจะสิ้นสุดลง หนำซ้ำยังถูกซ้ำเติมด้วย การผงาดขึ้น ของธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ถูกพัฒนามาอย่างยาวนาน
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่แม้จะยังมีราคาสูงกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปที่ใช้พลังงานน้ำมัน แต่ด้วยวิกฤติมลพิษทางอากาศของโลกได้เข้าใกล้จุดวิกฤติแล้วในหลายๆพื้นที่ การลดลงของราคาน้ำมัน จึงไม่ได้ทำให้ชาวโลกตื่นเต้นมากเท่ากับข่าวพัฒนาการของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเเละราคาที่ลดลงตามจำนวนการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จากยอดขายทั่วโลกต่ำกว่า 500,000 คันในปี 2014 ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทุกปี ตอนนี้มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าวิ่งอยู่บนท้องถนนทั่วโลกกว่า 3 ล้านคันเเล้ว
นอกจากถูกเทคโนโลยีการผลิตที่ถูกกว่า Distrupt ธุรกิจน้ำมันปริโตรเลียม ยังถูกธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Distrupt เข้าอีกเต็มเปา
และแน่นอนว่า ธุรกิจรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปก็กำลังเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่เหมือนกัน ไม่ต่างจากตอนที่โนเกียเจอกับการเข้ามาของ Smartphone
ทั้งสองอย่างนี้ต่างส่งผลเสียต่อธุรกิจน้ำมันโลก และต้องพยายามหนีจากภาวะวิกฤตินี้
ADNOC บริษัทน้ำมันแห่งชาติของสหรัฐอาหรับเอมิเรต พยายามผลักดันราคาน้ำมันดิบของประเทศตัวเองให้กลายเป็นราคาพื้นฐานของประเทศในเอเชีย โดยสร้างระบบการจองน้ำมันดิบล่วงหน้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมา ทำให้สามารถรู้ราคาน้ำมันล่วงหน้าในวันที่จองได้เลยและราคาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงเวลาส่งมอบน้ำมัน จากเมื่อก่อนการซื้อขายน้ำมันนั้น ต้องทำล่วงหน้าอย่างน้อยสองเดือนและจะรู้ราคาแน่นอนในวันส่งมอบน้ำมันเท่านั้น
ถ้าระบบนี้ใช้ได้จริงเมื่อไหร่ แน่นอนว่า ใครๆก็อยากมาซื้อน้ำมันจากสหรัฐอาหรับเอมิเรต เพราะไม่ต้องรับความเสี่ยงส่วนต่างราคาน้ำมัน ที่อาจเปลี่ยนแปลง เมื่อตอนรับมอบน้ำมัน
บริษัท Saudi Aramco บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดิอาระเบียทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น คือการออกมา IPO ขายหุ้นเพื่อนำเงินไปขยายธุรกิจในด้านอื่น แต่ล่าสุดมูลค่าหุ้นลดลง 1.7% ต้องดูกันยาวๆว่าแผนการขยายธุรกิจของซาอุจะประสบผลสำเร็จหรือไม่
ฟากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ ซึ่งเป็นกองทุนที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก คือกว่า 1 ล้านล้านบาท เมื่อปีที่แล้วนี้ก็ประกาศชัดเจนว่า จะลดการลงทุนในบริษัทผู้สำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยจะขายหุ้นมูลค่ากว่า 7,500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐหรือราว 6%ของหุ้นทั้งหมดในกองทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงของกองทุน เนื่องจากเห็นว่าราคาน้ำมันจะลดลงอย่างถาวร
ดูเหมือนว่า ในหลายๆประเทศ ได้ประกาศจุดยืนในการหันหลังให้น้ำมันอย่างชัดเจน รวมถึงการหันมาสนับสนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือแม้แต่พลังงานไฮโดรเจน แล้วแต่นโยบายของแต่ละประเทศ แม้จะมีการใช้อยู่ทุกวัน แต่น้ำมันได้ถูกกล่าวคำ “อำลา” ล่วงหน้าไปเรียบร้อยเเล้ว
ประเทศไทยก็ตื่นเต้นกับเทรนด์นี้ รัฐบาลประกาศผลักดันให้ไทยเป็น “ฮับ” รถยนต์พลังานไฟฟ้า และมีการคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะมีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าวิ่งอยู่บนถนน จำนวน 1 ล้านคันภายในปี 2036 ซึ่งก็คือ 16 ปีข้างหน้านั่นเอง
ถ้าดูจากสภาพอากาศกรุงเทพเช้านี้ รู้สึกว่า
16 ปี จะช้าเกินไปหรือเปล่านะ ...
โฆษณา