13 ม.ค. 2020 เวลา 01:48 • ไลฟ์สไตล์
และแล้ว ความเปลี่ยนแปลงก็มาเยือน
พัฒนาการของบ้านเรียนฟีนิกซ์ ในช่วง 10 ขวบ
เมื่อเวลาเปลี่ยนไป พัฒนาการก็ย่อมต้องเกิด ศักยภาพเด็กก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ได้ สำหรับบ้านเรียนฟีนิกซ์มีอะไรหลากหลายอย่างทีเดียวค่ะ
จากที่เคยชอบเรื่องทำขนม ก็ค่อยๆ หายไป
จากที่เคยชอบตุ๊กตา ตัดเย็บเสื้อผ้า เดี๋ยวนี้ก็ทำแค่เย็บซ่อมแซมเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ตามจำเป็นเท่านั้น
จากที่เคยชอบร้องเพลง เดี๋ยวนี้เลือกจะฟังเสียมากกว่า
จากที่เคยชอบว่ายน้ำ ก็เปลี่ยนมาปั่นจักรยานแทนซะงั้น
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฟีนิกซ์ทำได้ดี แม่อยากส่งเสริมต่อ แม้จะยังทำได้อยู่ แต่ก็แค่ "ได้ทำ" มันไม่ใช่การ "ทำด้วยใจ" หรือ "รักที่จะทำ" ความสุขไม่เกิดสิ่งที่เกิดก็ไม่ค่อยมีความสุข แบบนี้แล้ว เราก็คงต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนะคะ
แม่บอกตัวเองเสมอว่า ...แค่ยอมรับในตัวตนที่ลูกเรากำลังปรับแปลี่ยนและเป็นไป หากเป็นไปในทิศทางที่ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้เป็นพิษภัยต่อสังคม เราลองมองดูและให้โอกาสค่ะ บางทีสิ่งที่ลูกกำลังเป็นไป คือสิ่งที่วิเศษและถูกและควรในสายตาของคนที่กำลังมองมาก็เป็นได้
ชอบทำอาหารมากกว่าทำขนมอย่างเดียวแล้ว
เมื่อความเปลี่ยนแปลงเข้ามาเยือน เด็กอาจจะไม่รู้สึกถึงความแปลกใหม่ เพราะทุกสิ่งเป็นไปตามกลไกความต้องการหรือกลไกเหตุและผลของสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว
และแน่นอน...สำหรับพ่อแม่ อาจจะต้องตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นสักหน่อย
บางสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่พ่อแม่พอใจ ถูกใจ ก็คงจะยินดีปรีดากับลูก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงแล้วมันไม่ใช่ในสายตาพ่อแม่...เราจะทำอย่างไรกันดี
สิ่งแรกเลยเมื่อพ่อแม่ เห็นความเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมช่างสังเกตน่าจะทำงานได้ดีขึ้น จนบางครั้งแม่ยังแอบคิดเลยว่า ตัวเองกลายเป็นคนชอบ "จับผิดลูก" ไปแล้วหรือเปล่า ก็ต้องตั้งสติกันพอสมควร ปรับทั้งตนเองและปรับทั้งคนรอบข้าง
หากเราจับผิดลูกมากเกินไป ลองเปลี่ยนสไตล์มามองลูกแล้วเปรียบเทียบกับตนเอง (ในสมัยที่อายุเท่ากันนะคะ) แล้วลองถามตัวเองว่า ทำไมสิ่งนี้สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น ได้คำตอบแล้วลองคุยกับเด็กค่ะ นั่งคุยกันประสาพ่อแม่ลูก หรือบางเรื่องก็คุยกันแบบแม่ลูกก็ได้ จัดกันไปตามวาระและโอกาสค่ะ
สิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นมาก่อนนี้คือ การพูดคุยกัน เมื่อมีอะไร...หรือไม่มีอะไรก็ตามแต่ เรามักจะพูดคุยกันเสมอ คุยทุกเรื่องที่ชาวบ้านคนอื่นอาจจะคุยหรือไม่คุยกัน ทั้งเรื่องที่ซีเรียส เรื่องตลกโปกฮา เรื่องหมาแมว เรื่องความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายเราก็คุย
ถามว่าแม่เขินไหม ...แม่โตมาในครอบครัวที่เขินอายเรื่องพวกนี้มาก แต่...!! ถ้าเราเขินหนักไม่ยอมพูดจา ไม่พูดคุยกัน แล้วเราจะปล่อยให้ลูกไปเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะสอนอะไรให้อย่างนั้นหรือ ในเมื่อเรารู้อยู่แล้ว ทำไมไม่สอนเองล่ะ บอกด้วยตัวเองไปเลยว่า สิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงหรือเกิดขึ้นเมื่อหนูโตขึ้นจะเป็นอะไรอย่างไรบ้าง
ถามว่าแม่ทำใจได้อย่างไร ...แม่เขินค่ะ แต่แม่ถามตัวเองว่า
เราจะยอมปล่อยให้ลูกไปรับรู้เรื่องสำคัญแบบนี้จากปากคนอื่นอย่างนั้นหรือ
เราเองยังเขิน แล้วลูกล่ะ คนสอนล่ะ เขาจะไม่เขินหรือ
ถ้าเขินแล้ว ข้อมูลหรือความรู้ที่ควรจะได้ จะถูกถ่ายทอดมากี่เปอร์เซ็น และลูกเราจะรับความรู้นั้นๆ มากี่เปอร์เซ็น
เมื่อคำตอบยังคงเป็นความห่วงใยที่อยู่บนวิถีแนวทางอันเป็นไปได้ เราก็มีคำตอบให้กับตัวเองและพร้อมก้าวไปแล้วล่ะค่ะ
เป็นคำตอบเดียวกับที่เคยถามตัวเองว่า
อยากให้ลูกได้เรียนรู้ถูกผิด แล้วให้คนอื่นมาแนะนำมาสอน
หรือปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้ในช่วงที่เรายังอยู่ ถูกผิดอย่างไรคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมสื่อสารและสอนลูกได้ดีกว่าคนอื่นไหมล่ะ ...
พ่อแม่ย่อมมีภาวะการสั่งสอนที่ดีกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้ว ทั้งความใส่ใจ ความรัก และความรู้จักมักคุ้นหรือที่เรียกว่า ทันกัน คนที่จะอยู่ด้วยกันมานานและหวังดีต่อกันอย่างพ่อแม่นั้น หาแทบไม่มีเลยนะ
เราอยู่ดูและได้เห็นเขาผิดพลั้ง เสียใจ เรายังโอบกอดปลอบโยนและสั่งสอนสิ่งที่ดีที่ควรได้ วันนี้เราจงทำ
เหล่านี้คือที่บอกตัวเองนะคะ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่บังเอิญเข้ามาอ่าน อาจจะนำไปปรับใช้นะคะ เพราะพื้นฐานการดำเนินชีวิตของคนเราต่างกัน ความคิดความอ่าน การสื่อสารเอย แนวคิดเอย เชื่อว่าทุกคนมีตัวตนของตนเองอยู่แล้ว เลือกและทำบนพื้นฐานความรักความห่วงใยต่อลูกต่อคนในครอบครัว เชื่อว่าเรื่องดีๆ เกิดขึ้นตามมาอีกมากมายแน่นอนค่ะ
ข้อมูลข่าวสารบ้านเรียนฟีนิกซ์ ที่เกิดขึ้นทั้งหลายนี้ เป็นเพียงมุมหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ส่งผ่านเป็นกำลังใจให้กับทุกคนด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกการติดตามและทุกกำลังใจที่แวะเวียนมาทักทายนะคะ
ภาพและบทความโดย แม่หญิง 2563 01 13

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา