เรื่องสั้นชุด "ชีวิตต่างแดน" ตอน "Goodbye...Adios...ลาก่อน(เด้อ)"
หลังจากที่ผมได้มาอยู่ที่ศูนย์สถานควบคุมกักกันแห่งบัฟฟาโล (Buffalo Federal Detention Facility) หรือ BFDF ได้ 3 สัปดาห์
ผมก็ได้รับหมายนัดจากศาล ให้ไปขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดีในวันอังคารหน้า นับวันแล้วก็อีกประมาณ 1 อาทิตย์
เรื่องคดี ผมก็ได้พบและคุยกับทนายแอนน์ ในเรื่องแนวทาง รายละเอียดต่าง ๆ
ที่ยื่นร้องขอต่อศาลพิจารณาคดีคนเข้าเมือง (Immigration Court) แล้ว
สรุปโดยย่อ คือ
1. ผมขอสมัครใจกลับประเทศตนเอง โดยใช้เงินส่วนตัวซื้อตั๋วโดยสารเอง และมีเอกสารการซื้อตั๋วเครื่องบินยื่นแสดงต่อศาลด้วย ซึ่งลงวันที่ถัดไปจากวันขึ้นศาล 36 วัน
2. ดังนั้น ระหว่าง 36 วัน หลังจากขึ้นศาลแล้วนั้น ร้องขอต่อศาลว่า ขออยู่ในประเทศอเมริกาต่อไป (อยู่ภายนอกศูนย์ฯเหมือนคนปกติ) จนกว่าจะถึงวันกำหนดบินออกจากประเทศ
ฟังดูก็ง่าย ๆ ไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อน แต่ผมกับทนายแอนน์ ก็กังวลใจในเรื่องของเงินค้ำประกัน (Bond) นิดหน่อย ว่าศาลอาจจะกำหนดในจำนวนที่มากเกินไป
จนทำให้บุคคลภายนอกที่จะมาวางเงินประกันให้นั้นลำบากใจ
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจตัดสินในกรณีนี้
ซึ่งก็คือ Immigration Court นั่นเอง
เช้าวันอังคารนั้น ผมอยู่ที่ประตูห้อง รอ จนท.DO เดินสายมารับ พร้อมกับวิลสัน หนุ่มล่ำจากฮอนดูรัส ซึ่งทราบว่า เป็นการขึ้นศาลนัดที่ 3 ของเขาแล้ว
ทำไมต้องไปศาลมากมาย ซ้ำซากอย่างนั้นสำหรับบางคน
อธิบายคร่าวๆ เข้าใจง่ายๆ แบบชาวบ้านๆ จะได้ความว่า
ร้องขออยากอยู่ต่อที่อเมริกาต่อไป ศาลก็บอกว่า ”ก็ได้” แต่ต้องมีเงินค้ำประกันเท่านั้นเท่านี้
ก็ต่อรองกับศาลอีกว่า เยอะเกินไป ไม่มีเงินจ่าย
พอไม่มีเงินจ่าย ศาลก็จะส่งตัวกลับประเทศ
ก็ต่อรองศาลลดเงินค้ำประกันลงอีก ศาลเห็นใจก็ลดให้
พอลดให้ก็ยังไม่มีเงินจ่าย ขอเวลาสักระยะให้ญาติหาเงินก่อน ขอศาลอย่าเพิ่งส่งกลับนะ เพราะกลับไปก็เหมือนกลับไปจน กลับไปว่างงาน ไร้อนาคต ศาลก็ปรานีให้โอกาส จึงทำให้การขึ้นศาลไม่จบลงที่นัดเดียว
เรื่องราวมันก็จะออกมาประมาณนี้แหละ !!
อาจจะมีอีกหลายกรณี ที่รายละเอียดแต่งต่างออกไปบ้าง เช่น
ไอ้นาร์ เดเน่ อยู่ที่นี่มา 1 ปีกับ 4 เดือน จนมันจำไม่ได้ว่าขึ้นศาลไปกี่นัด
ครูซ หนุ่มน้อยกัวเตมาลา อยู่มา 11 เดือน ก็ขึ้นศาลไปไม่ต่ำกว่า 3-4 นัด และยังไม่ตัดสินว่าอย่างไร
แต่ทั้งหมดที่ผมสัมผัสได้ก็คือ
Immigration Court ค่อนข้างยืดหยุ่น โอนอ่อนผ่อนตาม พิจารณาให้ความเป็นธรรม โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของมนุษย์ได้อย่างน่าชมเชย
เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด เผ่าพันธุ์ใด
ควรมีสิทธิ์ของความเป็นคนเท่าเทียมกัน !!
จนท.DO เดินสาย นำผมกับ
วิลสันมาส่งที่ห้องๆหนึ่ง
ซึ่งเป็นห้องพักสำหรับนั่งรอการขึ้นศาล มีสมาชิกจากห้องอื่นมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว 3 คน
วิลสันถือวิสาสะเข้าไปทักทายเพื่อนแปลกหน้าด้วยภาษาสแปนิช และก็ไม่ผิดหวัง ภาษาสแปนิชก็ตอบกลับมาแบบไฟแลบ
มีข้อมูลบอกว่า Immigration Court ที่ศูนย์ฯแห่งนี้ มีห้องพิจารณาคดีอยู่ 2 ห้อง
ซึ่งก็น่าจะเพียงพอต่อคดีคนเข้าเมืองที่เกิดขึ้น
ผมรออยู่ได้ประมาณ 20 นาที เจ้าหน้าที่ก็มาเรียกตัวไปขึ้นศาล
และก็เหมือนกับที่นึกภาพเอาไว้ เป็นห้องพิจารณาคดีเล็กๆ กะทัดรัด มีม้านั่งยาวสำหรับผู้ที่เข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีอยู่ 2 แถว แต่เมื่อเป็นศาลที่พิจารณาคดีเกี่ยวกับคนเข้าเมืองโดยเฉพาะ จึงไม่มีบุคคลภายนอกมาร่วมเข้าฟังในห้องด้วย ยกเว้นญาติ หรือเพื่อนของจำเลย ซึ่งหากจะเข้าร่วมฟังจริง ก็ต้องขออนุญาตล่วงหน้า
ในกรณีของผมนั้น ไม่มีใครมาร่วมฟังด้วย
แต่ผมสังเกตเห็นผู้หญิงอายุวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น
สุดท้าย ก็นั่งลงตรงม้านั่งยาวสำหรับผู้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดี
ผมไม่มีหน้าที่ไปถามว่า เธอเป็นใคร? แต่เดาว่า เธอคงเป็นสื่อมวลชนท้องถิ่น หรืออาสาสมัครทำงานในองค์กรการกุศลอะไรสักแห่ง
หรือองค์กรสิทธิมนุษยชนของเมืองนั้น ก็เป็นได้
ทนายแอนน์ ไปรอผมอยู่หน้าบัลลังก์ก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่ง
ข้างทนายแอนน์ทางฝั่งซ้าย เป็นอัยการ หรือทนายความของรัฐ
ตรงกลางบัลลังก์ ผู้พิพากษาได้นั่งอยู่ก่อนแล้ว
ผมเข้าใจว่า ผู้พิพากษาเมื่อเสร็จแต่ละคดีแล้ว ถ้าไม่ได้ปวดหนัก ปวดเบา หรือมีเหตุจำเป็นอื่นใด ก็คงนั่งอยู่บัลลังก์เพื่อพิจารณาคดีต่อๆไป และไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดคดีที่นัดหมาย ในแต่ละช่วง
ด้านขวามือของผู้พิพากษา มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงทำหน้าที่จดบันทึกอยู่ 1 คน
ความรู้สึกผมก่อนหน้าที่จะเดินเข้ามาในศาลนั้น
รู้สึกตื่นเต้น และกังวลอยู่บ้างตามสมควร แต่พอมาเห็นบรรยากาศของศาลจริงๆ แล้ว
มันกลับทำให้ผมรู้สึกสบายๆ ดูกะทัดรัด ดูอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แล้วผู้พิพากษาก็เปิดฉากพูดเกริ่นนำเรื่องทั่วๆ ไปว่า
นี่คือ การพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับคนเข้าเมือง ตามกฎหมายคนเข้าเมืองประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วก็ทวนความจำโดยการขานชื่อผม ซึ่งเป็นจำเลยผู้ทำผิดในคดีนี้
และสรุปโดยถามว่า ผมต้องการใช้ล่ามแปลภาษาหรือไม่?
“Yes, please.” ผมตอบรับ
แล้วผู้พิพากษาก็กดต่อสายไปยังศูนย์แปลภาษา ว่าต้องการล่ามแปลภาษาไทย และทุกคนก็เงียบ รอการตอบกลับมา
ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายๆ เมื่อเดินเข้ามาในศาลครั้งแรกนั้น สูญสลายไปจนหมดสิ้น !!
เพราะรอการตอบกลับมาของล่ามนานมาก !!
นานจนรู้สึกอึดอัด
อึดอัดจนผมเกิดอาการวิตกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
กูจะจบไหมวะวันนี้ หรือจะต้องมาขึ้นนัดหน้าอีก
ล่ามมันไปไหนหมดวะ? เคยใช้ก็หลายครั้ง ไม่เห็นมันจะรอนานขนาดนี้ !!
ผมแอบสังเกตสีหน้าของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา เลขาผู้ช่วยจดบันทึก อัยการ หรือแม้แต่ทนายแอนน์ ต่างก็รู้สึกอึดอัดในความเงียบที่ปกคลุมอยู่ในห้อง
ประมาณสัก 10 นาทีได้ จึงมีเสียงตอบกลับมาตามสายว่า พร้อมแล้ว !!
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก !!
10 นาทีครั้งนี้ เหมือน 10 ชั่วโมงเหลือเกิน
นานมาก...จนยากที่จะบอกให้รับรู้ได้
แล้วอะไรที่รอนานๆ ก็ตอบสนองการรอของเราอย่างคุ้มค่า !!
ผมใช้คำว่า เธอแปลได้น่าผิดหวังอลังการมาก !!
เอ้อ...เอ้อ...อ้า...อ้า...ตลอดเวลา พูดภาษาไทยไม่ชัดก็ยังพอเข้าใจได้ แต่พูดผิดความหมายเนี่ย ไม่โอเคเลยนะ
ผมบอกเสมอว่า ผมไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษเลย พอพูดได้ ฟังได้ ประมาณหนึ่งเท่านั้น
ผู้พิพากษาก็ใจดี และใจเย็นมาก พยายามพูดช้าๆ ชัดๆ เพื่อง่ายต่อความเข้าใจและการแปล บางประโยคที่ศาลพูด ผมก็เข้าใจ แต่น้องหมวย ล่ามผู้แปลไทยสำเนียงจีนคนนี้ กลับแปลให้ฟังแบบงง ๆ !!
