19 ม.ค. 2020 เวลา 15:27 • การศึกษา
-ควันหลงวันครู เมื่อได้ดูกังฟูแพนด้า-
ชิฟูมีศิษย์สองคนสำคัญที่ต้องต่อสู้กันเอง
ศิษย์คนแรก ไต้ลุง
ชิฟูทุ่มเททุกอย่างเพื่อสอนกังฟูให้ไต้ลุง หมายผลักดันศิษย์ผู้นี้ให้สร้างชื่อแก่สำนัก
นับแต่แรกพบ อาจารย์ชิฟูเห็นแววศิษย์ฉายพรสวรรค์ออกมาเมื่อครั้งยังไร้เดียงสา กาลเวลาผันผ่าน ชิฟูเฝ้าเพียรถ่ายทอดวิชาจนหมดไส้หมดพุง ด้านไต้ลุงก็มุ่งมั่น ทั้งสองต่างคาดหวังกันและกัน หมายมั่นเป็นนักรบมังกรในหน้าตำนาน
แต่แล้วอาจารย์ของอาจารย์ ผูเฒ่าอูเกว กลับมองเห็นความทะเยอทะยานซึ่งครอบงำซ้ำยังเสี่ยงต่อการเดิมพันอันสูงส่งต่อสำนัก ตัดสินใจไม่บรรจุให้ไต้ลุงเป็นนักรบมังกร ทั้งที่ตัวไต้ลุงมีคุณสมบัติมากกว่าใครในตอนนั้น
ความคาดหวังอันล้นเอ่อ ความทะเยอทะยานที่เพิ่มพูน ความมานะที่เอาเวลาทั้งชีวิตไปแลกมา แปรสภาพเป็นความผิดหวังในตัวไต้ลุง ตีความคุณค่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การทรยศหักหลัง อันมีผู้ใหญ่กระทำกับเด็ก เขาจึงระเบิดแรงแค้นด้วยการอาละวาด สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชน กระทั่งตัวชิฟูยังมิอาจลงมือต่อศิษย์รักที่ฟูมฟักมาตั้งแต่วันแรก
ไต้ลุงทรยศสำนัก ไม่นำพาต่อคำตักเตือน ผู้เฒ่าอูเกวจึงลงมือสยบเขา ก่อนลงทัณฑ์ด้วยการจับขังลืม เพื่อมิให้ออกอาละวาดก่อความเสียหายอีก
แน่นอน… ครูทุกคนย่อมอยากให้ศิษย์ได้ดี พัฒนาก้าวหน้าในวิชาที่ตัวเองสอน เพราะมันสะท้อนความสามารถครูผ่านศิษย์ต่อสิ่งที่ตนปั้นมากับมือ
เมื่อศิษย์ไปไม่ถึงดวงดาว ครูก็พลอยเสียหน้า
ครูไม่ผิดที่เห็นแววศิษย์เปล่งประกายในเรื่องนั้นๆ แม้ว่ามันจะเจิดจ้าปานใดก็ตาม
แต่ครูเคยถามศิษย์คนนั้นหรือไม่ว่าเขา ชอบ และ รัก ที่จะเรียนรู้สิ่งนั้น โดยไม่มีความคาดหวังมากดดันให้เขาต้องเป็นหนึ่ง เพื่อที่ครูจะได้ไม่น้อยหน้าหรือไม่?
