18 ม.ค. 2020 เวลา 09:28 • ธุรกิจ
Learning Visual Diary #44 : 10ข้อคิดจาก Hard Thing about Hard Things (2/2)
สวัสดีครับทุกท่าน สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่สองของ 10ข้อคิดจาก Hard Thing about Hard Things ตอนแรกเราพูดถึงเรื่องหนักๆไปแล้ว เช่น การไล่คนออก ผมคิดว่า 5 ข้อหลัง จะเน้นที่การบริหารที่ดี เป็นเชิงป้องกันไม่ให้เกิด hard event มากกว่า แต่มันก็ยังไม่ง่ายอยู่ดีครับ มาลองดูครับว่าข้อคิด 6-10 ของผมคืออะไร
1
คือมันอย่างนี้ครับ...
6. อย่าจ้างคนเพราะไม่มีจุดอ่อนแต่ก็ปราศจากจุดแข็ง
ข้อนี้โคตรจริง หลายครั้งเวลาเราสัมภาษณ์พนักงาน เรามักมองหาจุดอ่อนก่อน เพราะการติคนหรือหาจุดอ่อนคนมันง่ายกว่าแคะจุดแข็งครับ แต่อย่าลืมสมมุติฐานที่เป็นสัจจนิรันดร์นะครับ "ไม่มีใครในโลกสมบูรณ์แบบ" แปลว่าทุกคนล้วนมีจุดอ่อนครับ แต่ถ้าเราหาคนที่ไม่มีจุดแข็ง นั่นตะหากที่เป็นจุดอ่อนที่ทำให้เราไม่มีคนที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ครับ คนเราทำผิดได้มากมาย แต่ถ้าสิ่งที่เราทำถูกแล้วมันใช่เลย มัยก็กลายเป็นความสำเร็จชั่วชีวิตได้ คนที่ประสบความสําเร็จระดับโลกทุกคนมีจุดอ่อนและก็เคยผิดครับ ต่อไปนี้มองหาจุดแข็งที่เสริมต่อสิ่งที่คุณหรือองค์กรอยากได้ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบครับ
7. ถ้าจ้างคนเก่งสำคัญ การเทรนคนให้เก่งขึ้นก็สำคัญไม่ต่างกัน
เราลงทุนกับการ hunt คนเก่งมากมายเลย แต่บริษัททั้งหลายกลับละเลยกับการทำให้คนเก่งเหล่านั้นสร้างศักยภาพอย่างต่อเนื่อง การลงทุนเพื่อหาคนเก่งมันไม่ได้จบตรงการสรรหานะครับ แต่มันเพิ่งเริ่มต่างหาก และการลงทุนในเรื่อง Training ก็คุ้มค่ามาก ลองคิดตามว่าคุณจัด internal training 3 ชั่วโมง สำหรับคน 50 คน คุณอาจจะใช้เวลา 9 ชั่วโมงในการเตรียมพร้อม (3ชั่วโมงต่อ presentation 1 ชั่วโมง) แต่คุณทำให้งานของ 50 คนมีประสิทธิภาพเพิ่มแค่ 1% ก็จะประหยัดเวลาไป
50 x 8 x 30 x 1% = 120 ชั่วโมง เท่ากับการลงทุนนี้มี ROI เท่ากับ 120/9 = 1,300% แนะ สมมติตัวเลขประสิทธิภาพต่ำกว่านี้ก็ได้นะครับ ยังไงก็คุ้ม แล้วนี่ก็คิดแค่เดือนเดียวเอง
นอกจากนี้ประโยชน์ที่สำคัญมากๆของการ Training อีก 2 เรื่อง คือ Training ช่วยให้เรามีมาตรฐาน มีความคาดหวังที่ตรงกัน ถือเป็นการทำ performance management ที่ดีอย่างหนึ่ง และเรื่องที่สอง Training ช่วยเรื่อง Employee retention คนที่ลาออกส่วนใหญ่ลาออกเพราะหัวหน้า ไม่ก็รู้สึกทำงานแล้วไม่ได้เรียนรู้ครับ
8. หนี้ทางการบริหารจัดการ (Management Debt)
ผมคิดว่าเรื่อง Management Debt เป็นหนึ่งในเรื่องแรกๆที่ผมนึกถึงเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้เลยครับ มันคืออะไร มันคือการแลกเปลี่ยนระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นบางอย่าง กับปัญหาระยะยาว บางครั้งเรามักตัดสินใจจากประโยชน์ระยะสั้นหรือเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาระยะสั้น แต่ความยุ่งยากก็เหมือนสสาร มันไม่หายไป มันจะรอเราอยู่ข้างหน้าเสมอพร้อมกับดอกเบี้ย
