ปี ค.ศ. 1836 นักดาราศาสตร์ท่านหนึ่งนามว่า Sir John Herschel ได้ตีพิมพ์ผลการสังเกตการแปรแสงของดาวบีเทลจุสระหว่างปี ค.ศ. 1836 – 1840 หรือกินระยะเวลาการสังเกตนาน 4 ปีผ่านวารสาร Outlines of Astronomy โดยพบว่าช่วงปีที่ดาวบีเทลจุดสว่างมากที่สุด คือ ในช่วงเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1837 และอีกครั้งในเดือนพฤศิจกายนปี 1839
Herschel สังเกตในอีก 12 ปีต่อมา พบว่าช่วงสว่างที่สุด คือ ในปี ค.ศ. 1852 ทำให้โลกรู้จักการแปรแสงของดาวฤกษ์ (Variable Star) จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1911 จึงมีการจัดตั้ง American Association of Variation Star Observers (AAVSO) สำหรับการบันทึกข้อมูลการแปรแสงของดาวฤกษ์โดยเฉพาะ
1
ในปี ค.ศ. 1920 Albert Michelson และ Fransic Pease นักดาราศาสตร์สองท่านใช้ อุปกรณ์ Interferometer ขนาด 6 เมตร วางไว้หน้ากล้องโทรทรรศน์ขนาดหน้ากล้อง 2.5 เมตร ณ หอดูดาว Mount Wilson จากความช่วยเหลือ John Anderson ทำให้ทั้งสามท่านสามารถวัดเส้นผ่านศูนย์กลางเชิงมุมของดาวบีเทลจุสได้ 0.047 นิ้ว เมื่ออาศัยปรากฏการณ์ Parallax ทำให้ประมาณเส้นผ่านศูนย์กลางได้ประมาณ 384 ล้านกิโลเมตร (ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ของเราเกือบ 1,000 เท่า) ถึงกระนั้นความคลาดเคลื่อนในการวัด และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความแม่นยำยังคงเป็นที่ถกเถียง เนื่องจากเป็นปกติที่ดาวบีเทลจุสมีการแปรแสงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ การวัดในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ อาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดาวบีเทลจุสจัดเป็นดาวฤกษ์แปรแสงที่มีหลายวงรอบ (Multicycles) บางช่วงมีการแปรแสงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หรือบางช่วงมีการแปรแสงน้อยลงไม่ต่างกัน นักวิทยาศาสตร์ที่เริ่มสังเกตความผิดปกติของการแปรแสงของดาวบีเทลจุสว่าลดต่ำผิดปกติเป็นคนแรก ๆ ก็คือ Edward Guinan, Richard Wasationic จากมหาวิทยาลัย Villanova และนักดาราศาสตร์สมัครเล่นอีกหนึ่งท่าน คือ Thomas Calderwood ในช่วงปลายปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา