7 ม.ค. 2020 เวลา 17:03 • กีฬา
จากวันแรกถึงวันออกศึก....ทีมชาติไทย ‘U23’ !!!
วงการฟุตบอลไทยได้ต้อนรับปีใหม่ด้วยทัวนาเมนต์ระดับเอเชียใน "ฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปีชิงแชมป์เอเชีย 2020" หรือที่เรียกชื่อเต็มๆอย่างเป็นทางการว่า "AFC U23 Championship Thailand 2020"
นี่คือทัวนาเมนต์ที่ไม่ใช่แค่เกมระดับชิงแชมป์แห่งทวีป แต่ยังเป็นเกมที่จะคัดเลือกตัวแทนเอเชียไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิก "โตเกียวเกมส์ 2020" ที่ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
ทวีปเอเชียได้โควต้า "3 ทีม" ไม่รวม "ญี่ปุ่น" ที่ได้สิทธิ์แข่งขันรอบสุดท้ายในฐานะ "เจ้าภาพโอลิมปิก" อยู่แล้ว ตรงนี้จึงทำให้หลายชาติในเอเชียคาดหว่างที่จะได้ตั๋วไปโตเกียว แน่นอนว่า "ประเทศไทย" คือ 1 ในชาติที่มีความหวังไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ "สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ" ภายใต้การนำนาวาของ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯจึงหวังแผนเอาไว้สุดหรูตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆว่าต้องลุ้นพาทีมฟุตบอลไทยไปโอลิมปิกอีกครั้งให้ได้ หลังนักเตะไทยเคยไปมาแล้ว 2 ครั้งเมื่อปี 1956 ที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย และครั้งล่าสุดปี 1968 ที่เม็กซิโกซิตี้
สมาคมฯเริ่มต้นเดินเครื่องตั้งแต่ 3 ปีก่อน ทั้งการเตรียมทีมและเสนอตัวเป็น "เจ้าภาพ" จัดการแข่งขันรอบสุดท้าย ทุกอย่างเหมือนไปได้สวย แต่สุดท้ายกลับไม่สวยอย่างที่คิด โดยเฉพาะการเตรียมทีมที่ควรจะเตรียมต่อเนื่องมา 3 ปี แต่ไปๆมาๆเหมือนเพิ่งได้เริ่มจริงจังแค่ไม่กี่สัปดาห์ !!!
การเตรียมทีมชาติไทยถูกล้มแผนบ่อยครั้ง ทำให้ 3 ปีที่ผ่านมาเปลี่ยนโค้ชไปถึง 4 ครั้ง 4 คน จากเริ่มต้นที่ "โค้ชโย่ง" วรวุธ ศรีมะฆะ พาทีมไปได้แชมป์ "ซีเกมส์ 2017" ที่มาเลเชียด้วยผู้เล่นอายุน้อยที่วางแผนไว้ระยะยาว แต่กลับมาดันโดนปลดเพราะกระแสตอบรับจากแฟนบอลไม่ดี โดยเฉพาะคำว่า "บอลไม่มีทรง" สมาคมฯเลยให้ โซรัน ยานโควิช ทีมงานของ มิโลวาน ราเยวัช กุนซือทีมชาติไทยในตอนนั้นขึ้นคุมทีมแทน
แต่ โซรัน ไม่ได้ทำทีมให้ดีกว่าเดิมเลย กระทั่งไปล้มเหลวไม่เป็นท่าใน "ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2018" สมาคมฯสั่งเปลี่ยนแปลงใหม่อีกครั้งเรียก "โค้ชโย่ง" กลับมาทำทีมเหมือนเดิม แต่อดีตศูนย์หน้าร่างยักษ์ตำนานนักเตะทีมชาติไทยหมายเลข 14 ไม่สามารถพาทีมผ่านรอบแรก "เอเชียนเกมส์ 2018" ได้ทำให้ต้องกระเด็นอีกครั้ง
คราวนี้สมาคมฯเลือกเอา อเลกซานเดอร์ กาม่า กุนซือเลือดแซมบ้าที่ประสบความสำเร็จในการคุมทีมระดับสโมสรของไทยทั้ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เข้ามาทำทีม ตอนนั้นทุกกระแสต่างวิ้ดว๊ายกระตู้วู้ตอบรับเต็มที่ บอกว่านี่แหล่ะคนที่ "ใช่เลย" ทีมชาติไทยมีลุ้นแน่ๆ
แต่ไม่รู้สมาคมฯไปเซ็นสัญญาอีท่าไหน อยู่ดีๆ "กาม่า" ตัดสินใจโบกมือลาทีมชาติไทยกลับไปรับงานคุมสโมสรอีกครั้งหน้าตาเฉย ส่งผลให้ทีม "ยู-23" ของไทยอยู่ในช่วง "สุญญากาศ" ไม่มีโค้ชอยู่นาน นานเสียจนแฟนบอลถามว่าตกลงยังจะลุ้นไปโอลิมปิกกันอยู่หรือเปล่า !!!
