24 ม.ค. 2020 เวลา 03:30 • ประวัติศาสตร์
Remembering Hillsborough
ตอนที่ 5
มาตรการสำหรับเหตุฉุกเฉินของตำรวจเซ้าท์ ยอร์คไชร์ระบุไว้ชัดเจน รถพยาบาลจะต้องจอดเตรียมพร้อม ณ จุดจอดรถบริเวณหน้าโรงยิมของสนาม คำสั่งอย่างเป็นทางการจะมีมาเมื่อผู้ชมด้านในสนามคนใดคนหนึ่งต้องการความช่วยเหลือ
พวกเขาจะรอให้เจ้าหน้าที่พยาบาลของฮิลส์โบโรหิ้วผู้ป่วยด้วยเปลสนามจากด้านในออกมาส่งที่รถ หลังจากนั้นพวกเขาจะขับรถนำผู้ป่วยไปส่งที่โรงพยาบาล ปราศจากคำสั่งจากหอควบคุมแล้ว รถพยาบาลต้องไม่ทำอะไรโดยพลการ
ในช่วงเวลาที่สับสนนั้น เจ้าหน้าที่ประจำรถไม่ได้รับคำสั่งใดใดจากผู้รับผิดชอบ มีแต่ผู้คนที่วิ่งหน้าตื่นออกมาจากสนามแจ้งให้พวกเขาเข้าไปช่วยคนที่อยู่ด้านใน พวกเขางุนงงและไม่สามารถตัดสินใจได้ บางคนอยากเข้าไปในสนามแต่ห่วงว่าถ้ามีคนเจ็บถูกส่งมาที่รถขณะพวกเขาไม่อยู่จะเป็นอย่างไร บางคนหิ้วเครื่องมือแล้ววิ่งเข้าไปในสนามโดยที่ไม่แน่ใจว่ามันเพียงพอกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่หรือไม่
มีความพยายามช่วยเหลือจากแฟนฟุตบอลด้วยกันเอง หลายคนถูกดึงขึ้นไปชั้นลอย อีกหลายคนปีนข้ามรั้วไปคอกด้านข้าง ประตูเล็กด้านหน้ารั้วเปิดให้ลำเลียงร่างไม่มีสติออกมาอย่างทุลักทุเล และอีกหลายร่างถูกยกขึ้นและลำเลียงผ่านขอบรั้วด้านบนมาวางไว้เกลื่อนกลาดบนสนามหญ้า หลายคนเข้าไปช่วยผายปอดหรือปั้มหัวใจ กระนั้นก็ตาม จำนวนผู้คนที่ติดอยู่ในคอกดูจะไม่ลดลงเลยความแออัดยังมากเท่าเดิม หลายร่างเสียชีวิตทั้งที่ยังอยู่ในท่ายืน
คนที่ออกมาได้ช่วยกันกระชากรั้วเหล็กด้านหน้าให้ฉีกขาดเป็นช่องเพื่อระบายคนที่บาดเจ็บจากด้านในออกมา ขณะเดียวกันคานกั้นคนในคอก 3 และ 4 หักเพิ่มอีกหลายอันซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก
“ประกาศ ประกาศ เกมจะถูกเลื่อนออกไปสามสิบนาที” เสียงตามสายบอกผู้ชมว่าอย่าเพิ่งไปไหน ไม่มีการแจ้งถึงเหตุการณ์และความร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นจริง
นั่นทำให้คนอีกมากในสนามไม่เข้าใจ เสียงโห่จากฝั่งฟอเรสต์ดังขึ้นกว่าเดิม ตำรวจหลายสิบนายได้รับคำสั่งให้ตั้งแถวเรียงเดี่ยวยาวบริเวณสนามในแดนของฟอเรสต์กั้นไม่ให้แฟนบอลลิเวอร์พูลที่กำลังโกรธข้ามฝั่งไปปะทะกับแฟนบอลคู่แข่ง
ถ้าเพียงแต่หลายสิบนายนั้นไปช่วยผู้บาดเจ็บแทนที่จะมาตั้งแถวกัน หลายอย่างน่าจะดีกว่านี้
เกรแฮม เคลลี ผู้บริหารสูงสุดของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (FA) เดินจากคอกวีไอพีของตนเองขึ้นไปที่หอบังคับการ ที่นั่นเขาได้รับการต้อนรับจากดักเคนฟิลด์ผู้ซึ่งรายงานให้เขาฟังว่าฮูลิแกนลิเวอร์พูลที่ไม่มีตั๋วเข้าชมพังประตูทางออก C แล้วบุกเข้ามาในสนาม พวกนั้นส่วนใหญ่เมา
เคลลีออกจากหอควบคุมเพื่อพบกับกองทัพนักข่าวที่รออยู่แล้ว เคลลีแจ้งสิ่งที่ได้ยินจากดักเคนฟิลด์ให้นักข่าวฟัง แล้วทั้งโลกก็รับรู้
แฟนบอลลิเวอร์พูลพากันกระชากป้ายโฆษณาข้างสนามออกมาใช้เป็นเปลสนามจำเป็น หลังจากนั้นพวกเขาแบกคนเจ็บวิ่งข้ามฝั่งไปประตูทางออกฝั่งฟอเรสต์ที่ซึ่งด้านนอกตรงยิมเนเซี่ยมมีรถพยาบาลจอดรออยู่ ตำรวจที่ยืนเป็นแนวกั้นไม่ยอมให้พวกเขาผ่าน
เทรเวอร์ ฮิกส์ปีนรั้วจากคอก 5 แล้วกระโดดลงมาบนสนาม เขาวิ่งไปที่หลังประตูตาข่าย เขารู้ว่าลูกสาวสองคนอยู่หนึ่งในสองคอกที่กำลังวิกฤตนี้แต่ไม่แน่ใจว่าคอกไหน ท่ามกลางเสียงอึงอลรอบข้างเขาตะโกนเรียกชื่อลูกสุดที่รักสุดเสียง
เทรเวอร์วิ่งไปวิ่งมาหลายรอบแต่ไม่เจอ พื้นสนามเต็มไปด้วยร่างของผู้บาดเจ็บและแฟนฟุตบอลที่พยายามช่วยเหลือกันเอง ด้านหลังเขาผู้คนถูกอัดกับตาข่ายเหล็กจนปูดออกมาอย่างน่ากลัว
ที่นั่น วิกกี้นอนอยู่ตรงนั้น เขารีบวิ่งเข้าไปคุกเข่าข้างลูกสาวคนเล็ก เธอนอนนิ่งไม่ไหวติง เทรเวอร์เขย่าร่างของเด็กสาวแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเงยหน้ามองไปรอบข้างแล้วก็เห็นซาร่าลูกสาวคนโตนอนอยู่บนหญ้าห่างออกไปไม่ไกล เทรเวอร์กรีดเสียงร้อง
“ไม่นะ! ไม่ใช่ทั้งคู่ พระเจ้า...ไม่ใช่ทั้งคู่”
มีคนเข้ามาช่วย
“เธอไม่หายใจ คุณต้องผายปอดให้เธอ” ชายคนนั้นบอก
“ฝากลูกสาวผมด้วย ผมต้องไปดูลูกอีกคน” เทรเวอร์รวบรวมสติ แล้วถลาไปที่อีกร่าง เขาพบว่าซาร่าก็ไม่ต่างจากวิกกี้ ลูกสาวคนโตนอนนิ่ง เทรเวอร์ต้องผายปอด แต่ก่อนอื่นเขาต้องดูดเอาอาเจียนออกมาจากปากลูกเสียก่อน
หลังจากได้รับแจ้ง รถพยาบาลจากโรงพยาบาลหลายแห่งรวม 42 คันพากันมาถึงฮิลส์โบโร แต่ไม่สามารถเข้ามาบริเวณด้านในได้
15.15: รถจากโรงพยาบาลเซนท์จอห์นดั้นด้นฝ่าฝูงชนและการจราจรที่ติดขัดเข้ามาถึงด้านในได้เป็นคันแรก
15.20: อีกสองคันที่มีความสามารถพอก็ขับตามกันเข้ามา รวมแล้วมีรถพยาบาลแค่สามคันจากสี่สิบสองคันที่สามารถเข้ามาถึงที่เกิดเหตุ
15.22: ร่างของแอนโทนี เดวิด แบลนถูกยกให้ลอยขึ้นและเลื่อนผ่านมาจนถึงขอบรั้วด้านหน้าคอก 3 ที่นั่นมันถูกส่งต่อกับตำรวจที่ยืนรอด้านนอกรั้ว ร่างของโทนีถูกวางลงบนหญ้า สตีเวน โพลว และโคลิน เฟล็นเลย์นายตำรวจของเซ้าท์ ยอร์คไชร์เข้ามาดูแล
