9 ม.ค. 2020 เวลา 04:50 • กีฬา
นี่มันคนละทีมกับซีเกมส์ชัดๆ !!!
ชัยชนะนัดประวัติศาสตร์ของนักเตะไทยในทัวนาเมนต์ "AFC U23 Championship Thailand 2020" ถือเป็นการเปิดตัวที่สวยหรูในศักราชใหม่ และเป็นผลงานที่เกินความคาดหมายอย่างแท้จริง
ไม่แปลกที่หลังจบเกมใครต่อใครต่างสบถแบบพร้อมใจว่า "นี่มันคนละทีมกับตอนซีเกมส์ชัดๆ"
ใครเลยจะเชื่อว่าทีมที่ฟอร์มโดนด่ายับใน "ซีเกมส์ 2019" ที่ฟิลิปปินส์เมื่อปลายปีก่อนจะกลับกลายมาเป็นทีมที่เล่นคนละฟอร์มไปเลยในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ ทั้งทีมีระยะเวลาทำการบ้านแก้ไขข้อผิดพลาดไม่มาก
ผลสกอร์ 5-0 เหนือ "บาห์เรน" แสดงให้เห็นว่า อากีระ นิชิโนะ กุนซือชาวญี่ปุ่นตัดสินใจถูกในแนวทางของตัวเองที่เลือกให้นักเตะมีสภาพร่างกายที่สด มากกว่าจะเรียกเข้าแคมป์เก็บตัวฝึกซ้อมเป็นเวลานาน
แน่นอนว่าผลการแข่งขันคือคำตอบต่อเสียงวิพากษ์วิจารณต่างๆมากมายในช่วงการเตรียมทีม
ไม่ผิดที่ก่อนแข่งหลายคนจะมองว่า "น่าเป็นห่วง" เพราะสภาพทีมและฟอร์มการเล่นใน "ซีเกมส์" รวมถึงความรับผิดชอบต่อคำว่า "มืออาชีพ" ของนักเตะไทยเป็นสิ่งที่ไว้วางใจไม่ได้
แต่เมื่อผลงานออกมาแบบนี้คนที่เคยปรามาสเอาไว้ต้องยอมรับว่า "หน้าแหก" ที่คาดการณ์ผิด แต่เชื่อว่าหลายคนยินดีที่ฟันธงพลาด เพราะมันคือชัยชนะของนักเตะไทย
ถึงตรงนี้ต้องยอมรับว่า "นิชิโนะ" ยังคงเป็นกุนซือที่คาดเดายาก ทั้งการจัดตัวผู้เล่นและฟอร์มการเล่นของทีมชาติไทย เรียกได้ว่า "จับทางลำบาก" จริงๆ ไม่มีใครเคยเดา 11 คนแรกของกุนซือญี่ปุ่นได้ถูก และฟอร์มการเล่นไม่ค่อยตรงตามที่คาดหมาย นัดไหนมองว่าจะดีกลับไม่ดี นัดไหนคิดว่าไม่รอดแต่ดันเล่นดี
เกมล่าสุด "นิชิโนะ" จัดผู้เล่น 11 คนแรกแบบผิดคาดตรงแดนกลาง สรวิทย์ พานทอง ได้ออกสตาร์ทตัวจริง ชนิดหลายคนมีคำถามว่า "ใครหว่า ?" เพราะก่อนหน้านี้ไม่ค่อยอยู่ในแผนทำทีม ประมาณว่าเคยถูกเรียกมาซ้อมบ้างแต่หลุดตลอด และผลงานระดับสโมสรกับ "โปลิศ เทโร" ถือว่าธรรมดา
แต่จากข้อมูลที่ได้มาจากแคมป์ทีมชาติไทยระบุว่า สรวิทย์ ทำผลงานในการฝึกซ้อมได้ดี อีกทั้ง "นิชิโนะ" ต้องการผู้เล่น "ซ้ายธรรมชาติ" ตรงพื้นที่นั้น นี่คือเหตุที่ทำให้เป็นการแจ้งเกิดของผู้เล่นหมายเลข 16 ในทีมชุดนี้
ส่วนตำแหน่งอื่นๆ "นิชิโนะ" เลือกผู้เล่นจากทีมซีเกมส์เป็นหลักมีเพียง มีโชค มหาศรานุกุล ในตำแหน่งแบ็กขวาอีกคนที่มาใหม่ นอกนั้นอีก 9 คนเป็นชุดอกหักตกรอบแรกที่แดน "ตากาล็อก" ทั้งนั้น
แต่ฟอร์มการเล่นของนักเตะไทยถือว่าคนละเรื่องกับ "ซีเกมส์​" โดยเฉพาะแนวรุกที่จี๊ดจ๊าดมาก ทั้ง สุภโชค สารชาติ, อานนท์ อมรเลิศศักดิ์, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และ ศุภชัย ใจเด็ด ประสานงานกันได้ยอดเยี่ยม
โดดเด่นที่สุดคือ ศุภณัฏฐ์ ที่ตอกย้ำอีกครั้งว่า "เด็กคนนี้มีของ" สังหารไปคนเดียว 2 ประตูด้วยสเตปการเล่นที่เกินอายุ 17 ปีไปแล้ว นี่คือดาวรุ่งแห่งอนาคตของวงการฟุตบอลไทยอย่างแท้จริง
น้องว่าเจ๋งแล้ว พี่ชายก็เก่งไม่ธรรมดา สุภโชค กลับมางัดฟอร์มที่ฉกาจออกมาอีกครั้ง การพาบอลลากเลื้อยเข้าไปซัดประตูที่ 2 แบบเหนือชั้นถือว่าสวยหมดจดจริงๆ
นอกจากตัวหลักที่ผลงานดีแล้วต้องชื่นชม "นิชิโนะ" ที่เปลี่ยนตัวผู้เล่นได้แม่นยำ จากที่เคยถูกวิพากษ์มาตลอดว่าเปลี่ยนตัวช้า บางทีไปเปลี่ยนตัวในนาที 89 หรือ 90 แต่เกมล่าสุดไม่ต้องรอนานและเปลี่ยนลงมาได้ผลด้วย
ตั้งแต่เอา กานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์ ลงมาช่วยบู๊แดนกลางแล้วทำ "แอสซิสต์" ให้ทีมได้ประตูหนีห่าง 3-0 ที่เด็ดสุดคือ เจริญศักดิ์​ วงษ์กรณ์ ที่ลงมาท้ายเกมแล้วยิง 2 ประตูสุดท้ายตอกฝาโลงให้ทีมชนะแบบขาดลอย
ภาพรวมในเกมชนะ บาห์เรน แบบนักเตะจากตะวันออกกลางแทบหาทางกลับโรงแรมไม่ถูก 5-0 จึงถือว่าเกือบสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว อาจมีที่ยังต้องแก้ไขหนักหน่อยคือ "แนวรับ" ที่เกือบเสียประตูหลายหนเหมือนกัน
หลังจบเกม "นิชิโนะ" กล่าวถึงสาเหตุแห่งชัยชนะในนัดนี้ว่า ทีมได้ประตูเร็วทำให้เล่นง่ายและครึ่งหลังทุกคนยังมีความมุ่งมั่นจนทำได้ดี ส่วนช่วงก่อนแข่งได้กระตุ้นนักเตะอยู่ตลอดว่า "อย่ากลัวคู่แข่ง" ให้เอาบอลพุ่งเข้าประตูเยอะๆ
ส่วนที่หลายคนคาใจว่าทำไมฟอร์มคนละเรื่องกับตอน "ซีเกมส์" นั้น "นิชิโนะ" ตอบว่า ความเข้าใจเกมไม่ต่างจากเดิม แต่ตอนซีเกมส์มีปัญหาที่การบริหารจัดการที่ตัวเองพลาดเอง แต่หลังจากนั้นได้แก้ไขใหม่แล้ว
ถ้าพิจารณาด้วยเหตุและผลคงต้องเห็นด้วยกับ "นิชิโนะ" เพราะตอน "ซีเกมส์" มีปัจจัยแวดล้อมหลายอย่าง ตั้งแต่การเตรียมทีมจนไปถึงวันแข่งขัน แต่ตอนนั้นผลงานไม่ดีพูดอะไรไปใครก็ไม่ฟัง
อย่างไรดีก็นี่เป็นแค่เกมเริ่มต้นเท่านั้น นักเตะทีมชาติไทยยังมีภารกิจสำคัญรออยู่อีก 2 นัดในรอบแรก วันที่ 11 ม.ค.พบ ออสเตรเลีย และวันที่ 14 ม.ค.พบ อิรัก หากอยากเข้ารอบต้องให้ได้อีกสัก 3 คะแนนน่าจะชัวร์
สถานการณ์ "กลุ่ม เอ" ตอนนี้ ไทย นำจ่าฝูงมี 3 คะแนน ออสเตรเลีย กับ อิรัก ที่เสมอกันในเกมแรก 1-1 มี 1 คะแนน ขณะที บาห์เรน ยังไม่มีแต้ม
เกมต่อไปกับ "ออสซี" ถือว่าสำคัญ ถ้าเก็บชัยชนะได้จะตีตั๋วเข้ารอบทันที ขอกำลังใจจากแฟนบอลไทยเข้าไปเชียร์กันเยอะๆ นัดแรกมีคนดูแค่ 7,076 คนถือว่าน้อยมากๆสำหรับเกมระดับชิงแชมป์เอเชียที่ลุ้นไป "โอลิมปิก" แบบนี้
วันเสาร์ที่ 11 ม.ค.นี้รวมใจไทยแลนด์กันใหม่ ใครสะดวกมาสนามได้ก็เจอกันที่ราชมังคลากีฬาสถาน แต่ถ้ามาไม่ได้เปิด "ช่อง 7 HD" รอเชียร์ได้เหมือนกัน
ชัยชนะนัดแรกของนักเตะไทยในฟุตบอลรายการนี้เกิดขึ้นแล้ว หลังเตะมา 3 หนในรอบสุดท้ายไม่ชนะใคร ดังนั้นเส้นทางหลังจากนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเกิดขึ้นได้เสมอ....สู้ต่อไปทีมชาติไทย
โฆษณา