ซ้ำการได้มาอยู่ในสำนักลือชื่อ ศิษย์จะต้องแสดงความสามารถได้ไม่ต่ำกว่าสำนักอื่นที่ชื่อเสียงด้อยกว่า เปรียบเหมือนเด็กได้เข้าไปเรียนโรงเรียนชื่อดัง จะต้องเก่งกว่าเด็กโรงเรียนวัดตามชนบท ชื่อเสียงของสำนักจึงเป็นดาบสองคม นอกจากนำความนิยมมาสู่แล้ว ยังนำความกดดันอันมหาศาลมากดดันทั้งครูและศิษย์อีกทางหนึ่งด้วย
ยิ่งสำนักนั้นมีเรื่องเล่า เด็กๆ ฟังเรื่องเล่าแล้วน้อมนำไปวางยังหลักชัยของการเรียนรู้ จึงไม่แปลกที่จะเห็นเด็กคร่ำเคร่งเพื่อตัวเองจะได้เป็นเรื่องเล่านั้นด้วย
นักรบมังกรคือเรื่องเล่าที่ไต้ลุงใฝ่ฝัน เขาพากเพียรตามที่อาจารย์ชิฟูชี้จนแทบจะเป็นเส้นตรง! เขาเดินอยู่ในโอวาทไม่ออกนอกลู่นอกทาง เพื่ออยากให้เรื่องของตนถูกเล่าโดยผู้อื่นในสำนักชื่อดังแห่งนี้
ชิฟูบอกให้ไต้ลุงทำตามที่ตนบอก ไต้ลุงก็ทำตามจนครบ นั่นไม่ได้หมายความว่า ศิษย์จะต้องประสบความสำเร็จตามสูตร 2+2=4
การเรียนรู้มันมีอะไรมากกว่านั้น
100 – 96 ก็เท่ากับ 4 เหมือนกัน
ชิฟูได้รับการแนะนำจากผู้เฒ่าอูเกวให้ขจัดสิ่งที่รบกวนใจออก บางทีจำนวน 96 เพื่อลบออกจาก 100 คือการคำนวณที่ยุ่งยากและช้ากว่า 2+2 แต่มันไม่ได้หมายความว่าคำตอบจะเป็นอื่น ชิฟูถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ใช้สูตรนี้กับศิษย์คนต่อมา
โป เป็นเด็กที่ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับกังฟู เขาฝันถึงตัวเองได้เป็นยอดนักต่อสู้ในตำนาน แต่โปขาดคุณสมบัติทุกอย่างที่จะเป็นยอดนักสู้ได้ รูปร่างอ้วน เหนื่อยง่าย กินไม่บันยะบันยัง แถมเกียจคร้าน พื้นเดิมจากทางบ้านเปิดร้านขายก๊วยเตี๋ยว ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวกับกังฟูสักกระผีก แค่เห็นปาดแรกชิฟูก็ส่ายหัว ก่ออคติขึ้นกับโปทันที
อย่างไรก็ตาม ชิฟูรับปากจะสอนวิชาให้โป เขาจึงลากโปเข้าสู่กระบวนการเดิมๆ เหมือนที่เคยอบรมศิษย์ทุกรุ่น สอนได้แค่บทแรก โปก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ผู้เฒ่าอูเกวบอกนัยให้ชิฟูไปขบคิดเกี่ยวกับตัวโป เขาจึงได้ทางสายใหม่เพื่อฝึกสอนศิษย์ ซ้ำยังเป็นการท้าทายความเป็นครูของตน
ครูสอนศิษย์ที่มีพรสวรรค์อยู่แล้วให้เก่ง กับ ครูที่ต้องสอนศิษย์โง่ๆ ให้เก่งเทียบเท่าคนอื่น…..
ครูคนไหนเก่งกว่ากัน?
ในโลกแห่งความจริง คำตอบอาจรางเลือน และชวนไปสู่คำถามอีกมากมาย แต่ชิฟูเลือกที่จะเป็นครูประเภทหลัง!