โทนีไม่มีชีพจร เฟล็นเลย์เป่าปากของเขาจนกระทั่งชีพจรกลับมา เฟล็นเลย์เป่าปากต่ออีกครู่แต่นอกจากชีพจรแผ่ว ๆ แล้วโทนียังไม่หายใจด้วยตัวเอง นายตำรวจโพลวและแฟนฟุตบอลอีกหลายคนยกร่างของโทนีวางบนป้ายโฆษณาแล้วหามเขาไปที่รถพยาบาลคันหนึ่งที่ทำท่าจะแล่นออกจากสนาม มีคนโบกให้รถหยุดแล้วประตูด้านหลังก็เปิด ในนั้นมีร่างผู้บาดเจ็บอยู่แล้วสามคน สองคนบนเตียงทั้งสองข้าง อีกร่างอยู่บนพื้น เจ้าหน้าที่บนรถตะโกน
“เอาขึ้นมาเลย เราต้องรีบไป”
โพลวและพวกอุ้มร่างของโทนีโยนขึ้นไปทับร่างของผู้บาดเจ็บที่นอนบนพื้นรถ ประตูปิด รถพยาบาลขับออกไป
15.27: ฮิกส์กำลังผายปอดลูกสาว
“เหลือแค่คันเดียว เอาเธอขึ้นรถเถอะ” คนข้าง ๆ บอก
“ขอบคุณ ช่วยแบกอีกคนด้วยนะ” ฮิกส์ดีใจ ลูกสาวยังมีความหวัง
พวกเขาช่วยแบกสองร่างบนป้ายโฆษณาวิ่งไปที่อัฒจันทร์ฝั่งเหนือที่ซึ่งรถพยาบาลคันหนึ่งยังจอดรออยู่ แต่เมื่อไปถึง
“มีที่ว่างที่เดียว เรารับได้อีกแค่คนเดียว” เจ้าหน้าที่ประจำรถตะโกนบอก
ฮิกส์ต้องเลือก ไม่มีเวลาให้เสียเขาตัดสินใจทันที
“เอาวิกกี้ขึ้นรถ”
ฮิกส์ขึ้นรถไปพร้อมกับวิกกี้ผู้ยังไม่ได้สติ เขาขอให้แฟนลิเวอร์พูลที่เหลือช่อยดูแลซาร่าบนป้ายโฆษณาที่วางอยู่หน้าอัฒจันทร์ฝั่งเหนือจนกว่ารถพยาบาลอีกคันจะมาถึง
รถพยาบาลคันสุดท้ายในสนามเคลื่อนตัวออกไปพร้อมเสียงไซเรนส์ที่ดังเหมือนมีดกรีดหัวใจ
สูงขึ้นไปบนอัฒจันทร์ฝั่งเหนือ เจนนี ฮิกส์มองลงมาที่กิจกรรมด้านล่าง ด้วยระยะที่ห่างเธอไม่รู้ว่านั่นคือสามีและลูกสองคนของเธอ เจนนีมองไปอีกครั้งที่คอก 3 และ 4 ความโกลาหลยังไม่หมดไป เจนนีไม่เชื่อว่าแฟนลิเวอร์พูลเป็นพวกก่อเหตุ มันต้องเป็นเพราะสนามรับคนเข้ามามากเกินไป
เจนนีคิดว่าพวกเขาคงไม่กลับมาแข่งกันอีกแล้ว เธอลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินไปที่ร้านค้าฝั่งเลปปิ้งส์เลนอันเป็นจุดนัดพบของครอบครัวแล้วรอ
เกลนเริ่มรู้สึกตัว เสียงดังอยู่รอบข้างแต่เขามองไม่เห็นอะไรทุกอย่างมืดไปหมด นี่เขาสลบไปนานจนค่ำเลยหรือ นั่นคือความคิดแรก แต่ไม่...มันไม่น่าใช่อย่างนั้น เขารู้ว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง เขามองอะไรไม่เห็นแต่ได้ยินเสียงอึงคะนึงรอบตัว เขาร้องขอให้คนช่วย น้ำตาอุ่น ๆ ไหลออกมา
เกลน แฟลตเลย์กลายเป็นคนตาบอดนับตั้งแต่วันนั้น
ร็อดนีย์ลืมตาขึ้น เขารู้ว่าเขายังไม่ตาย ท้องฟ้าสีฟ้าลอยอยู่ข้างบน ใต้ฝ่ามือของเขาคือหญ้านุ่ม ๆ เขารู้ว่าเขารอด ร็อดนีย์ดีใจแต่ไม่นานเข้าก็นึกขึ้นได้ จอน-พอลอยู่ไหน?
ร่างของจอน-พอลอยู่ท่ามกลางภูเขาของหลายสิบร่างที่ถมทับกันอยู่ด้านบนของคอกสาม สารวัตรฟิลลิป วูดเวิร์ดผู้ซึ่งวิ่งมาจากด้านนอกผ่านอุโมงค์ออกมาที่คอกแล้วเห็น มันสะดุดตาเขาในทันที ร่างเล็ก ๆ ของเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายของเขาเองถูกทับอยู่ตรงนั้น
เขารีบดึงร่างที่ทับบนตัวเด็กออกทีละร่างเหมือนรื้อกองหนังสือที่เรียงซ้อนกัน ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าที่เด็กชายจะหลุดออกมาจากตรงนั้นได้ วูดเวิร์ดส่งร่างของจอน-พอลให้กับแฟนฟุตบอลที่มาช่วยอีกคนหนึ่ง ชายคนนั้นอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกของเด็กชายวิ่งออกจากอุโมงค์ไปด้านนอก
เจ้าหน้าที่ตำรวจเกรแฮม บัทเลอร์ผู้ได้รับคำสั่งจากหอบังคับการให้มาจัดการกับพวกก่อความไม่สงบด้านเลปปิ้งส์รู้สึกแปลกใจมากที่เมื่อเขามาถึงกลับเห็นผู้บาดเจ็บนอนอยู่เกลื่อนพื้น มีเพื่อนตำรวจยืนตั้งแถวคุมเชิงอยู่หลายนายแต่ไม่ได้ให้ความช่วยเหลืออะไร ทำไมไม่ช่วย? พวกนี้ดูไม่เหมือนผู้ก่อกวนสักนิด
“ช่วยเด็กด้วย” ชายคนหนึ่งอุ้มร่างของเด็กชายตัวเล็กวิ่งออกจากอุโมงค์เข้ามาหาเขา “ช่วยเด็กคนนี้ด้วย ได้โปรด” เขาส่งจอน-พอลให้บัทเลอร์แล้ววิ่งกลับไปทางอุโมงค์ เด็กชายคอพับแขนห้อยลงข้างตัว ปากเป็นสีม่วงและหน้าไม่มีสีเลือด
บัทเลอร์เห็นรถพยาบาลวิ่งเข้ามาจึงเรียกให้หยุดแล้วส่งร่างของเด็กน้อยขึ้นรถ เขาสั่งให้ออกรถทันที พวกผู้ใหญ่รอได้ เด็กต้องได้รับการดูแลก่อน เจ้าหน้าที่ประจำรถตอบรับแล้วรีบขับออกไปท่ามกลางการจราจรที่ติดขัดเพราะผู้ชมเริ่มทยอยออกจากสนาม
อัฒจันทร์ฝั่งเลปปิ้งส์เลน เอนด์ยังคงวุ่นวายสับสน ร่างแล้วร่างเล่าถูกหามใส่แผ่นป้ายโฆษณาทยอยออกมาถึงรถพยาบาลด้านนอก ตำรวจและเจ้าหน้าที่สนามมีส่วนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับแฟนฟุตบอลลิเวอร์พูลที่ลงมือช่วยเหลือกันเอง
เจนนียืนรอที่จุดนัดพบเป็นเวลานานแต่ไม่พบใคร เธอเดินกลับไปที่จอดรถของครอบครัวซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คันที่เหลือบนลานจอด
สุดท้ายเธอขอให้ตำรวจพาเธอไปตระเวนตามโรงพยาบาลต่าง ๆ จนพบที่ ๆ มีชื่อของวิกตอเรีย ฮิกส์ นางพยาบาลผู้มีท่าทางอิดโรยนำเจนนีเข้าไปในห้องทำงานเล็ก ๆ แล้วขอให้เธอนั่งลง พยาบาลปิดประตูตามหลัง และก่อนที่เธอจะพูดอะไร
“คุณกำลังจะบอกว่าลูกสาวฉันตายแล้วใช่มั้ย?”
นางพยาบาลพยักหน้าเงียบ ๆ
เจนนีถูกพากลับไปที่สนาม ที่นั่นในยิมเนเซี่ยมซึ่งถูกตั้งให้เป็นสถานที่เก็บศพชั่วคราวเธอพบกับสามีอีกครั้ง ทั้งสองมองกำแพงด้านหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยรูปโพรารอยด์ของผู้เสียชีวิต หลายครอบครัวยืนมุงกันหน้ากำแพงมองหารูปที่พวกเขาไม่อยากเจอ เสียงสะอื้นร่ำไห้ระงมไปทั่ว เจนีและสามีพบรูปของลูกสาวทั้งสองอยู่บนนั้น
ซาร่า ฮิกส์ อายุ 19 ปี
วิกตอเรีย ฮิกส์ อายุ 15 ปี
จอน-พอลถูกนำตัวมาถึงโรงพยาบาลที่ซึ่งแพทย์ทำอะไรกับเขาไม่ได้แล้ว เด็กน้อยได้รับการประกาศว่าเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ
จอน-พอล กิลฮูเลย์ อายุ 10 ขวบ
สถานีโทรทัศน์ออกข่าวในบ่ายวันนั้นว่า ในขั้นต้นมีผู้เสียชีวิต 74 คนและบาดเจ็บอีกหลายร้อย สาเหตุมาจากอันธพาลลูกหนังฝั่งลิเวอร์พูลที่เมาเหล้าอาละวาด
ระหว่างทางในรถพยาบาล โทนีได้รับการผายปอดจากเจ้าหน้าที่พยาบาลจนชีพจรดีขึ้นแต่ยังไม่รู้สึกตัว เมื่อรถมาถึงโรงพยาบาลนอร์ทเทิร์นเจนเนอรัล เขาถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน
ท่ามกลางความโกลาหลของห้องฉุกเฉินที่เต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บ แพทย์ฝึกหัดหญิงไนดูผู้ซึ่งได้รับข้อมูลอันสับสนว่าโทนีบาดเจ็บจากเหตุอัฒจันทร์ถล่มที่ฮิลส์โบโร เธอวิเคราะห์ด้วยสายตาว่าโทนีหมดสติเพราะศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน ดังนั้นจึงไม่มีการใส่ท่อและเครื่องช่วยหายใจให้กับโทนี ไม่มีใครรู้เรื่องรูที่ปอดของเขา
ต่อมาเมื่อสายจนเกินไปแล้ว โทนีได้รับการตรวจละเอียดอีกครั้ง แพทย์พบว่าสมองส่วนกลางของเขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงและมันหยุดทำหน้าที่ในที่สุด เมื่อไม่มีคำสั่งจากสมอง อวัยวะทั้งภายนอกและในหลายอย่างล่มสลายอย่างสิ้นเชิง แพทย์พยายามให้การรักษาที่เหมาะสมกับเขาเพื่อประคับประคองชีวิตต่อไป เขายังไม่รู้สึกตัว
แอนโทนี เดวิด แบลน อายุ 18 ปี นอนเป็นผักในโรงพยาบาล สัญญาณชีพยังกระพริบได้ด้วยเครื่องช่วยหายใจและหลอดอาหารที่คอ
16 เมษายน 1989
ทางการประกาศว่าเหตุการณ์โศกนาถกรรมที่ฮิลส์โบโรมีผู้เสียชีวิต 94 คน และบาดเจ็บอีกมากกว่าเจ็ดร้อยคน จากจำนวนดังกล่าว มีเพียงแค่สิบสองคนเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
การไต่สวนเริ่มขึ้นในทันทีเพื่อหาสาเหตุของวันมาหาวิปโยค ผลของการไต่สวนเป็นอะไรที่สกปรกโสมมที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ
จบตอนที่ 5
= = = = = = = = = = = = = = = = = =
อ้างอิง
โฆษณา