17 ม.ค. 2020 เวลา 02:38
ถึงแม้ว่ายาน แคสสินี (Cassini spacecraft) ที่ถูกปล่อยออกจากโลกเมื่อปี 1997 จะทำภารกิจของมันในการโคจรสำรวจรอบดาวเสาร์เป็นเวลา 13 ปีจนสำเร็จลุล่วง และปล่อยตัวเองให้ถูกเผาไหม้ ทำลายในชั้นบรรยากาศของดาวเสาร์ตั้งแต่ปี 2017 แล้ว แต่จวบจนปัจจุบัน ข้อมูลต่าง ๆ ที่มันส่งกลับมา ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์
โดยเฉพาะของขวัญชิ้นสุดท้ายของยานแคสสินี ระหว่างที่มันเดินทางทางเข้าใกล้ดาวเสาร์และมอดไหม้ไปในชั้นบรรยากาศ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือภาพความละเอียดสูงของดาวเสาพร้อมกับแสงออโรราสีฟ้าและขาวจากแสงอัลตร้าไวโอเล็ต (UV) ที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน
แสงออโรราของดาวเสาร์ที่เห็นเป็นสีฟ้านั้นเกิดจากปฏิกิริยาของลมสุริยะที่ปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์กระทบกับสนามแม่เหล็กจากการหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงของดาวเสาร์ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าทรงพลังมาก แต่ถึงอย่างนั้นเราก็รู้รายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการเกิดออโรร่าบนดาวเคราะห์ยักษ์แบบนี้น้อยมากจริง ๆ ครับ
อเล็กซานเดอร์ แบเดอร์ (Alexander Bader) ผู้นำการวิจัย จากมหาวิทยาลัยแลงคาสเตอร์ (Lancaster University) กล่าวว่า
"เป็นเรื่องน่าแปลกใจมากที่ข้อมูลเกี่ยวกับแสงออโรราบนดาวเสาร์ยังถือเป็นปริศนาอยู่มาก แม้ว่ายานแคสสินี่จะทำภารกิจของมันเสร็จสิ้นแล้วก็ตาม”
“ภาพถ่ายระยะใกล้ชุดสุดท้ายนี้ ทำให้เราได้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถพบได้จากการสำรวจจากวงโคจรปกติของยานแคสสินี หรือแม้แต่กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล เรามีทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของแสงอยู่บ้างก็จริง แต่ก็ยังต้องการการวิเคราะห์อีกมาก "
ภาพถ่ายดาวเทียมเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะไขความลึกลับของแสงออโรรา เนื่องจากต้นกำเนิดของแสงออโรราบนดาวเสาร์นั้นถึงจะคล้ายกับบนโลก แต่กระบวนการและปัจจัยนั้นถือว่าแตกต่างกันมากทีเดียวครับ เพราะลำพังแค่สนามแม่เหล็กบนดาวเสาร์อย่างเดียวก็มีรูปแบบที่ซับซ้อนและแตกต่างจากโลกมากแล้ว
ถึงแม้ภารกิจของยานแคสสินีจะจบลง แต่ข้อมูลที่มันทิ้งไว้ก็ยังคงเต็มไปด้วยความน่าประหลาดใจ และอาจช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจการทำงานของแสงออโรราบนดาวเคราะห์ยักษ์ได้มากขึ้น
#Fact
ดาวเสาร์ถือเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ที่สามารถมองเห็นได้จากบนโลกด้วยตาเปล่า และมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยโรมันและกรีก โดยชาวโรมันตั้งชื่อให้มันในฐานะเทพเจ้าแซตเทิร์น (Saturnus) ส่วนชาวกรีกจะนับถือและเรียกชื่อในฐานะของเทพโครนอส (Cronus)
อ้างอิง (Ref.)
โฆษณา