15 ม.ค. 2020 เวลา 05:43 • กีฬา
ค่ำคืนที่หัวใจแทบวายที่ราชมังคลากีฬาสถาน
ทันทีที่เสียงนกหวีดจากผู้ตัดสินจอร์แดนเป่าหมดเวลา 90 นาที และสกอร์บอร์ดที่ราชมังคลากีฬาสถานจบด้วยสกอร์ THAILAND 1 - 1 IRAQ นั่นหมายความว่า "ประวัติศาสตร์เกิดขึ้นแล้ว"
ทีมขาติไทยตีตั๋วผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมท้าย "AFC U23 Championship Thailand 2020" สำเร็จ นี่คือครั้งแรกที่นักเตะจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาผ่านเข้ารอบในฟุตบอลทัวนาเมนต์นี้
เกมรอบแรก นัดสุดท้าย "กลุ่มเอ" เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาต้องถือว่าบีบหัวใจพี่น้องชาวไทยจริงๆ แม้สถานการณ์ขอเพียงแค่ "เสมอเข้ารอบ" แต่นี่คือเกมที่แฟนบอลลุ้นกันหัวใจแทบวาย
อากีระ นิชิโนะ ยังคงคอปเซนต์ "เหนือความคาดหมาย" เหมือนเดิม กุนซือชาวญีปุ่นสร้างความประหลาดใจตั้งแต่การจัดผู้เล่น 11 คนแรกที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมถึง 7 ตำแหน่ง !!!
สารภาพเลยว่าตอนที่เห็นรายชื่อตัวจริงครั้งแรกนี่แทบไม่เชื่อสายตา ใครเลยจะไปคิดว่าเกมชี้ชะตามีผลต่อการเข้ารอบแบบนี้ "นิชิโนะ" จะกล้าเปลี่ยนแปลงทีมถึงขนาดนี้
แต่จริงๆแล้ว "นิชิโนะ" บอกใบ้ตั้งแต่หลังจบเกมที่แพ้ "ออสเตรเลีย" ว่านัดต่อไปคงต้องเลือกผู้เล่นที่พร้อมที่สุดลงสนาม เนื่องจาก 11 ตัวจริงไม่เปลี่ยนเลยจาก 2 นัดแรก สภาพแต่ละคนเริ่มยุบ โดยเฉพาะหลังบดกับ "ออสซี"
แต่คงไม่มีใครอีกนั่นละว่าจะเปลี่ยนมากแบบเกือบยกทีม !!!
11 คนแรกของ "นิชิโนะ" เปลี่ยนแปลงตั้งแต่แผงหลังยันกองหน้า ไล่เรียงจากผู้รักษาประตูตำแหน่งนี้ไม่เปลี่ยนแปลง กรพัฒน์ นารีจันทร์ ที่ทำผลงานได้ดียังคงได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง
ขยับไปคู่เซนเตอร์แบ็กถือว่าน่าสนใจ "นิชิโนะ" พัก ชินภัทร ลีเอาะ แล้วส่ง ทิตาวีร์ อักษรศรี ลงยืนคู่กับ ศฤงคาร พรมสุภะ ตำแหน่งนี้หลายคนแอบลุ้น เพราะไอ้หนุ่มผมยาวที่ชื่อ "ปาแปง" ไม่ค่อยมีผลงานให้ได้เห็นสักเท่าไร
แบ็กซ้ายยังเป็น ทิตาธร อักษรศรี หรือ "โชแปง" คู่แฝดของ "ปาแปง" ลงเล่นเหมือนเดิม แต่แบ็กขวาเปลี่ยนจาก มีโชค มหาศรานุกูล มาเป็น พีฬาวัช อรรคธรรม ที่ร่วมงานกับ "นิชิโนะ" มาตั้งแต่ซีเกมส์​
แผงกองกลางและแนวรุกเปลี่ยนเกือบยกแผง มิดฟิลด์ตัวรับทั้ง กฤษดา กาแมน และ สรวิทย์ พานทอง ได้พัก "นิชิโนะ" เลือก วิศรุต อิ่มอุระ ที่ฟอร์มดีใน "ไทยลีก" ลงเล่นนัดแรก อีกคนเป็น กานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์ ที่มีโอกาสเปลี่ยนตัวลงไปแล้วในเกมแรก
แผงรุกคงเหลือไว้แค่ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา คนเดียว ส่วน อานนท์ อมรเลิศศักดิ์, ศุภชัย ใจเด็ด และ สุภโชค สารชาติ ที่มีปัญหาสภาพร่างกายและกรำศึกหนักมา 2 นัดติดมีชื่อแค่ตัวสำรอง
"นิชิโนะ" ปรับหมากด้วยการส่ง เจริญศักดิ์​ วงษ์กรณ์ ลงลากเลื้อยฝั่งขวา แล้วให้ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ กับ เบนจามิน เจมส์ เดวิส นักเตะลูกครึ่งจาก "ฟูแล่ม" ที่หลายคนรอดูฝีมือลงไปประสานงานกันในแนวรุก
นี่คือ 11 คนแรกที่ก่อนเตะไม่มีใครคาดเดาได้เลยว่าฟอร์มการเล่นจะเป็นอย่างไร ไหวหรือไม่ไหว
แต่พอลงสนามไปต้องถือว่า "เกินคาด" นักเตะประสานงานเป็น "ทีมเวิร์ก" กันได้ดี รูปแบบแตกต่างไปจาก 2 นัดแรกแต่ถือว่าน่าลุ้นไม่แพ้กัน เกมดูไหลลื่น ช่วยกันเล่น ช่วยกันสู้
โชคดีด้วยที่ทีมชาติไทยได้ประตูออกนำเร็วจาก "VAR" ที่ให้จุดโทษตั้งแต่ต้นเกม และเป็น เจริญศักดิ์ ที่ซัดประตูที่ 3 ของตัวเองในทัวนาเมนต์นี้ให้ทีมออกนำไว
หลังจากนั้นเกมสู้กันสนุก ทีมชาติไทยมีโอกาสได้ประตูที่ 2 อยู่หลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่เหมือนว่าวันนั้นไม่ใช่วันของ ศุภณัฏฐ์ พลาดจังหวะแบบเหน่งๆไปหลายหน
คนที่โดดเด่นในครึ่งแรกคือ เบนจามิน ที่โชว์ฟอร์มสมการรอคอยของแฟนๆ จังหวะ 1-1 สู้ได้ทุกช็อต แย่งบอลยาก กินตัวได้ เรียกฟาวล์บ่อย คู่แข่งหยุดลำบาก ทั้งที่หลังจบเกมเพิ่งรู้กันว่าเจ้าตัวป่วย ไม่สมบูรณ์เต็มร้อย
เกมครึ่กแรกนักเตะไทยค่อนข้างขี่อย่างชัดเจน แต่ยิงนำได้แค่ 1-0 เท่านั้น พอแก้เกมลงมาใหม่ครึ่งหลังเลยทำท่าจะมี "ดราม่า" เพราะแค่ไม่กี่นาทีอิรักมาตามตีเสมอได้สำเร็จ 1-1
ถึงตรงนี้แฟนบอลลุ้นแบบสบายใจไม่ได้แล้ว เพราะหากพลาดท่าโดนยิงแพ้ขึ้นมาคือตกรอบทันที เมื่อสถานการณ์ไม่ค่อยดี "นิชิโนะ" ไม่รอช้า จากที่เคยเปลี่ยนตัวช้าก็ตัดสินใจเปลี่ยนผู้เล่นทีเดียว 2 คนรวดตั้งแต่นาที 55
"นิชิโนะ" ที่วางแผนเอาไว้แล้วจัดการส่งตัวหลักทั้ง ศุภชัย และ สุภโชค ลงสนาม แล้วถอด วิศรุต กับ เบนจามิน ออกตามแทคติคและสถานการณ์​ เพราะทั้งสองคนมี "ใบเหลือง" ติดตัวแล้วด้วย
นักเตะทั้งไทยและอิรักสู้กันแบบถวายชีวิตจริงๆในช่วงเวลาที่เหลือ โอกาสพอๆกัน เราเองเกือบได้และเกือบโดน ช่วงท้ายเกม "นิชิโนะ" ต้องปรับหมากสุดท้ายถอด กานต์นริทร์ ที่เจ็บจนไม่ไหวแล้วออก ให้ กฤษดา ลงแทน
ไฮไลท์สุดท้ายคือจังหวะ "ซูเปอร์เซฟ" ของ กรพัฒน์ ที่ปฏิเสธลูกโหม่งเหน่งๆของอิรักในนาทีที่ 89 เอาไว้ได้สำเร็จ ทำให้จบเกมทีมชาติไทยได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ เสมอ 1-1 ตีตี๋วเข้ารอบต่อไป
นี่คือเกมที่แฟนบอลลุ้นกันแทบก้นไม่ติดเบาะในช่วงก่อนหมดเวลา 90 นาที อาการของโรคหัวใจถามหาได้ง่ายๆเพราะเป็นเกมที่บีบหัวใจชะมัด ลุ้นกันจนถึงเสียงนกหวีดสุดท้ายของผู้ตัดสินชาวจอร์แดนจริงๆ
ถึงตรงนี้ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว ทีมชาติไทยผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก ทั้งๆที่ก่อนเปิดสนามเสียงแตกเป็น 2 ฝั่ง หลายเสียงบอกไม่รอด แต่อีกหลายเสียงยังเชื่อมั่นในตัว "นิชิโนะ"
"ตั้งแต่เริ่มเตรียมทีมทุกคนมุ่งมั่นมาตลอด จนถึงตอนนี้เราผ่านไปอีกสเตปด้วยการเข้ารอบไปแล้ว อย่างที่เคยบอกว่าตอนซีเกมส์ผมพลาดเองที่การจัดการ ทั้งเพิ่งเจอนักฟุตบอลก่อนขึ้นเครื่องไปฟิลิปปินส์ และเล่นบนสนามหญ้าเทียมอีก"
"แต่ทัวนาเมนต์นี้เราแก้ไขการจัดการได้ดีขึ้น อีกทั้งการลงเล่นในฐานะเจ้าภาพทำให้ทุกคนมุ่งมั่นอยากจะชนะ หลังจากนี้จะใช้เวลาที่มีพักและพื้นฟูสภาพร่างกายนักเตะทุกคนให้กลับมาพร้อมสำหรับเกมรอบก่อนรองชนะเลิศต่อไป" นิชิโนะ กล่าวในห้องแถลงหลังจบเกม
สำหรับการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นถึง 7 คน "นิชิโนะ" ตอบว่า หลังผ่าน 2 นัดแรกทุกคนแสดงให้เห็นความล้าอย่างเห็นได้ชัดจึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวจริงจาก 2 นัดแรก ซึ่งทุกคนทำได้ดีในการฝึกซ้อมอยู่แล้ว และย้ำให้มีสมาธิในเกมนี้
"นิชิโนะ" ยังกล่าวถึงลูกทีมอีกหลายคนว่า "การเลือก วรชิต กับ เบนจามิน ลงเล่นในแนวรุก แม้ทั้งสองคนไม่ใช่สายวิ่ง หรือเป็นประเภทความเร็ว แต่ทั้งคู่เซนส์บอลทันกัน และเล่นร่วมกันในการฝึกซ้อมได้ดี"
"ทิตาธร ต้องพัฒนาฝีเท้าและมุ่งมั่นต่อไปเพื่อสืบทอดตำแหน่งของ ธีราทร บุญมาทัน ในอนาคต" นิชิโนะ ตอบคำถามสื่อมวลชนทั้งแทคติกของเกมตรงตำแหน่งแบ็กซ้ายในนัดนี้
ทีมชาติไทยจะลงเล่นนัดต่อไปในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายวันที่ 18 ม.ค.นี้ เวลา 17.15 น.ที่สนามม.ธรรมศาสตร์​ รังสิต ส่วนจะเจอใครต้องรอลุ้นผล "กลุ่มบี" ให้จบก่อน ตอนนี้ทั้ง ซาอุดิอาระเบีย ซีเรีย และ กาตาร์​ ได้ลุ้นเจอไทยทั้งนั้น
แต่ไม่ว่าจะเจอใครใช่ว่าต้องกลัว ที่นี่คือ "ประเทศไทย" ถึงเวลารวมใจทั้งชาติกันอีกครั้งเพื่อลุ้นตั๋ว 1 ใน 3 ใบที่จะไปกีฬาโอลิมปิก 2020 "โตเกียวเกมส์"
วันเสาร์นี้ขอกองเชียร์แน่นๆ เอาเต็มๆสนามธรรมศาสตร์เพื่อร่วมบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของฟุตบอลไทยกันอีกครั้งครับพี่น้อง ไทยแลนด์...สู้โว้ยยยยยยย
โฆษณา