ทั้งๆ ที่ผมก็คิดว่า ผมเข้าใจแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อความสำคัญไม่ตกหล่น ผมก็ไม่ติดใจอะไร
และข้อความสำคัญเหล่านั้น ผู้พิพากษาท่านนี้ ก็ได้พูดย้ำอีกครั้ง เพื่อให้เราเข้าใจ
อย่างถ่องแท้และชัดเจน
1. ศาลอนุญาตให้ท่านอยู่ในประเทศนี้ได้ นับจากวันนี้ไปอีก 60 วัน และหากท่านออกจากประเทศหลังกำหนดนี้ จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมายคนเข้าเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา
สรุปคือ เราขออยู่ต่อแค่ 36 วัน แต่ศาลอนุญาตให้ 60 วันไปเลย ซึ่งเป็นการให้เวลา
เผื่อไว้ สำหรับกรณีฉุกเฉิน หรืออาจจะมีการเลื่อนการเดินทาง หรือศาลอาจจะล่วงรู้ว่า
บางคนนั้น มันมีอะไรซ่อนเร้นไว้ จึงให้โอกาสสั่งเสียลูกเมียทางนี้ เป็นวาระสุดท้าย
2. เมื่อแสดงความจำนงและสมัครใจที่จะกลับประเทศโดยออกค่าใช้จ่ายเอง ศาลจะถือว่า การกระทำผิดกฎหมายคนเข้าเมืองให้ยกเลิกไป โดยจะไม่มีการบันทึกว่าได้กระทำความผิดมาก่อนหน้านี้ หรือมี Blacklist แต่อย่างใด
ดังนั้น หากจำเลยในครั้งนี้ ต้องการที่จะกลับมาที่ประเทศนี้อีก ก็สามารถยื่นความจำนง
ขอวีซ่าที่สถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทยได้ ซึ่งก็ให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบการพิจารณาอนุมัติตามปกติทั่วไป
ซึ่งอันนี้ จะแตกต่างจากโรบินฮู้ดที่มีสถานะอยู่เกินกำหนด แต่ไม่โดน จนท.ICE จับกุม และเมื่อเดินทางถึงประเทศตนเอง จะถูกบันทึกว่า ได้กระทำความผิดและขึ้นบัญชีแบล็คลิสต์ห้ามเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป หรืออาจจะมีการระบุระยะเวลาการปลดแบล็คลิสต์ไว้ 5 ปี หรือ 10 ปี แล้วแต่กรณี
3. ศาลกำหนดให้ต้องวางเงินประกันจำนวน 5,000 ยูเอส ดอลลาร์ และให้ผู้ที่เป็นพลเมืองอเมริกัน (American Citizen) ค้ำประกันจำนวน 2 คน ส่วนเงินประกัน จะคืนให้เมื่อจำเลยในคดีครั้งนี้ ได้เดินทางถึงประเทศไทย และไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองอเมริกัน ประจำประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว
“Goodluck” ผู้พิพากษาใจดีตบท้ายให้ผม แถมด้วยรอยยิ้ม
“Thank you, Sir.” ผมกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม
ผมหันมาจับมือและขอบคุณทนายแอนน์ที่อยู่ข้าง ๆ
ทนายแอนน์ก็แสดงความยินดี ยิ้มให้ พร้อมทั้งกล่าวลา
ผมบอกเธอไปว่า พรุ่งนี้ ถึงจะมีคนมาวางเงินประกันและรับตัวผมออกไป
เธอบอกว่า ไม่มีปัญหา ทุกอย่างเสร็จสิ้นลงด้วยดีแล้ว
ผมขอบคุณ และกล่าวลาเธออีกครั้ง
วันนี้ เธอสวยกว่าทนายอาสาสมัครที่ผมหลงใหลได้ปลื้มคนนั้นเป็นไหน ๆ !!
ผมกลับมาที่ห้องพักสำหรับรอการขึ้นศาลอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อรอให้จนท.DO เดินสายมารับกลับ
เห็นวิลสันยังนั่งอยู่ในห้องเหมือนเดิม ได้ความว่า ยังไม่ถึงคิวของเขาเลย เขาถามถึงผลคดีของผม ผมก็เลยเล่าให้ฟัง
“โอ้ว...5,000 ดอลลาร์
เหรอ ดีมากเลยอ่ะ ยินดีด้วยนะ ไมค์”
“ขอบคุณนะ...ฉันหวังว่านายก็จะโชคดีเช่นเดียวกัน” ผมพูดให้กำลังใจเขา
“ไม่รู้สิ ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” วิลสันพูดด้วยเสียงเศร้านิดๆ เหมือนพอจะคาดการณ์คำตัดสินคดีของเขาได้ เนื่องจากครั้งนี้ เป็นการขึ้นศาลนัดที่ 3 ของเขาแล้ว
ผมกลับมาที่ห้องก่อน ในขณะที่วิลสันยังไม่เสร็จภารกิจและยังไม่กลับมา
มูซ่าและเพื่อนอีก 2-3 คน เข้ามาถามถึงผลการตัดสินคดี
ทุกคนต่างแสดงความยินดีด้วย เมื่อผมแจ้งให้ทราบ
ผมบอกทุกคนว่า วันนี้ผมจะยังอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้ ถึงจะได้ออกไป ด้วยเหตุผลของความสะดวกเรื่องการวางเงินประกัน พร้อมทั้งการเดินทางมารับของทีมงาน
ผมขอตัวจากวงสนทนาเพื่อไปเข้าห้องน้ำ
พอดีเดินผ่านเตียงลุงจากเม็กซิโกคนหนึ่ง ผมเคยคุยกับแก 2-3 ครั้ง แกพอจำชื่อผมได้ ก็เลยทักทาย
“เฮ้..ไมค์ ได้ข่าวว่าคุณขึ้นศาลวันนี้ เป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ก็โอเคครับ ศาลให้ประกัน 5,000 ดอลลาร์ และผมจะออกจากที่นี่พรุ่งนี้”
“โอ..กู๊ด...ยินดีด้วยนะ”
“ขอบคุณนะครับ แล้วของคุณล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง” ผมถามกลับไปบ้าง เพราะเห็นแกก็อยู่มานานประมาณนึงแล้ว แต่ยังไม่ได้ออกไปสักที
แกก็เลยเล่าให้ฟังว่า
ตัวแกนั้นก็อายุ 60 ปีแล้ว และมาอยู่ที่ศูนย์ฯนี้ได้ 3 เดือน โดน จนท.ICE จับกุมที่เมืองไมอามี่ รัฐฟลอริด้า
ที่ต้องส่งตัวมาไกลหลือเกินที่รัฐนิวยอร์คนี่ เข้าใจว่าศูนย์ฯทางโน้นอาจจะแออัดเกินไป
เนื่องจากรัฐฟลอริด้า มีผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายอยู่มาก เพราะมีพรมแดนไม่ห่างไกลจากคิวบา และกลุ่มประเทศแถบทะเลแคริบเบียนมากนัก แม้จะมีน้ำทะเลคั่นอยู่ก็ตาม
แกถูกจับพร้อมกับเมีย และเมียก็ถูกส่งมาอยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่อยู่คนละ Unit
แกมีลูกอยู่ที่อเมริกาด้วย แถมมีหลานอีกตั้ง 3 คน
แน่นอนว่า คนรุ่นลูก รุ่นหลานที่เกิดที่นี่ ก็จะได้ American Citizen โดยการกำเนิด
แต่ส่วนตัวของแกและเมีย ก็ไม่เกี่ยวกัน ยังคงสถานะผิดกฏหมายคนเข้าเมืองเช่นเดิม
ลูกแกก็คงพยายามแอพพลาย กรีนการ์ดให้พ่อแม่อยู่เหมือนกัน แต่คงยังไม่เรียบร้อย เพราะต้องใช้เวลา ใช้เงินอยู่พอสมควร
แกบอกว่า ศาลตัดสินกำหนดเงินประกันให้แล้ว