หลายครั้ง ผมหลีกเลี่ยงที่จะติการทำงานของทีม เพราะกลัวว่าจะเสียใจหรือเกิดความขัดแย้งกัน แน่นอนว่าน้องๆก็จะยังรักผมที่ใจดีเหมือนเดิม แต่ผมจะเจอกับปัญหาคุณภาพงานหรือไม่ก็ต้องลงเอยด้วยการติงานแบบแรงขึ้นในอนาคต หลายครั้งเราเลือกผัดวันประกันพรุ่งเพื่อสบายใจวันนี้ ฟังดูก็ชัดเจนว่าไม่ดี แต่ผมอยากจะชวนให้คิดแบบนี้ครับว่าบางครั้งทรัพยากร (เช่น เวลา) ก็มีจำกัด ดังนั้น เราอาจจะจัดการทุกเรื่องไม่ได้ ในการจัด priority เราควร aware เรื่อง Management Debt ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่เหใาะสมหรือไม่ เราไม่ควรก่อหนี้ครับ แต่ถ้าคิดแล้วว่าจำเป็นจริงๆก็ต้องทำ แต่ต้องเตรียมพร้อมรับผลของมัน
9. ผู้นำยามสงบ กับผู้นำยามศึก
ยามสงบกับยามศึกใช้ Skill, Mindset และแนวทางการทำงานไม่เหมือนกัน และคุณ Ben ให้แนวคิดเราแบบนี้
ยามสงบ ผู้นำรู้ว่าระเบียบปฏิบัตินำไปสู่ชัยชนะ ยามศึก ผู้นำต้องฝ่าฝืนวิธีปฎิบัติเพื่อชนะ
ยามสงบ ผู้นำรับสมัครคนเพื่อขยาย ยามศึก ผู้นำรับคนและต้องรู้ว่าจะปลดคนยังไง
ยามสงบ ผู้นำกำหนดวัฒนธรรมองค์กร ยามศึก การศึกกำหนดวัฒนธรรมองค์กร
ยามสงบ ผู้นำ leverage จุดแข็ง ยามศึก ผู้นำหวาดระแวงทุกเรื่อง
ยามสงบ ผู้นำส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนอกแผนการ ยามศึก ผู้นำไม่ยอมให้มีการคิดนอกแผน
ยามสงบ ผู้นำลดความขัดแย้ง ยามศึก ความขัดแย้งมีมากขึ้นและเลี่ยงไม่ได้ ผู้นำต้องบริหารและตัดสินใจ
ไม่มีด้านใดถูกหรือผิด 100% คำถามสำคัญคือ เราต้องรู้ว่าเราอยู่ในช่วงเวลาใหน ยามสงบหรือยามศึก
10. ปัญหาแรกของผู้นำคือไม่มีการเรียนเป็นผู้นำ
ถ้าเราจ้างผู้จัดการฝ่ายการตลาดซักคน เราก็ยังสามารถจัด Training ความรู้ได้ แต่ถ้าคุณเป็นผู้นำทุกคนก็คาดหวังว่าคุณต้องรู้เรื่องดีอยู่แล้ว และรู้เรื่องทุกอย่างดีที่สุด และหนังสือส่วนใหญ่เป็นเรื่อง after success story ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุด คือ on the job training และคำแนะนำที่ผมสรุปรวบยอดได้ดี คือ เข้าใจตัวเอง ฟังผู้อื่น แต่สุดท้ายเชื่อการตัดสินใจตัวเองและรับผิดชอบ ถ้าคุณเข้าใจตัวเองและรับผิดชอบ คุณจะจัดการปัญหาที่ยากที่สุดของผู้นำได้ดีขึ้น นั่น คือการจัดการอารมณ์ของคุณเองครับ
จริงๆมีเรื่องอีกมากมายที่ผมได้จากหนังสือเล่มนี้ อยากให้ลองหามาอ่านดูครับ เชื่อผมเถอะครับ ถ้าคุณทำงานกับคน (ซึ่งเลี่ยงยากมาก) Hard Things ก็มีอยู่จริงครับ ดังนั้นจงรู้เสมอว่าทำอะไรและทำทำไม focus the road not wall แล้วคุณจะพารถของคุณไปสู่เส้นชัยไม่ใช่กำแพงครับ
Happy Learning
ขอบคุณครับ
ชัชฤทธิ์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา