14 ม.ค. 2020 เวลา 02:58 • ท่องเที่ยว
เมื่อวันวานที่…ภูกระดึง (พ.ศ.2542)
วันที่ 18 ตุลาคม 2542
รถบัสคันใหญ่บรรทุกผู้คนมากหน้าหลายตากว่า 40 คน ต่างคนต่างมีพื้นเพ แต่จุดมุ่งหมายใกล้เคียงกัน คือจังหวัดเลย และคงมีไม่น้อยที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกับเราคือผานกเค้า เพื่อมุ่งหน้าสู่ภูกระดึง
ปี พศ. 2542 เป็นปีแรกที่ผมมีความตั้งใจจะไปเที่ยวยังสถานที่แห่งนี้ ป่าแรกทีผมได้ไปนอน ภูเขาหินทรายยอดตัดซึ่งเป็นตำนานแห่งการผจญภัยของนักเดินทางรุ่นแล้วรุ่นเล่า สืบสานประสบการณ์ของแต่ละคนออกมาเป็นบทความข้อเขียนเล่าขานบรรยายถึงมนต์เสน่ห์นานับประการ สิ่ง ๆ เดียวกันแต่คนหลากหลายมองออกมาได้ร้อยแปด และสิ่งสิ่งเดียวกัน คนมองคนเดียวกัน กลับยังจะมองมันจนได้ความหมายที่ต่างออกไปตามเวลาที่ผันเปลี่ยน ภูกระดึงแห่งนี้ไม่ธรรมดา และความธรรมดานี้ไม่ได้เกิดมาจากภูเขา อิฐหิน ดินทราย พันธุ์ไม้ หรือสัตว์ป่าในที่แห่งนี้ คงมีสถานที่อีกนับร้อยแห่งที่มีสิ่ง ๆ เดียวกับที่ภูกระดึงมีอยู่ แต่อะไรเล่าที่ทำให้ภูกระดึงต่างออกไป ?
ลำพังจะเรียนรู้แต่จากตัวหนังสือที่บรรยายก็คงไม่มีวันจบสิ้นและคงไม่มีวันตราตรึงใจได้เท่ากับการที่เราได้ไปเห็นสิ่งเหล่านั้นกับตาทั้งสองข้างของเราเอง ผมจึงตัดสินใจไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง
“โอ...นี่มันเพิ่งจะตีสี่ครึ่งกว่า ๆ เองวะ”
ผมบ่นขึ้นในใจต่อหน้าเงาทะมึนของผานกเค้าตอนเห็นเวลาที่บอกอยู่บนนาฬิกาข้อมือ ทริปนี้ก็รอกันมาเป็นเดือนเหมือนกันนะ พอถึงวันนี้แล้วใจมันร้อนอย่างบอกไม่ถูก อยากจะได้ไปเห็นภูกระดึงเร็ว ๆ ผมกับไอ้แก้วดินดุ่ย ๆ เข้าไปนั่งในร้านเจ๊กิม
“จะนอนก็มีลานปูนข้างหลัง ห้องน้งห้องน้ำก็ใช้ได้เลยนะ หิวข้าวก็มาสั่งได้”
นอนฟรี ห้องน้ำฟรี แรกมาเยือนก็ประทับใจในน้ำใจของร้านเจ๊กิมแล้วครับ แต่จะให้นอนตอนนี้ มันนอนไม่ลงครับ ขี้เกียจกางถุงนอน แล้วอารมณ์ตื่นเต้นมันก็คงจะพาให้นอนไม่หลับ เรื่องอาบน้ำเหรอครับ ลืมไปได้เลยเวลานั้น เพราะลำพังแค่มือโดนน้ำตอนตักน้ำราดโถส้วมผมยังสะดุ้งเลย อุณหภูมิน่าจะอยู่ที่ราว ๆ 15-18 องศาได้ ว่าแล้วก็ชวนไอ้แก้วไปนั่งหน้าร้านจิบกาแฟสักแก้ว กินข้าวเช้าสักจานดีกว่า ผมรีบกินข้าวให้หมดจานเพราะว่าจะไปเดินเล่นริมถนนข้างนอกสักหน่อย เพราะบรรยากาศมันสุดขีดจริง ๆ
บนถนนลาดยางขนาดสองเลนที่ไม่มีรถสักคัน มองไปทางซ้ายก็ว่างเปล่า มองไปทางขวาก็ว่างเปล่า มีแต่สายหมอกลอยเอื่อย ๆ ไปตามถนน ผ่านหน้าผมไปเป็นระลอก ไฟแสงจันทร์ริมทางส่องสะท้อนพื้นถนนเป็นมันวาว รอบ ๆ ตัวผมกลายเป็นสีเหลืองส้มไปทั้งหมด ผมยืนอยู่ริมถนนอย่างนั้น นาน ๆ จะมีรถวิ่งมาสักคัน แต่พอเสียงคำรามของเครื่องยนต์ผ่านพ้นไปความเงียบก็กลับเข้ามาเยือน ผมพยายามเติมใจให้อิ่มด้วยความเงียบนั้น จนแทบจะไม่ได้ใส่ใจเลยว่ามันมีเสียงนกเสียงกาแทรกขึ้นมาบ้างหรือไม่
จนกระทั่งฟ้าเริ่มสาง
ผมพยายามสอดสายตาหาว่าภูกระดึงอยู่ตรงไหน แต่ก็หาไม่เจอครับ ด้วยว่าความเข้าใจแต่ทีแรกนั้นคิดว่าผานกเค้าก็อยู่ใกล้ ๆ ภูกระดึง แต่ถึงไม่เห็นภูกระดึงก็เถอะ ผานกเค้าที่อยู่ตรงหน้าค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ ตามแสงอาทิตย์ จากแรกที่เห็นแค่เงาทะมึน ตอนนี้ผมเห็นหน้าตาของผานกเค้าชัดเจนขึ้นแล้วล่ะ ไม่นานจากนั้นรถสองแถวก็เข้ามาจอดที่หน้าร้านเจ๊กิม ต่างคนต่างก็แบกสัมภาระขึ้นบ่า เพื่อลำเลียงขึ้นหลังคาแค็ป
เราจะได้เห็นภูกระดึงซะที !!!
ถ้าจำไม่ผิด จากถนนเส้นที่ผ่านหน้าร้านเจ๊กิม รถสองแถวได้เลี้ยวซ้ายครั้งหนึ่ง แล้วเงาจาง ๆ ของภูกระดึงที่ถูกคลุมไว้ด้วยหมอกก็ปรากฏแก่สายตาของผู้โดยสารทั้งรถ ทุกคนจับจ้องไปที่ภูเขายอดตัดลูกนั้นมันค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น พร้อมกับท้องฟ้าที่ค่อย ๆ สว่างมากขึ้น
ประมาณ 8 โมงครึ่ง หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียม และเอากระเป๋าไปชั่งน้ำหนักเพื่อให้ลูกหาบนำขึ้นไปให้แล้ว ก็ถึงเวลาสักทีครับ ผมมองเส้นทางลาดชันกำลังอยู่ตรงหน้าเราสักครู่ใหญ่ คิดไปถึงบทความหลาย ๆ บทที่อ่านก่อนจะได้มาที่นี่จริง ๆ ภูกระดึงอยู่ตรงหน้าผมนี่แล้ว ตอนปี 42 นั้น เส้นทางที่จะขึ้นสู่ซำแฮก ยังไม่ได้ถูกปรับปรุงเป็นขั้นบันไดเหมือนอย่างทุกวันนี้เลยครับ จะมีที่ทำให้เดินได้สะดวกหน่อยก็เป็นทางดินที่ถูกเซาะจนเกือบจะเหมือนขั้นบันได ก็แค่เหมือนครับ เพราะแต่ละขั้นสูงต่ำไม่เท่ากัน ที่วางเท้าบ้างก็วางได้เต็มเท้าบ้างก็ได้แต่กึ่ง ๆ ปลายเท้า
สภาพทางที่เฉอะแฉะจากฝนปลายฤดูที่ให้ทางดินที่ควรจะแข็งกลับทั้งลื่นและเละ รองเท้าหนัง Timberland ดอกยางรูปกากบาทที่เคยแต่ทำตัวหล่ออยู่ในเมือง ตอนนี้ สภาพมันไม่ต่างกับควายที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ในปลักโคลนกลางท้องนา อย่างน้อยก็ยังดีตรงที่ว่ามีเพียงรองเท้าที่เหมือนควาย แต่คนยังไม่ต้องลงปลัก เพราะอาศัยว่าเลือกรองเท้ามาถูกงานครับ ดอกที่ใหญ่และลึกทำให้กินเนื้อดินได้ดี ประกอบกับอาศัยก้อนหินที่จมอยู่ในดินทำให้เดินได้โดยไม่ลื่นมากนัก
ในเรื่องเล่าทั้งที่ตำนานและที่ตำไม่นาน บ้างก็บอกว่าการเดินขึ้นภูนั้นเหนื่อยหนัก บ้างก็บอกว่าลำบากนัก แต่สิ่งที่ผมได้ประสบกลับทำให้คิดว่า มันเหนื่อยจริง แต่กลับไม่ลำบากครับ เพราะระหว่างทางที่เป็นจุดพักในแต่ละซำเราก็จะเจอกับพ่อค้าแม่ขายรอคอยนำเสนอสิ่งบำรุงกำลังให้คุณตลอด ผลไม้ยอดฮิตของที่นี่มีสองอย่าง คือแตงโมกับมะเฟือง ส่วนของหวานยอดฮิตเห็นจะเป็นน้ำแข็งไสครับ (ตอนนั้นหนาวตายห่ะ ผมไม่มีอารมณ์กินน้ำแข็งไสหรอก) และที่ทำให้ประทับใจ คือน้ำใจครับ พ่อค้าแม่ค้าที่นี่ไม่ได้ขายของหวังกำไรแบบเอาเป็นเอาตาย นั่งกินข้าวกันไป ถ้าคุยถูกคอ มีแถมครับ !!!
เดินไปเรื่อย ๆ เมื่อยก็หยุด หิวก็แวะกิน เดินช้า ๆ ดูบรรยากาศสองข้างทาง ซำแล้วซำเล่า เดินแซงเขาไปบ้าง โดนแซงไปก็มาก บางคนวิ่งขึ้น บางคนขึ้นแคร่หรือไม่ก็เปลหาบ บางคนถือไม้เท้าด้วยความพิการ มีการแซวเพื่อนร่วมทางบ้าง โดนเพื่อนร่วมทางแซวบ้าง เห็นคนเจ็บก็เข้าไปช่วยเหลือกันได้ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน นี่ละมั้งที่ทำให้ภูกระดึงต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งอื่น ๆ
ราว ๆ บ่ายโมงกว่า ๆ หลังจากแวะกินข้าวกันที่ซำสุดท้ายไม่นานนัก เราก็มายืนอยู่ตรงริมหน้าผา หลังแป ... ตอนนี้ป้ายผู้พิชิตภูกระดึงอยู่ตรงหน้าของเราแล้ว สรุปรวมแล้ว ระยะทางขึ้นเขามา 5 กิโลเราใช้เวลาเดินกันร่วม ๆ 5 ชั่วโมง !!! ฮ่า ๆ ๆ อนาถใจคนวันหนุ่มเหลือเกินครับ แล้วหลังจากนั้นเราก็เดินอีก 2 กิโลไปยังสถานีวังกวางเพื่อรับสัมภาระจากลูกหาบ แล้วก็จะได้เข้าบ้านพักกันซะที
พูดถึงบ้านพักแล้ว ต้องขอบคุณพี่โจ้กับพี่เอครับที่ใจดีให้เราได้แชร์บ้านพักในครั้งนั้นด้วย ทริปนี้ว่ากันไปแล้วก็เป็นการติดสอยห้อยตามเขาไปเรื่อย ๆ เพราะพอพี่โจ้กลับกัน ผมกับไอ้แก้วก็ไปพึ่งใบบุญชมรมโฟโต้ ธรรมศาสตร์ต่ออีกคืน
ภาพแรกที่เห็นลานกางเต็นท์ที่วังกวาง ทำเอาผมยิ่งรู้สึกว่า ภูกระดึงนี่เหนื่อยจริง แต่ไม่ลำบาก เพราะบนนั้นมีพร้อมทั้งห้องน้ำ และร้านค้า ตอนนั้นเซเว่นยังไม่ดังมากนักผมเลยไม่ได้นึกถึงเซเว่น แต่พูดได้เลยว่าหากผมเป็นคุณก่อศักดิ์ผมคงอยากเปิดเซเว่นสาขาภูกระดึง เอาว่าให้เป็นประวัติศาตร์ของเซเว่นไปเลยทีเดียวครับ
ร้านค้าบนนี้เยอะจริง ๆ ทั้งถ้วย ถัง หม้อ เตาถ่าน ถุงนอน เต็นท์ ผ้าพลาสติก ผ้านวม ข้างบนนี้มีให้เช่าหมด น้ำแดง โค้ก สไปรท์ เหล้าขาว หงส์ทอง แสงโสม ข้างบนนี้ก็มี ขนมขบเคี้ยวนี่ยิ่งไม่มีขาด เรียกได้ว่า อยู่บนภูกระดึง มีเงิน ไม่มีวันอดตายครับ (ล่าสุดได้ข่าวว่ามีหมูกระทะขายกันแล้ว 555 อะไรมันจะตามใจกันได้ขนาดนี้อีกมั้ยเนี่ย)
หลังจากเก็บของเข้าบ้านพักเรียบร้อยผมกะไอ้แก้วก็เดินชิว ๆ (สมัยนั้นยังไม่มีศัพท์คำนี้เลยนี่แฮะ) ไปนั่งเล่นกันที่ร้านเจ๊กิม มองผู้คน พูดคุย ปรับทุกข์กันไปตามประสา บนความสูงระดับเทียมเมฆนี้ก็จะมีสายหมอกไหลมาให้เห็นเรื่อย ๆ ฝนก็ตกปรอย ๆ ตกแบบไม่ถึงกะต้องกางร่ม แต่ตกมันได้อย่างนั้นตลอดทั้งวันเลยครับ จนบ่ายคล้อยก็ตั้งใจกันออกเดินไปที่ผาหมากดูก ดูพระอาทิตย์ตกดินกัน
ที่ริมผาหมากดูกผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาพ่อแม่ที่บ้าน อยากให้พ่อแม่ได้มาเห็นภาพเดียวกันกับที่ผมกำลังมองอยู่จังเลยครับ ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำลงพร้อม ๆ กับแสงจ้าที่ค่อย ๆ หรี่ลงเรื่อย ๆ จากแสงสีเหลืองทองเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงส้ม เราเฝ้ามองเหมือนสั่งลา จนขณะที่แสงสดท้ายหายไป ลมเย็น ๆ ก็พัดอื้ออึงเข้ามาตรงจุดที่เรานั่งอยู่ ผมเก็บกล้องลงกระเป๋า พับขาตั้งส่งให้ไอ้แก้วถือ แล้วก็เดินกลับบ้านพักด้วยความอิ่มเอมใจ
ในหัวค่ำของคืนนั้นเองที่ทำให้ผมได้รู้ว่า ถ้าคุณเอาน้ำจากตู้เย็นมาอาบ ผลจะเป็นอย่างไร ... มันก็หนาวแทบขาดใจน่ะสิครับ แค่เอามือไปจุ่มโดนน้ำยังรู้สึกได้ถึงความเย็นไปถึงไหนต่อไหน ไม่อยากจินตนาการถึงขันแรกที่ราดลงบนตัวเลยครับ พอสายน้ำไหลลงบ่ารินไปตามแผ่นหลังและหน้าอก มันเหมือนกันโดนเข็มทื่อ ๆ เป็นร้อย ๆ เล่มตำเข้าที่ผิวหนังเหมือนอย่างที่เคยได้ยินเขาพูดกันในหนังเลยครับ หลังจากนั้นคุณก็จะเริ่มรู้สึกชาไปทั้งตัว ขันที่สองคุณจะรู้สึกถึงความเย็นได้น้อยลงเล็กน้อย แต่อาการไร้ความรู้สึกที่ตามมาก็จะกลับมากขึ้นกว่าขันแรก จนขันที่ 3 นั่นล่ะครับ แขนคุณจะเริ่มตึง รู้สึกได้ว่าการยืดแขนออกหรือหดแขนเข้านั้นมันช่างยากลำบากเหลือเกิน เส้นมันยึดไปหมด ความเย็นจะทำให้คุณกัดฟันแน่น และจิกปลายเท้าลงพื้นโดยไม่รู้ตัว กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายพยายามหดเกร็งเพื่อให้ได้ความร้อนกลับคืนมา หลังจากนั้นเมื่อคุณชายผู้รักสะอาดเริ่มถูกสบู่ล้างขี้ไคล มันจะลำบากเล็กน้อยในตอนแรก เพราะว่าน้ำมันกระด้างครับ คุณต้องถูมาก ๆ มากกว่าปกติเพื่อที่จะให้ฟองมันออกมาเท่า ๆ กับที่คุณเคยทำได้
ดินฟ้าอากาศ ปราณีลูกด้วย ตอนถูสบู่นี่ก็ทรมาน ลมที่พัดลอดช่องสังกะสีผนังห้องน้ำเข้ามาเป็นระยะ มันมาโดนตัวที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ มันเย็นบาดลึกเข้าไปถึงกระดูกเหมือนโดนมีดกรีด จนกระทั่งน้ำขันแรกที่รดล้างสบู่นั่นล่ะ คุณอาจนึกว่ามันเป็นหนทางสู่นิพพาน แต่เปล่า มันคือนรกขุมใหม่ต่างหาก
น้ำเย็น ๆ ที่รดลงไปบนตัวหวังจะให้สบู่หลุดออกไป แต่เปล่าครับ มันไม่เป็นแบบนั้น สบู่ที่โดนความเย็นจัดกลับเคลือบผิวของคุณจนเป็นกล้ายฟิล์มบาง ๆ ที่ห่อหุ้มตัวคุณอยู่ โอ้ !!! แม่ง ผมแทบเขวี้ยงขันทิ้งซะตอนนั้น คุณต้องขัดถูตัวคุณอย่างแรงเพื่อเอาสบู่ออก ซึ่งนั่นไม่ลำบากเท่ากับการที่คุณจะต้องใช้น้ำมากกว่าปกติถึงสองเท่าเพื่อที่จะล้างไอ้ฟิล์มสบู่จัญไรนั้นออกไปจากตัวคุณ
เมื่อเสร็จแล้วคุณก็จะได้เดินสั่นงันงกหัวฟูเป็นเป็นลูกนกออกจากห้องน้ำเพื่อกลับที่พัก ผมเห็นคนอื่นที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเป็นแบบเหมือนกัน 555 เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาส จงอาบน้ำตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับฟ้าครับ
วันที่สอง
วันนี้ก็ตื่นกันแต่เช้าเลยครับ อากาศหนาวมาก ๆ ถึงแม้คุณจะกระเหี้ยนกระหือรือ (พจนานุกรมนายกไทยแถว่ามีความหมายเดียวกับคำว่ากระตือรือร้น กร๊ากกกกกก...) เพื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกเค้าแต่ความตั้งใจก็แทบจะหดหายไปเมื่อรูดซิปถุงนอนออก แต่ไหน ๆ ก็มาแล้วครับ พร้อมกับพี่โจ้ที่ดึงดันจะให้เราไปด้วยกันให้ได้ (ขอบคุณอีกครั้งครับ)
ฟ้ายังไม่สว่างเลย ทิวแถวของผู้คนที่ทำหน้าตาสะโหลสะเหล เดินกอดอกแน่น ก้าวขาแข็ง ๆ ตามกันไปเป็นกระบวนเหมือนกองทัพซอมบี้ที่ออกหากินแต่เช้า พากันไปหาเหยื่อแถว ๆ ผานกเค้า ในมือถือชามข้าวต้ม ส่วนไข่เค็มไปหาเอาข้างหน้า 555 (ล้อเล่งนะเรื่องข้าวต้มน่ะ) เกือบตลอดทางกิโลกว่า ๆ ผมนึกตัดพ้อตัวเองที่เอาตัวมาลำบาก เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่เข็ดครับ หุ ๆ เส้นทางก็แฉะหมดเลยเพราะว่าฝนตกปรอย ๆ ตลอดทั้งคืน จนกระทั้งตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าจะหยุด ห้าไม่เปิดแน่ ๆ แล้วผมจะได้กินไข่เค็มมั้ยเนี่ย !!!
ปีนั้นการเดินไปผานกเค้าไม่น่ากลัวเหมือนอย่างปัจจุบันครับ เท่าที่อ่านมาเห็นว่าเดี๋ยวนี้ ขบวนนักท่องเที่ยวจะต้องรอการนำของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากเหตุการณ์ช้างป่าเข้าทำร้ายพระภิกษุเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับทีท่าของการทวงพื้นที่ทำมาหากินของพวกเขาคืนนั้นดูจะมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และคงไม่ได้บรรเทาลงได้ง่าย ๆ
เราไปนั่งรอที่ริมผานกเค้า ทำตัวเป็นผู้ร่วมชะตากรรมกับนักท่องเที่ยวอื่น ๆ อีกหลายสิบคน หวังว่าฟ้าจะเปิดให้เราได้เห็นดวงอาทิตย์กัน แต่ฟ้าไม่เป็นใจครับ ไม่ยอมเปิดเลย แถมหมอกยังลงหนามากจนแม้ทะเลหมอกที่คาดว่าน่าจะได้เห็นบ้างก็ไม่เห็น คือจมอยู่ในทะเลหมอกนั่นซะเองครับ แต่อย่างน้อย ถ้าอยู่ในกรุงเทพก็คงไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ครับ สว่างคาตา ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติจริง ๆ ไม่เป็นไร เรายังอยู่กันอีกหลายวัน ที่สำคัญพระอาทิตย์ทำงานทุกวัน พรุ่งนี้ค่อยมาล้างแค้นครับ ตอนนี้ขอเดินกลับไปกินข้าวกันก่อน
วันนี้วางแผนไว้ว่าจะไปเดินเส้นทางเลียบน้ำตก ก็มีน้ำตกวังกวาง โผนพบ เพ็ญพบ ถ้ำใหญ่ ถ้ำสอ โอย...เยอะครับ จำไม่เคยครบสักที ทางทีมพี่โจ้เขากินข้าวเสร็จก็ออกไปกันเลยครับเพราะว่าพรุ่งนี้พวกแกก็จะเดินกลับกันแล้ว ก็เลยตั้งใจจะไปถึงหล่มสักนู่นเลย ส่วนผมกะไอ้แก้วก็รอจน 10 โมงนู่นครับ ถึงจะได้ออกเดินทางกัน
ลืมเล่าไปอย่างครับ ตั้งแต่ลงจากรถแล้วล่ะ ปีนั้นอากาศเย็นจริง ๆ เย็นจนกระทั่งเวลาหายใจด้วยปากหรือพูดอะไรก็ตามจะมีไอน้ำออกมาจากปากให้เห็นกันจะ ๆ เลยทีเดียว ทำเอาวัยรุ่นเมืองกรุงได้กิ๊วก๊าว ตื่นเต้นกันมากทีเดียวครับ
วันนี้ฟ้าฝนครึ้มพอสมควรทีเดียว แหงนมองขึ้นไปข้างบนนี่เห็นเป็นสีขาวเทา ๆ เต็มท้องฟ้าไปหมด ฝนก็ตกปรอย ๆ หนักบ้างเบาบ้าง เป็นอยู่อย่างนั้นทั้งวันทีเดียว เสื้อกันฝนเราสองคนก็ไม่ได้เอามาเพราะไม่ได้คิดกันว่าสถานการณ์มันจะมาเป็นแบบนี้ เลยทำเอาตัวผมเปียก ๆ ชื้น ๆ ตลอดเวลาที่เดินครับ ส่วนกล้องน่ะเหรอครับ เหมือนเอามาทำ Field Test กันเลย
เส้นทางและบรรยากาศตอนฤดูนี้สวยงามครับ ป่าที่เพิ่งฟื้นจากฤดูการปิดป่า ใบไม้เขียวครึ้มฉาบด้วยหยดน้ำ เส้นทางที่เป็นดินโคลนทำเอาทิมเบอร์แลนด์ที่เท้าผมกลายเป็นทิมเบอร์ลุยอีกรอบ ปกติทางเส้นนี้ก็เดินไม่ค่อยจะสบายอยู่แล้วครับ เพราะบางช่วงต้องปีนป่าย ลงหุบบ้าง ขึ้นเนินบ้าง ทางยิ่งลื่นยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังมากเข้าไปอีก แต่ก็ไม่ได้ทำให้หมดสนุกเลยครับ ผมกลับรู้สึกมันส์มาก ๆ ซะด้วยซ้ำ ขณะนั้นจะมีอยู่อย่างเดียวในป่านี้ที่ผมไม่อยากเจอ คือ ทากครับ สัตว์โลกตัวยาว ๆ หยึย ๆ เหมือนหนอน เวลาสอดสายหาเหยื่อมันจะโบกหัวแกว่งไปมาในอากาศ ในขณะที่ปลายเท้าอีกข้างเกาะยึดเป็นหลักไว้แน่น ถ้าปากมันเกี่ยวคุณได้แม้เส้นด้ายกางเกง มันก็จะติดสอยห้อยตามคุณไป ค่อย ๆ ไต่ไปหาความอบอุ่น จนเจอเนื้อนุ่ม ๆ มีกรุ่นไอของเลือดและเหงื่อ มันก็จะบรรจงใช้ฟันของมันที่เหมือนใบเลื่อยวงเดือน ตัดเฉือนผ่านชั้นผิวหนังเข้าไปจนเจอเลือดอุ่น ๆ แล้วก็ฉีดสารห้องกันเลือดแข็งตัวเข้าไป มันจะอยู่อย่างนั้นอย่างเนิ่นนาน กว่าคุณจะได้พบมัน ปริมาตรตัวมันก็คงจะขยายออกนับเป้นหลายสิบเท่าจากขนาดเดิมไปเสียแล้ว จากหนอนตัวบาง ๆ กลายเป็นถุงบรรจุเลือด !!! แฮ่ !!! 555
อ่านแล้วอย่ากลัวเลยครับ ผมเขียนไปให้เห็นภาพโดยน่ากลัวซะอย่างนั้นแหละ จริง ๆ แล้วเราแทบจะไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำเวลามันกินเลือดเรา ถือว่าแบ่ง ๆ กันไปครับ พกเกลือไว้สักถุง เวลาเห็นมันก็เอาเกลือโรย ถ้ายังเกาะเหนียวแน่นหนาก็โปะด้วยเกลือไปเลยครับ
วันที่สองนี้เราเดินกลับมาที่พักก็เย็น ๆ พอดีครับ แวะกินข้าวแล้วก็ไปเผชิญกรรมกับการอาบน้ำจากตู้เย็นต่อ เนื่องจากดันลืมไปว่าควรจะอาบน้ำตั้งแต่หัววัน -_-‘ คืนนี้ไอ้แก้วนึกคึก พี่แกเล่นอาบน้ำเสร็จก็นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวออกมายืนรับลมสูบบุหรี่ริมระเบียงบ้าน ไม่ได้เช็ดตัวเลยด้วยซ้ำมั้งครับเพราะเห็นว่าตามตัวมันยังมีหยดน้ำเกาะอยู่พราว ไม่รู้มันจะทดสอบความอึดของตัวเองหรืออย่างไร แต่ผมกลับต้องตื่นตาตื่นใจเพราะตามตัวมันจะมีไอน้ำขึ้นมาโขมงไปหมด นั่นไม่ใช่ควันบุหรี่แน่นอนครับ และแล้ว...คืนนั้น...ไอ้แก้วไข้ขึ้น 5555555 ไม่รู้ว่าการสมน้ำหน้าเพื่อนี่จะบาปไหม แต่มันอดไม่ได้จริง ๆ ครับ
แล้วคืนนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี ยกเว้น !!! กลางดึกผมตื่นขึ้นมาด้วยเพราะได้ยินเสียงถุงพลาสติกดังสวบสาบอยู่แถว ๆ หน้าบ้าน ด้วยความกลัวว่าจะเป็นขโมยหรืออย่างไร (ยังอุตสาห์ไปกลัวได้) แต่อีกใจก็กลัวว่าจะเป็นสิ่งลึกลับ เพราะว่าบนนนี้มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับเรื่องผีสางพอตัวครับ ทั้งเรื่องของคนตกผา ทั้งเรื่องของบ้านกุหลาบขาว สุดท้ายด้วยความรำคาญระคนความอยากรู้ ก็เลยเดินไปแง้มประตูบ้านดู พลันเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ต้องตกใจ เขากวางงามโง้งกำลังชี้ชี้เด่อยู่หน้าผมห่างไปไม่เกิน 1 เมตร มันเงยหน้าขึ้นมามองผมหนึ่งที แล้วก็ก้มลงไปสาละวนกับอาหารมือดึกของมันต่อ ผมก็เลยค่อย ๆ แง้มประตูปิดด้วยอาการเจียมตัว กลัวว่ามันจะกินถุงพลาสติกเข้าไปอยู่เหมือนกันครับ แต่ความกลัวว่าจะโดนขวิดไส้แตกถ้าหากไปยุ่งกับดินเนอร์ของมันนั้นมีมากกว่า เลยต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ข้อควรปฏิบัติจริง ๆ ถ้าคุณนอนเต็นท์ อาหารควรแพ็คให้ดีครับ ไม่มีมีกลิ่นแม้แต่น้อยหรือยิ่งดีหากว่าคุณไม่ได้เก็บอาหารอะไรเอาไว้ในเต็นท์เลย ไม่เช่นนั้นอาจมีกวางและหมูป่ามาถล่มเต๊นท์ท่านได้ ขยะที่เคยห่อหุ้มอาหาร หรือขยะเศษอาหารควรนำไปทิ้งที่ถังขยะของอุทยานก่อนเข้านอนครับเพราะถ้าเขามาคุ้ยแล้วกินเข้าไป ถึงฆาตแน่นอนครับ ส่วนถ้าท่านนอนบ้านพักขยะอาหารเก็บเอาไว้ในบ้านก่อนก็ดีครับ ค่อยเอาทิ้งตอนกลางวัน
วันที่สาม
วันนี้...ไปไหนกันหว่า ความทรงจำเฉียดสิบปีนี้ชักจะเลอะเลือนซะแล้วครับ งั้นผมขอบ่นบ้าเกี่ยวกับเรื่องของการถ่ายรูปของผมหน่อย ตอนนั้นอุปกรณ์ทีมีในกระเป๋าก็มี Canon EOS50E เลนส์ประกอบด้วย EF 24-85 กับ EF 75-300 IS ครั้งนั้นผมเอาไปแต่ฟิล์มสไลด์ ระดับที่เรียกได้ว่าทุ่มทุนสร้างกันเลยเพราะเล่นลองฟิล์มมั่วไปหมด ทั้ง Fuji PROVIA Fuji VELVIA แล้วก็ Kodak E100VS อย่างละม้วน ฟิล์มตอนนั้นม้วนละเกือบ ๆ 200 บาท ค่าล้างอีก 30 หรือ 60 ผมจำไม่ได้ เรียกได้ว่าค่าฟิล์มอย่างเดียวก็ 600 แล้วครับ โฮ่ ๆ ๆ 600 บาทตอนนั้นถ่ายได้ 108 รูป แต่เดี๋ยวนี้ 600 บาทซื้อการ์ด 1 กิ๊ก ถ่ายได้สองร้อยกว่ารูป มิหนำซ้ำยังเอากลับมาใช้ได้อีก ต้นทุนในการถ่ายภาพสมัยนั้นกับสมัยนี้จึงต่างกันลิบลับเลยทีเดียว
นี่ผมนั่ง Scan รูปไปก็ยังงงงงอยู่ครับ ว่าหนนั้นไปตั้งหลายวัน แต่ดันได้รูปกลับมาแค่ 3 ม้วน แถมยังไม่มีรูปน้ำตกอีกต่างหาก เริ่มรู้สึกตงิด ๆ แล้วว่าฟิล์มอาจจะหายไปไหนสักม้วนนึง
บ่นต่อครับ หลังจากได้กลับมาดูรูปแล้วรูปเล่า เริ่มรู้สึกอยากได้กล้องฟูลเฟรมขึ้นมาอย่างมากแล้วล่ะครับ รูปบางรูปถ่ายด้วย 75-300 IS ซึ่งมี f กว้างสุดแค่ 4.0 แต่แค่นี้ฉากหลังก็เบลอกระจายแล้วครับถ้าเทียบกับภาพจำนวนมากมายที่ได้จากเซ็นเซอร์ APS-C ผ่านรูรับแสง 2.8 ผมดูภาพเหล่านั้นพร้อม ๆ กับความรู้สึกว่า เนี่ยแหละ ใช่แล้ว !!! Perspective ที่คุ้นเคย ดิจิตอลที่ผ่าน ๆ มา มันไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยรู้สึกว่ามัน “ใช่ “ เลย
นึกออกแล้วครับ หลังจากร่ำลากับกลุ่มของพี่โจ้ที่กำลังจะเดินทางกลับในวันนี้ เลยเป็นอันว่าเราสองคนต้องระเห็จไปนอนบ้านสนูปปี้...ฮี่ ๆ ๆ ขึ้นชื่อในความชุกของเหล่าทากครับ เอาจริง ๆ ผมว่านอนเต๊นท์สบายกว่านะ เอาของไปเก็บเสร็จก็จัดการกินข้าวแล้วก็สั่งห่อข้าวไปกันคนละชุดครับ เพราะวันนี้เราจะเดินไปตามเส้นทางเลียบริมหน้าผา แล้วก็ดูพระอาทิตย์ตกกัน
เส้นนี้เดินสบายครับ ไม่ต้องปีนไม่ต้องป่าย ระวังแอ่งน้ำก็พอเพราะว่าฝนยังตกปรอย ๆ อยู่เลยครับ ไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก และเช่นเคยครับ มีร้านค้าเกือบจะทุกริมผา (ถ้าไปในช่วง High หรือปลายฝนถึงปลายหนาวนะครับ พอเริ่มเข้าร้อนแล้วจะไม่ค่อยเปิดร้านกันแล้ว) รู้อย่างนี้ไม่แบกข้าวเที่ยงมาให้เมื่อยหรอกครับ 555
สักแค่ราว ๆ สี่โมงก็มาถึงตรงผาหล่มสัก แล้วก็กางขาตั้ง เตรียมกล้องกันเลยครับ นั่งรอ นั่งคุยกันอยู่อย่างนั้นรอพระอาทิตย์ตก เหมือนเดิมแล้วพระอาทิตย์ก็ตกไป บรรยายแบบอารมณ์เซ็ง ๆ ครับ......เพราะว่าผมหารูปริมผาไม่เจอเลย รูปตรงหล่มสักก็ไม่มี คงเป็นที่แน่นอนแล้วว่าผมทำฟิล์มหายไปอย่างน้อย 1 ม้วนแน่นอน ฮือ ๆ ๆ เสียใจครับ
เดินกลับเลยละกัน หมดอารมณ์ .... เดินไปเดินมา แสงจากไฟฉายในมือผมเริ่มริบหรี่ลงเรื่อย ๆ อ้าวซวยแล้วครับทีนี้ ทางเดินก็มืดตื๋อ หลุมบ่อเต็มไปหมด มีแต่แสงจันทร์อ่อน ๆ พอให้เห็นแค่ว่าทางไหนทางเดินทางไหนหน้าผาแค่นั้น 555 อย่างน้อยก็กันตายได้ครับ จริง ๆ แล้วคนเดินกลับร่วมทางกันมาก็มีเยอะนะครับ แต่บางช่วงเราโดนทิ้งช่วงไปก็เลยไม่มีแสงไฟฉายจากคนอื่นมาช่วย ตอนหลังเลยต้องใช้ไฟช่วยหาโฟกัสของกล้องครับ มันสว่างได้ใจจริง ๆ เลย
การเดินในป่ายามค่ำคืน แม้เป็นป่าที่รู้ว่ามีคนร่วมชะตากรรมเยอะก็เถอะ ถือว่าเป็นเรื่องน่ากลัวไม่น้อยสำหรับผมเลยครับ ให้เดินคนเดียวนี่ไม่เอาแน่ ๆ ผมกลัวอะไรน่ะเหรอ สัตว์ไม่กลัว (ยกเว้นเจอช้าง) คนไม่กลัว (จะกลัวไปทำซากอะไรฟะ) ผมกลัวผีครับ 555 อย่าให้ผมเดินรั้งท้ายเลย อย่าให้เดินข้างหน้าด้วย ขอเดินกลาง ๆ มีคนปิดหน้าปิดหลัง จะดีมากกกก ปิดซ้ายปิดขวาได้ด้วยยิ่งดีครับ กร๊ากกกกก กลัวได้ขนาด สมเพชตัวเองเล็ก ๆ
สองทุ่มกว่า ๆ ก็กลับมาถึงบ้าน ... ไม่ใช่สิ กระต๊อบต่างหาก หุ ๆ สภาพบ้านสนู๊ปปี้ ถ้าท่านเคยนอนก็คงรู้ดีถึงความไม่สะดวก แต่ถ้าไม่เคยนอนล่ะก็ มามะ จะเล่าให้ฟัง เริ่มจากพื้นที่รอบ ๆ ก่อน หญ้าขึ้นครึ้มรอบตัวบ้าน เมื่อหญ้าเยอะดินก็จะชื้น และอ่อนนุ่มครับ เมื่อชื้น และหญ้าครึ้ม ก็แปลว่าทากเยอะครับ กว่าคุณจะถึงสนูปปี้หลังของคุณ คุณอาจต้องมานั่งแกะทากสักสองสามตัวก่อนจะเข้าบ้าน เมื่อมุดผ่านประตูบานเล็ก ๆ เข้าไป คุณจะพบกับความโอ่โถงมหึมา (ถ้าตัวคุณเล็กเท่าหนูบ้านนะ !!! แต่ถ้าคุณยังมีขนาดเท่ามนุษย์อยู่ ลืมไปได้เลย) ลำพังนั่งเฉย ๆ โขยกตัวแรงหน่อยก็ติดซ้ายกว่า อย่าเผลอคุกเข่านะครับ หัวคุณแทบจะโขกกับเพดานเลย ส่วนพื้นเป็นไม้แผ่นมีซี่เล็ก ๆ เพื่อการระบายอากาศ....หนาววววว 555 สรุปแล้วนอนเต็นท์สะดวกกว่าเยอะครับ มีเพื่อนบ้านเยอะด้วย นอนสนูปปี้ไม่ค่อยมีคนนิยม หาเพื่อนบ้านแทบไม่ค่อยเจอ เดี๋ยวผีหลอกครับ
หาข้าวกินเสร็จก็กลับมาพยายามทำให้ถุงเท้าแห้งครับ โดยการ ... เผา กร๊ากกก ตอนนั้นไอ้แก้วชอบมากกับแอลกอฮอล์เจล ก็เอานั่นแหละ มาเผามาผึ่งถุงเท้าเน่า ๆ ที่เจียมเนื้อเจียมตัวอุตสาห์เอามาเพียงคนละคู่เดียว น่าสมน้ำหน้าจริง ๆ ลองนึกถึงสภาพของถุงเท้าชื้น ๆ สีเดิมคือสีขาว แต่โดนน้ำดินน้ำโคลนเข้าไปเลยกลายเป็นสีมอซอ ถุงเท้าคู่นั้นเปียกตั้งแต่หัววัน ยันก่อนเผา หมกซุกห่อเท้าที่อุดมไปด้วยแบคทีเรียตามง่ามนิ้วมาทั้งวัน โดยแทบจะไม่ได้ผ่านการผึ่ง เมื่อมันโดนไฟอุ่น ๆ ในห้องสนูปปี้แคบ ๆ ผลคือ ... เราได้กลิ่นปลาหมึกย่างครับ 55555555555 เผากันไป ขำกันไป ร้องไห้สมเพชโชคชะตากันไป
อาจสงสัยว่าทำไมไม่ผึ่ง แต่กลับเอาไปเผา ก็คงต้องตอบว่าอากาศชื้นสุด ๆ ครับ ผึ่งอะไรแฉะ ๆ ณ นาทีนั้นไม่มีทางแห้งแน่นอน
แล้วคืนนั้นก็สลบกันไปเพราะกลิ่นปลาหมึกย่าง
วันที่สี่
วันนี้วันสุดท้ายแล้วครับที่จะอยู่กันบนภูนี้ พรุ่งนี้ตามแผนก็จะเดินลงกันแล้ว แต่เอาไงดีล่ะ วันที่สองก็เดินเส้นน้ำตกไปแล้ว วันที่สามก็เดินเส้นริมหน้าผมไปแล้ว วันนี้...เกาะชมรมโฟโต้ไปดีกว่าครับ 555 สาว ๆ ทั้งน้านนนนน ที่ทำเนียนเข้าไปตามกลุ่มเขาได้ก็เพราะมีรุ่นพี่ที่ผมกะไอ้แก้วรู้จักอยู่ในชมรมด้วยครับ คือพี่เอ กับพี่ตั้ม จริง ๆ วันก่อนหน้านี้ก็เจอกันมาแล้วครับ พี่เขาก็เอ่ยปากชวนให้เดินไปด้วยกัน วันนี้ก็เลยสนองพี่เขาซะหน่อย
วันนี้ก็จะเดินไปละแวกหน้าผมเหมือนเดิมครับ แต่ถ้าจำไม่ผิด เราไม่ได้ไปถึงผาหล่มสัก ก็จะมีการแบ่งสมาชิกชมรมออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อฟังบรรยายเกี่ยวกับการถ่ายภาพครับ ผมก็เนียน ๆ เข้าไปด้วย ส่วนไอ้แก้วไม่ได้พิศวาสการถ่ายรูปอยู่แล้วก็เลยไปเม้าท์อยู่กับพี่ ๆ
จนจบวันครับ คืนนั้นเราก็ไปนั่งกินน้ำแดงที่เรือนแถวของชมรมโฟโต้กันต่อด้วย เมามายครับ เกิดมาไม่เคยเล้ยยยย...เหล้าขาวน้ำแดงเนี่ย รสชาติมันปร่า ๆ พิกลครับ
วันนี้ดูไอ้แก้วมันมีความสุขดีครับ หลังจากมันเปรย ๆ มาตั้งแต่วันแรกแล้ว ว่ามันไม่ค่อยมีความสุขเลยในสังคมมหาลัยที่มันเรียนอยู่ ความเฮฮาวงเหล้าคงจะยิ่งส่งอารมณ์ทุกข์ของมันให้มากขึ้นไปอีก
“เฮ้ย ! อยู่ต่อกันอีกคืนมั้ย กลับพร้อมพวกโฟโต้” ไอ้แก้วถามผม
“มึงอยากอยู่ต่อเหรอ”
“อืม”
“ก็เอางี้ก้ได้ พรุ่งนี้กูก็กลับไปก่อน แล้วมึงอยู่ต่อกับพวกพี่เอก็ได้” ผมเสนอทางเลือก
“ถ้ามึงกลับกูก็กลับ” มันพูด แล้วทำหน้าเจื่อน
“อ้าว ! ทำไมวะ มึงอยู่ต่อไปเถอะ กูกลับคนเดียวได้”
“แล้วทำไมมึงไม่อยู่ต่อล่ะ” มันถาม
(ผมเงียบไปนาน)
...
