6 ม.ค. 2020 เวลา 18:53
เรื่องสั้น-จตุรทูต-
เสียงไซเรนร้องครางเสียดหู ชวนหดหู่แก่ผู้ได้ยิน
เด็กชายลิงยืนเหม่อหน้าโรงพยาบาล มองไปรอบด้วยแววตาเลื่อนลอย เด็กชายลิงไม่ได้ป่วยไข้ ไม่มีญาติให้เยี่ยม บิดามารดาหรือเครือญาติก็ไม่ได้ทำงานอยู่ในโรงพยาบาล แต่เขาจำเป็นต้องมา
...เพราะสอบตกวิชาพุทธศาสนา!
‘เธอไปที่โรงพยาบาล เห็นอะไรก็เขียนรายงานมาส่ง ไมงั้นไม่ต้องเลื่อนชั้น!’ ครูประกาศิต หลังเห็นผลสอบอันไม่น่ารื่นรมย์ เย็นนี้เด็กชายลิงจึงเปลี่ยนทิศ จากโรงเรียนเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลตามคำสั่ง
“หลบหน่อยน้อง” เจ้าหน้าที่รายหนึ่งแข็งเสียงใส่ขณะเข็นคนป่วยเข้าไปด้านใน เด็กชายลิงเบี่ยงตัวอย่างงุนงง สภาพโกลาหลขนาดย่อมทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี
ไม่นานก็มีพ่อแม่อุ้มเด็กน้อยเดินผ่านหน้าเด็กชายลิงไป เขามองตามสายใยรักผ่านรอยยิ้มเคล้าเสียงหัวเราะ เด็กชายลิงจำได้ พ่อแม่คู่นั้นหาใช่สามี-ภรรยาแท้จริงไม่ รู้เพียงฝ่ายหนึ่งคือชู้ แต่ไม่รู้ใครชู้ใคร เด็กชายลิงจำมาจากคำครหาซุบซิบนินทาโดยคนในละแวก
แต่ทารกในอ้อมอก ‘เกิด’ ขึ้นแล้ว เด็กน้อยจะรู้สึกอย่างไรหากทราบเหตุแท้จริง ใครจะเลี้ยงดูทารก ด้วยเด็กชายลิงทราบพื้นหลังของคู่รัก ทั้งสองฝ่ายต่างหนี้ท่วมหัว ฝ่ายชายติดพนัน ฝ่ายหญิงก็หว่านเสน่ห์ไปทั่ว ชะตาของทารกแรกไออุ่นจะดำเนินไปทิศทางใด เด็กชายลิงยังเล็กเกินตอบคำถาม
“หนูเอ้ย ห้องน้ำไปทางไหน?” ชายชราผู้หนึ่ง เดินสามขาด้วยไม้เท้าช่วยพยุงเข้ามาถามเด็กชายลิง เด็กชายลิงหันดูป้ายรอบตัว ค่อยชี้นิ้วบอกทาง ชายชราไม่กล่าวขอบคุณ พยายามเร่งเดินไปทางห้องน้ำ ท่าทางของแกดูขัดตา ยิ่งเร่งยิ่งเชื่องช้า เดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดลง ดลให้เด็กชายลิงหยุดสายตาตาม
ทันใด,ชายชราก็ปัสสาวะราดรดขาตนเอง เป้ากางเกงเปียกชุ่ม ย้อยลงทางขาจรดพื้นเป็นหย่อมดวง ขยายวงกว้างตามปริมาณ ร้อนจนผู้คนปลีกหนีกันให้วุ่น พยาบาลสาวถึงกับเอ็ดด่าเสียงดัง ก่อนฉุดลากประคองชายชราหายเข้าห้องน้ำไป
ขนาดแค่กลั้นปัสสาวะ ความ ‘แก่’ ยังไม่สามารถควบคุมเรื่องง่ายๆ เอาไว้ได้
เสียงไซเรนชำแรกขึ้นอีก ทุกคนต่างหันมองรถพยาบาลที่ปาดเลี้ยวเข้ามาแบบหุนหันพลันแล่น หลังรถเปิดอ้าในพลัน เตียงคนไข้แบบมีล้อด่วนเข้าประชิดท้ายรถ ในทันทีทันใด เจ้าหน้าที่ภายในก็หอบร่างอันคุดคู้ลงบนเตียง หยดเลือดตามร่างกายย้อมร่างเกือบเป็นสีแดงทั่วร่าง แว่วเสียง ‘เจ็บ’ โอดโอยเล่นเอาเด็กชายลิงลนลาน เขาไม่ต้องการตกอยู่ในสภาพเดียวกับร่างบนเตียง ทว่าการไอแต่ละครั้งของร่างนั้น เป็นต้องมีเลือดสาดกระเซ็นออกมา
“หนูก็บอกพ่อแล้วว่าอย่าสูบ ก็ไม่เชื่อหนู” สาววัยใสหน้าตาบูดบึ้งกอปรตื่นกลัวระคนอยู่บนใบหน้า เด็กชายลิงพลอยตาตื่นเมื่อยลสาวผู้นั้น เธอคือคนรักในห้วงคำนึงของเด็กชายลิง ถึงแม้นเธอจะแก่กว่า ใช่เป็นอุปสรรคต่อจินตนาการของเด็กชายลิง ในยามพบหน้าเด็กชายลิงไม่กล้าพูดคุย ขลาดเขลา หรือสืบเนื่องจากเธอก็สูบบุหรี่เช่นเดียวกับพ่อของเธอ ต้นเหตุของการเจ็บไข้ได้ป่วยที่ตัวเธอเองก็ทราบไม่ด้อยไปกว่าเด็กชายลิง
เตียงคนไข้พาร่างของพ่อสาววัยใสเข้าไป สวนกับอีกเตียงที่กำลังเข็นออกมา คราวนี้เด็กชายลิงไม่สามารถมองเห็นร่างบนเตียง เพราะทั่วร่างล้วนถูกคลุมด้วยผ้ามิดชิด ตามติดด้วยเสียงร่ำไห้ระงมจากเหล่าเครือญาติด้านหลัง ที่กำลังทยอยเดินตามเตียงคลุมผ้านั้นเป็นขบวน
เด็กชายลิงเห็นธูปหนึ่งก้าน ควันสีเทาล่องลอยเอื่อยเนือย กลิ่นคละคลุ้งชวนสังเวช
เด็กชายลิงพลางหันหลัง ก้าวเดินออกนอกโรงพยาบาล หยิบสมุดขึ้นจดขณะก้าวออกไป ...เขาได้เห็นตามที่ตัวเองต้องการเห็นครบแล้ว?
หนึ่งวันถัดมา.....
“อื้อ ใช้ได้” คำพูดของครูอันมีต่อรายงานของเด็กชายลิง ตรวจเสร็จครูกล่าวต่อ “มีอย่างที่ไหนเอาหลักกาลามสูตรมาอ้างว่าไม่ต้องเชื่อจึงไม่ต้องเรียน” ประโยคหลังคือคำต่อว่าเด็กชายลิง สาเหตุทั้งหมดมาจากการตีความของเขาเพียงผู้เดียว จนก้าวเดินไปโดยเอกเทศ ไม่สนคำทัดทานกระทั่งหวุดหวิดไม่ได้เลื่อนชั้นตามเกณฑ์
เด็กชายลิงพนมมือคิดจากลาไปเล่นปีนต้นไม้ต่อ
“แสดงว่าเธอก็เห็นในสิ่งที่คนผู้หนึ่งเห็น” ครูวางปฏิทินลงบนโต๊ะ สายตาของทั่งคู่จับจ้องมอง บนปฏิทินมีรูปชายผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์
“ครับ” เด็กชายลิงรับสั้นๆ
“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ครูไม่ได้พูด แต่คนผู้หนึ่งพูด” ทั้งสองมองปฏิทินพร้อมเพรียงกัน
พยักหน้า... เด็กชายลิงได้แต่พยักหน้า ก่อนเดินออกจากห้องพักครู
ครูเก็บปฏิทิน ปกรายงานของเด็กชายลิงเขียนอ่านออกได้ว่า
‘โรงพยาบาลทำให้ผมเห็นเทวทูตทั้งสี่’
หมายเหตุ-ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี มิใช่พุทธศาสนาเพียงศาสนาเดียว ขอบคุณครับ
โฆษณา