เริ่มต้นจากการลดอคติ สังเกตพฤติกรรมของโปจนแน่ชัด ว่าเขาถนัดและชอบอะไร
โปชอบกินตามประสาร่างอ้วน ทุกครั้งที่ได้กินโปจะรู้สึกเปี่ยมสุข
อาจารย์ชิฟูมองใหม่ โยนขนบตามตำราทิ้ง เลิกเคี่ยวเข็ญโปให้ฝึกซ้อม ชักชวนให้มากินของอร่อยในลานฝึก
โปโถมเข้าไปหาของกินตามนิสัย กลับถูกสกัดกลั้นด้วยอาจารย์ชิฟู โปไม่ยอมแพ้ เพื่อของกินโปพยายามเพื่อมันได้เสมอ รีบยื้อแย่งไม่ว่าชิฟูจะสกัดขัดขวางด้วยวิธีใด
โปต้องแย่งอาหารเช่นนี้ทุกวี่วัน จนมาแย่งได้สำเร็จด้วยวิชากังฟู!
ใช่ โปเป็นกังฟูในที่สุด เพราะในการแย่งอาหารแต่ละครั้ง ชิฟูได้แทรกทักษะยุทธ์ลงไปอย่างแนบเนียน! เป็นการฝึกฝนที่ไม่ได้มาจากการบีบบังคับ! ยังสนุก ได้เรียนรู้และซึมซับอย่างมีชีวิตชีวา
ที่สำคัญ อาจารย์ชิฟูไม่คาดหวังต่อลูกศิษย์รายนี้ ฝึกได้แค่ไหนก็แค่นั้น ขอเพียงรู้จักใช้สิ่งที่ตนมีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดพอ จะพิเศษกว่าคนอื่นก็ตรงโปสามารถบังคับพุงและก้นอ้วนๆ ของเขาให้พลิ้วไหวดุจปุยเมฆ และบางทีก็ใช้มันเป็นอาวุธตามแต่กรณี
สถานการณ์ไม่สู้ดี ไต้ลุงแหกคุกสำเร็จ เขาโค่น เสือ วานร กระเรียน อสรพิษ และ ตั๊กแตนลงราบคาบ(อนึ่ง ทั้งห้าคือเพลงมวยที่สำคัญของจีนหลายสำนัก)ย้อนมาช่วงชิง คัมภีร์มังกร ที่ว่ากันว่าบรรจุเคล็ดวิชาสูงสุด ใครฝึกสำเร็จก็จะได้ยืนแท่นอันดับหนึ่งในปฐพี และมันถูกสงวนไว้สำหรับนักรบมังกรเท่านั้น ไต้ลุงยังคงคิดว่าตัวเองเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
เวลาไม่คอยท่า ไต้ลุงกระชั้นเข้ามาทุกขณะ ชิฟูตัดสินใจครั้งสำคัญ อนุญาตให้โปได้คัมภีร์มังกรไปฝึกเพื่อใช้ยับยั้งไต้ลุง โปรีบเปิดเพื่อดูเคล็ดวิชา
มันว่างเปล่า!?
ไม่มีอักขระใดๆ ทั้งสิ้น ชิฟูขบคิด หรือมีรหัสนัยซ่อนอยู่? ต้องใช้อะไรสักอย่างเพื่อไขคัมภีร์มังกรให้ได้โดยด่วน
ไม่ทันการณ์แล้ว รังสีอาฆาตจากตัวไต้ลุงแผ่ซ่านและขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ชิฟูฝากคัมภีร์ไว้กับโป สั่งเสียให้ศิษย์ตัวอ้วนอพยพลี้ภัยไปพร้อมชาวบ้าน โดยตนจะปักหลักสู้ให้ถึงที่สุด
โปทำตามนั้น กลับบ้านพร้อมถือคัมภีร์มังกรเข้าไปช่วยเก็บสัมภาระเตรียมลี้ภัย ในขณะนั้นบิดาของโปกลับกระซิบเฉลยถึงสูตรน้ำซุปอันอร่อยให้โปทราบ
สูตรคือไม่มีสูตร!
เพราะคนต่างคิดและพูดไปเองว่า ของอร่อยย่อมมีเคล็ดลับเฉพาะทาง จึงได้รสชาติไม่ซ้ำใคร
บิดาของโปเฝ้าเก็บความลับนี้มาตลอด จนเมื่อตัดสินใจส่งกิจการให้บุตรถึงค่อยคลายเคล็ดลับนี้ออกมา ซึ่งนั้นก็คือการไม่ได้ใส่อะไรพิเศษลงไป แค่เพียงคิดว่าของสิ่งนั้นพิเษศษ ใจเราก็จะสัมผัสได้ถึงความพิเศษ
โปคิดไม่ผิดที่เขาเอาเรื่องนักรบมังกรไปปรึกษาบิดา เพราะสำหรับเด็กแล้ว บิดา,มารดาคือครูคนแรกของพวกเขา ต่อให้เด็กเติบโตมากขนาดไหน การนำปัญหาชีวิตเพื่อบอกกล่าวให้บิดา,มารดาฟัง อย่างน้อยมันก็คือทางออกที่ถูกที่ควร ซ้ำยังช่วยลดปัญหาที่จะตามมาในภายหลังอีกกระบุงโกย หากเลี่ยงไปอาศัยวิธีอื่น อีกทั้งยังเป็นข้อดีแก่เด็ก การเอาปัญหากลับมาบอกต่อบิดา,มารดา แม้จะแก้ปัญหาไม่ได้ แต่เด็กยังกล้าที่จะพูดความจริง! พูดกับครูคนแรกในชีวิตของพวกเขา
ครั้นได้ความจากบิดา โปฉุกคิดบางอย่างได้ เขากางคัมภีร์มังกรอันแวววาวนั่นอีกครั้ง มันยังว่างเปล่าเหมือนเดิม
แต่ความวาวได้สะท้อนใบหน้าเซื่องๆ ปนตลกของโปบนแผ่นคัมภีร์
‘ขอเพียงตระหนักให้ได้ว่าเราเป็นใคร ทำอะไรได้แค่ไหน และตั้งใจทำมันก็เพียงพอแล้ว’ ถ้อยคำของบิดาก้องอยู่ในภวังค์ของโป
คัมภึร์ถูกม้วนเก็บ โปขอไม่ไปกับบิดา ตัวเขาย้อนกลับไปยังสำนัก ซึ่งขณะนั้นอาจารย์ชิฟูกำลังตกอยู่ในอันตราย!?
โชคดีโปกลับมาทัน ทว่าสภาพของเขาไม่เหลือความน่ายำเกรง พยัคไต้ลุงมิรอช้า พุ่งเข้าไปแย่งคัมภีร์มังกรในทันใด โปไม่ยินยอม ทั้งสองต่อสู้กันต่อหน้าอาจารย์ของตน
ผ่านไปหลายกระบวนเพลง โปเสียเปรียบและตกเป็นรอง ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนวิธีรับมือกับไต้ลุง
เขาไม่คิดว่าตัวเองสู้ แต่คิดว่ากำลังเล่นแย่งคัมภีร์กับไต้ลุง ซ้ำคัมภีร์ในสายตาเขาก็ถูกเปลี่ยนเป็นของกิน มันกลายเป็นการจำลองการฝึกแย่งของกินที่เขาคุ้นเคย เพราะโปรู้ว่าเขาคือหมีแพนด้าที่ชอบกิน หมีแพนด้าที่ไม่เก่งกังฟูแต่ใช้ท้องกับก้นได้ไม่เป็นสองรองใคร ไต้ลุงที่ว่าพิชิตมาทั่วหล้าก็ยังมิอาจต้านทานก้นกับพุงของโปได้ ด้วยไม่เคยเจอการออกอาวุธประเภทนี้
สนามสอบครั้งนี้จึงมิใช่สนามสอบในความหมายเดิม เด็กชายโปกำลังคิดว่าตนได้ไปวิ่งเล่นในการต่อสู้กับไต้ลุง
เด็กที่เดินเข้าสนามสอบด้วยรอยยิ้มได้ สาเหตุหนึ่งแม้ไม่ใช่ทั้งหมดก็คือ เด็กสอบเพราะวัดความสามารถตนเอง ไม่ได้สอบให้ผู้ใหญ่เกิดความพึงพอใจ ที่กะเกณฑ์ชี้นำมาแต่แรกว่าต้องทำนี่ให้ได้ ทำนั่นให้ได้
พลิกสถานการณ์ได้ จังหวะหนึ่งไต้ลุงชิงคัมภีร์มังกรไป เขารีบเปิดดู …เช่นเคย คัมภีร์นั้นว่างเปล่า พานให้ไต้ลุงเกิดโทสะคิดเตลิดไปต่างๆ นานา ว่าโปได้เคล็ดวิชาไปก่อนแล้ว จึงพยายามเค้นเอาจากโป
แต่ไต้ลุงได้พุงกับก้นของโปเป็นคำตอบ
และแพ้พ่ายไปในที่สุด
ถ้าขนาดไต้ลุงซัดอาจารย์ชิฟูที่สอนตนให้หมอบได้ เขายังจะต้องการคัมภีร์ไปทำไมอีก แค่นี้เขาก็ยืนแท่นหมายเลขหนึ่งอย่างง่ายๆ
บางทีความสำเร็จก็หลอกใช้ให้คนขวนขวายและเหยียบย่ำแย่งชิงกัน
เด็กแบบไต้ลุงจะถือกำเนิดอีกเท่าไหร่ หากเรื่องเล่าแห่งความสำเร็จยังกระซิบหูเด็กไม่หยุดหย่อน
ข่าวเด็กวัยรุ่นจนต้องหาทางออกแบบเกินความคาดหมายในแง่ลบไม่ใช่จะไม่เคยมี กลับกัน,ยังทวีจำนวนและระยะซ้ำๆ กันถี่ขึ้นจนน่ากลัว
เด็กอีกไม่น้อยที่ถูกวิญญาณไต้ลุงเข้าสิง โดยมีผู้ใหญ่ปลุกเสกร่ายคาถาเชื้อเชิญ
หากตอนนั้นชิฟูยังตะบี้ตะบันสั่งสอนศิษย์ด้วยรูปแบบเดิมๆ แทนที่จะได้นักรบมังกรกลับจะได้ไต้ลุงสอง ไต้ลุงสาม อยู่ร่ำไปเป็นแน่
แน่ล่ะ ในโลกแห่งความเป็นจริงครูไม่ได้สอนเด็กเพียงคนเดียว ยิ่งด้วยหลักสูตรบวกกันภาคบังคับต่างๆ มิว่าจะกระทรวงเอย โรงเรียนเอย คงไม่สามารถจะทำแบบอาจารย์ชิฟูได้
แค่เพียงชื่นชมให้กับเด็กคนหนึ่ง ที่ยอมรับว่าตัวเองโง่โดยไม่ปิดบังและอับอาย ผมว่าครูคนนั้นเป็นครูที่น่าอิจฉาที่สุด เพราะเด็กคนนั้นคือคนพิเศษตรงที่เขาพร้อมจะเชื่อฟังครูทุกประการ เพื่อที่ครูจะได้ใช้ทุกวิถีทางทำให้เขาเก่งในด้านใดด้านหนึ่ง ที่เด็กทำแล้วมีความสุขจากข้างในจิตใจ ไปตลอดจนสู่ภายนอก
ใบประกาศเกียรติคุณที่แปะข้างฝาผนังเป็นเพียงเครื่องยืนยันความสำเร็จ แต่วิชาที่ครูประสิทธิ์ประสาสน์ให้เด็กนั่นต่างหาก คือสิ่งติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต
ที่ต้องไม่ลืมโดยเด็ดขาด เด็กเมื่อเรียกใครว่า ‘ครู’ แล้ว เด็กจะจดจำและเรียก ครู ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี หรือแม้จะออกจากความเป็นครูแล้วก็ตาม
แด่วันครู 16 มกราคม 2563
โฆษณา