คือ แกและเมีย คนละ 2,500 ดอลลาร์ รวม 2 คนเป็นเงิน 5,000 ดอลลาร์ และที่ยังอยู่ในตอนนี้ เพราะรอเงินจากลูกอยู่ ซึ่งคาดว่าจะได้อาทิตย์หน้า และคงจะได้ออกจากที่นี่ไป
ศูนย์ฯอนุโลมให้ใช้วิธีวางเงินประกันโดยใช้ Money Order (ลักษณะเหมือนธณาณัติ หรือตั๋วสั่งจ่ายเงิน)
“อ้าว...งั้นก็ไม่มีใครมารับสิ แล้วจะกลับยังไง?” ผมถามขึ้นด้วยอาการงง ๆ
“ก็นั่งรถโดยสาร Greyhound” ลุงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แกอธิบายเพิ่มเติมว่า ใช้เวลาประมาณ 2 วัน กว่าจะถึง
ไมอามี่ แต่ก็ไม่เป็นไร
สบาย ๆ
อืม...แกพูดไป หัวเราะไป ช่างเป็นเพชรฆาตความเครียดจริง ๆ
“ขอให้โชคดีนะครับ”
“ขอบคุณนะ ไมค์”
ผมจับมือกับลุงเม็กซิโกด้วยรอยยิ้ม แม้เวลารู้จักกันจะน้อยนิด
แต่มิตรภาพ...ก็มีคุณค่าของมันเสมอ
วิลสันกลับมาที่ห้อง หลังจากเวลาผ่านไปราว 1 ชั่วโมง
หลังจากทักทาย พูดคุยกับเหล่าผองเพื่อนที่ชั้นล่างพอสมควร วิลสันก็ขึ้นมาที่ชั้นบน ตรงดิ่งมาที่ฐานบัญชาการเตียงของพวกเรา
แน่นอนว่า เอลเกนโญ เพื่อนสุดที่รักของเขาก็อยู่ที่นี่
เขาสปีคสแปนิชอยู่หลายประโยคกับเอลเกนโญ
โดยพวกผม นังผิน ซิลวาโน ได้แต่ฟังตาปริบๆ แบบไม่รู้เรื่อง
“What’s up? Wilson.” นังผินเอ่ยปากถามขึ้น เมื่อมีช่องว่าง
“Bad news, I was deported.” เสียงวิลสันตอบเศร้า ๆ
นั่นหมายความว่า เขาถูกตัดสินให้ส่งตัวกลับประเทศตนเอง หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า “เนรเทศ” นั่นแหละ !!
ในกรณีของวิลสัน ก็จะคล้ายๆกับชาว Hispanic หลายๆ ราย ที่ศาลกำหนดวงเงินประกันค่อนข้างสูง ประมาณ 10,000-15,000 ดอลลาร์ ที่เป็นอย่างนี้เพราะ หลายๆ คนเหล่านั้นมีข้อหาเรื่องใบขับขี่พ่วงด้วย
แล้วเมื่อไม่มีเงินมาวางประกัน ศาลก็ต้องเนรเทศตามกระบวนการ
“So..what’s your plan?” ผมถามขึ้นบ้าง
“I’ll be back !!” วิลสันตอบแบบไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย !!
อืม...พูดคำเดียวกับ Arnold Schwarzenegger ในหนัง The Terminator เลย !!
แม้ความสูงและความล่ำจะไม่ใกล้เคียง แต่ใจมันได้ว่ะ !!
หลังดินเนอร์
ผมเช็คของที่ล็อคเกอร์ปลายเตียง โอ้ว...ยังมีธนาคาร
แอปเปิ้ลอยู่ 4 ลูก นมอีก 2 กล่อง
ผมบอกให้เอลเกนโญมาเอาไปแจกจ่ายเพื่อนๆ ยังเติร์ก
นังผินชะโงกหน้ามาจากเตียงบน ขอครีมอาบน้ำ
กางเกงขาสั้นและเสื้อยืด ผมเอาให้ซิลวาโนอย่างละตัว
ส่วนอย่างอื่นจุกๆ จิกๆ ผมให้เพื่อนๆของเอลเกนโญมาเลือกเอาเลย ทั้งแก้วน้ำ แก้วกาแฟ วาสลีนทาผิว ฯลฯ
คืนนี้ คงจะเป็นคืนที่ผมหลับสนิทและสบายใจกว่า
ครั้งไหน ๆ
30 วัน ที่ผมดำรงอยู่ที่นี่ แม้จะนอนหลับได้เป็นปกติทุกคืน
แต่คืนนี้...ยังไงก็ต้องแตกต่างกว่าคืนที่ผ่านมา
เพราะเมื่อลืมตาอีกครั้ง...ผมจะพบกับอิสรภาพ !!
ในโต๊ะของอาหารเช้า
ผมบอกลาหนุ่มใหญ่ที่เงียบขรึมจากจาไมกา ผู้ซึ่งเป็นคู่ค้าคนสำคัญของผม
จากการแลกเปลี่ยนระหว่าง ขนมปังกับแอปเปิ้ลกันเสมอมา
เขาอวยพรให้ผมโชคดี
และผมก็อวยพรให้เขาโชคดีและออกจากที่นี่เร็วๆ เช่นกัน
ประมาณ 10 โมงเช้า ของวันนั้น
“Three Three Two…Pack Up…Get out of here !!!”
เสียง จนท.DO ประจำห้อง ดังกังวานชัดเจนในหูของผม
คลื่นเสียงนั้น ลอยวน อบอวลด้วยกลิ่นของเสรีภาพจนสัมผัสได้
ที่ฐานบัญชาการเตียงของผม เต็มไปด้วยสมาชิกมากหน้าหลายตา ทุกคนช่วยกันเก็บสัมภาระต่างๆ ที่ต้องคืนแก่ศูนย์ฯไป
ปลอกหมอน ผ้าห่ม เสื้อแจ็คเก็ต ยัดใส่ลงในผ้าปูที่นอน
และผูกเป็นถุงผ้าสำหรับสะพายไหล่ตามแบบฉบับประเพณีของที่นี่
แล้วผู้สะพายถุงส่งแขก ก็เป็นแขกซาอุฯอย่างมูซ่า นั่นเอง !!
ผมสวมกอดร่ำลากับทุกคนที่ชั้นสอง
“Don’t forget me, Mike.” เอลเกนโญ ตีหน้าเศร้า พูดเสียงอ่อย
“I’m gonna miss you, Mike.” นังผินก็ผสมโรง
“Goodluck...see you Mike.” ซิลวาโนพ่นสำเนียงเหน่อเป็นครั้งสุดท้าย
มูซ่า สะพายถุงผ้าเดินตามผมลงมาที่ชั้นล่าง
มองมุมหนึ่ง เหมือนเด็กวัดสะพายย่ามเดินตามพระยังไงยังงั้นเลย !!
เมื่อจนท.DO เปิดประตูห้องเข้ามาเพื่อรับตัว
ผมกับมูซ่า สวมกอดกันอีกครั้ง ต่างคนต่างอวยพรให้กันและกันโชคดี และหวังว่า เราจะมีโอกาสได้พบกันอีก
เสียงปรบมือดังขึ้นกึกก้อง
เหมือนทุกๆ ครั้งที่มีคนจากไป
ผมหันมาโบกมือให้กับทุกคนในห้อง ราวกับนางงามได้มงกุฎ !!
พยายามกวาดสายตาไปทั้งชั้นบนและชั้นล่าง
โดยเฉพาะที่ฐานบัญชาการเตียงของตัวเอง
แม้สายตาตอนนั้นของผมจะพร่ามัวไปชั่วขณะ จนมองเห็นใครไม่ชัดเจนสักคน
แต่ผมก็พอจะรู้ว่า ทุกๆ คนดีใจที่ได้ส่งเพื่อน
และก็หวังว่า...วันเวลาของตนเองจะมาถึงบ้าง ในวันหนึ่ง
และวันนั้น...เสียงปรบมืออันกึกก้อง ก็จะดังขึ้นเพื่อเขาเช่นเดียวกัน !!
Goodbye กู๊ดบาย
Adios อาดิโอส
ลาก่อน........เด้อ...!!
@@@@@@@@@@
## จบซีรีส์ ชุด "ชีวิตต่างแดน"
แล้วคอยพบซีรีส์ชุดใหม่ในโอกาสหน้า ขอบคุณครับ ##
โฆษณา