กระทั่งที่สุด อากีระ นิชิโนะ ได้กลายเป็นกุนซือประวัติศาสตร์ชาวเอเชียและชาวญี่ปุ่นคนแรกที่เข้ามาคุมทีมชาติไทยแบบ "เหมาควบ" ทั้งทีมชาติไทยชุด "ฟุตบอลโลก 2022" และ "ยู-23"
การมาของ "นิชิโนะ" ได้เสียงตอบรับจากแฟนบอลเกือบทั้งประเทศ แต่การมาแบบ "ซูเปอร์แมน" คือมาคนเดียวไม่มีทีมงานจากญี่ปุ่นติดสอยห้อยตามมาด้วยเลยทั้งที่ต้องทำทีมควบทั้ง 2 ชุดทำให้เริ่มมีเสียงวิจารณ์ออกมาว่า "ไหวหรือ ?"
"นิชิโนะ" เริ่มต้นด้วยการมุ่งเป้าที่ "ฟุตบอลโลก 2022" รอบคัดเลือก ก่อน จากทั้งหมดที่คุมทีม 5 นัด ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 1 โอกาสเข้ารอบยังถือว่า 50-50 ต้องลุ้นระทึกใน 3 นัดสุดท้าย ขณะที่ผลงานคุมทีม "ยู-23" ของกุนซือโปรไฟล์หรูจากญี่ปุ่นไม่ดีเลย ที่หนักคือตกรอบแรก "ซีเกมส์" ที่ฟิลิปปินส์ !!!
แต่....ถึงจะตกรอบระดับ "ซีเกมส์" ทว่า "นิชิโนะ" กลับไม่ถูกจวกยับ เหตุเพราะ "กุนซือต่างชาติ" มักมีภูมิคุ้มกันพิเศษจากเสียงวิจารณ์ของแฟนบอลมากกว่า "โค้ชคนไทย" นอกจากนั้นแล้วหลายคนยังมีความเชื่อว่าควรมองข้ามระดับอาเซียนได้แล้วเพื่อไปลุ้นเป้าหมายใหญ่กว่าในเกมระดับเอเชีย
ตรงนี้จึงเป็นเหมือนเงื่อนไขที่ทำให้ "นิชิโนะ" ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำผลงานให้ดีที่สุดในเกม "ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020" เพียงสถานเดียว ไม่งั้นความล้มเหลวใน "ซีเกมส์" ครั้งที่ผ่านมาจะเป็นเพียงแค่ "ข้ออ้าง" เท่านั้น
ช่วงการเตรียมทีมที่ผ่านมา "นิชิโนะ" ถูกวิพากษ์ค่อนข้างมาก เพราะเลือกปล่อยให้นักเตะมีเวลาพักผ่อนสภาพร่างกายให้มากที่สุด ทั้งที่มีเวลาว่างหลายสัปดาห์ แต่กลับเรียกนักเตะเข้าแคมป์ในช่วงปลายปี แถมปล่อยพัก "ปีใหม่" ด้วย ทำให้มีเวลาฝึกซ้อมจริงๆไม่เกิน 10 วัน
ส่วนตัวผู้เล่นมีการเปลี่ยนแปลงจาก "ซีเกมส์" เกือบครึ่งทีม นักเตะเหลือรอดมา 14 ราย เรียกเข้ามาใหม่ 9 ราย รวมทั้งหมดเป็น 23 คนที่จะลงลุยชิงแชมป์เอเชียใน 3 เกมที่จะต้องพบกับ บาห์เรน วันที่ 8 ม.ค., พบ ออสเตรเลีย วันที่ 11 ม.ค. และพบ อิรัก วันที่ 14 ม.ค. ทุกนัดเตะเวลา 20.15 น.ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน
นี่คือ 3 เกมที่สำคัญที่ประชาชนคนไทยต้องรวมพลังส่งใจเชียร์ "ไทยไม่เชียร์ไทย แล้วใครจะเชียร์เรา" สู้โว้ยยยยยยยย.....ไทยแลนด์
โฆษณา