...
...
“กู....กูคิดถึงบ้าน” ...... แสรดดดดดดดด อายตัวเองฉิบหายเลยครับ
ฮือออออ ฮืออออ... อย่าด่าผมเลยนะครับ เห็นใจไอ้แก้วน่ะก็เห็นใจ แต่ผมก็คิดถึงบ้านเหมือนกันนะ คืนนั้นผมก็เลยกระวนกระวายใจใหญ่ เดาว่าไอ้แก้วก็คงรู้สึกแนวเดียวกัน
วันที่ห้า
เราแพ็คของเตรียมลงกันตั้งแต่เช้า แล้วก็ไปล่ำลาพี่ ๆ ที่โฟโต้กันก่อนลง ผมก็คะยั้นคะยอไอ้แก้วอีกรอบให้มันอยู่ต่อ แต่มันก็ยังยืนยันว่าถ้าผมกลับมันก็กลับ เหมือนเดิม... กดดันจริง ๆ ตรู -_-‘
ทีนี้เรามีปัญหาใหญ่ครับ ใหญ่มาก ๆ ๆ ๆ ๆ คือเงินกำลังจะหมด ตอนนั้นเหลือติดตัวอยู่แค่ไม่กี่สิบบาท (รวมพลังกันสองคนแล้วนะ 555) สุดท้ายเลยพยายามแปลงทรัพย์สินเป็นทุนครับ บุหรี่เหลือสองซองเรอะ เหอะ ๆ เอาไปขายป้าทิพย์ที่ร้านทิพวรรณ ได้มาราว ๆ 40 (อนาถโคตรรรรร) มาม่าที่อุตสาห์แบกมาก็แปลงเป็นทุนซะ ได้มาอีก 10 บาท ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ เอาละ ตังรวม ๆ กันตอนนี้ได้มาร้อยกว่าบาทแล้ว โชคดีนะครับที่ตั๋วรถเราได้ซื้อเอาไว้แล้วตั้งแต่แรก ไม่อย่างนั้นได้กลับกับโฟโต้จริง ๆ แน่ (พี่ ๆ เขาออกไปกันตั้งแต่ก่อนผมกะไอ้แก้วจะรู้สึกได้ถึงความจน)
ผมนึกย้อนกลับไปวันที่เดินไปน้ำตกครับ คือเราเจอคุณน้าท่านหนึ่งเดินเข้ามาถามผมว่าจะขอซื้อแบตเตอรี่สำรองสำหรับใส่กล้องต่อจากผม ไอ้ทีแรกก็อ้ำอึ้งครับ เพราะเกรงว่าถ้าก้อนที่ใช้อยู่หมดไปก็คงแป๊กแน่ ๆ แต่พอคิดได้ดังนั้นแล้ว ก็เห็นใจคุณน้าเขาครับ เพราะแบตเขาหมดไปแล้ว ก็คงแป๊กเหมือนกัน เลยตัดใจขายไปในราคามิตรภาพ 160 บาท (ซื้อมาเท่าไหร่ก็ขายไปเท่านั้นแหละ) แกยังแซวผมอยู่เลยว่าราคากรุงเทพจริง ๆ !!! ฮ่า ๆ ๆ ผมเลยได้เอามาตีความกะไอ้แก้วต่อว่าราคากรุงเทพนี่มันยังไงฟะ เล่ามาก็เพื่อจะบอกว่าเหมือนเทวดาส่งน้าเขามา Financing พวกเราครับ ไม่อย่างงั้น อาจต้องหิ้วท้องว่าง ๆ กลับกรุงเทพกันได้
ความกลัวว่าจะเจอเรื่องให้ต้องใช้เงินแบบเซอร์ไพรส์ ทำให้เรานั่งคิดแผนสำรองว่าจะหาเอทีเอ็มที่ไหนกันดี แต่ก็ต้องเลิกล้มครับเพราะพื้นล่างแถว ๆ นั้นไม่มีเลย (10 กว่าปีก่อน นี่ถือว่าเป็นฝันแบบลม ๆ แล้ง ๆ มากเลยครับ) จะวกเข้าตัวเมือง เงินก็ไม่พอ แถมจะยุ่งยากเข้าไปกันใหญ่ ขายกล้องกินเรอะ 555 ฝันไปเถอะ เลยกัดฟันครับว่าเป็นไงเป็นกัน เงินร้อยกว่าบาทให้คนสองคนใช้ระหว่างเดินลงภู
แล้วเราก็กลับมาถึงกรุงเทพกันได้โดยสวัสดิภาพครับ พอลงจากรถผมควักกระเป๋าดู มีเงินเหลือยี่ฉิบบาท 555 วิ่งหาเอทีเอ็มโดยด่วน !!!
รออ่านภาค 2
เมื่อวันวานที่…ภูกระดึง (พ.ศ. 2543)
เร็ว ๆ นี้ครับ
..
...
....
อืม...ไม่รู้ว่าจะเร็วได้อย่างที่พูดหรือเปล่าหว่า ? 555
แต่รับรองว่ามีรูปยอะกว่านี้มาก ๆ ครับ
โฆษณา