1 ก.พ. 2021 เวลา 06:30 • ปรัชญา
"ความรัก" และ "การอภัย" (ตอนที่1)
ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ความรักไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่ทำสิ่งที่ไม่บังควร ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความชั่วช้า แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ไม่แคะไค้คุ้ยเขี่ยความผิดของเขา และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และเพียรทนเอาทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้คำพยากรณ์ก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาต่างๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกไป แม้ความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป (1 โครินธ์ 13:4-8)
แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์ก็ดี และภาษาของทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้ามีของประทานแห่งการพยากรณ์ และเข้าใจในความลึกลับทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้ข้าพเจ้ามีความเชื่อทั้งหมดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้ามอบของสารพัดเพื่อเลี้ยงคนยากจน และแม้ข้าพเจ้ายอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่ (1 โครินธ์ 13:1-3)
"ความรัก" ในที่นี้ภาษากรีก ใช้คำว่า "อากาเป้" แปลว่า ความรักแบบพระเจ้า เป็นความรักที่มีในพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากของมนุษย์
ความรัก (อากาเป้) นั้นเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และบริสุทธิ์
ฉันรักเธอก็เพราะว่าฉันรักเธอ ไม่มีเหตุผลอะไร! ไม่ใช่เพราะเธอดี สวย หล่อ เก่ง น่ารัก หรือผมรักคุณเพราะคุณรักผม ฯลฯ
พระเจ้านั้นรักมนุษย์มาก พระองค์ไม่ต้องการให้ลูกๆของพระองคืพินาศเลยแม้สักคนเดียว จนต้องประทานพระเยซูลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ เพื่อรับโทษบาปแทนเรา ตายอย่างทนทุกข์ทรมาน บนไม้กางเขน ถูกเฆี่ยนตี ถมน้ำลายใส่ ถูกด่าว่าใช้คำพูดที่ดูถูกเหยียดหยาม จากมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง พระเยซูทรงรับสิ่งเหล่านี้แทนเราทุกคน เพราะมนุษย์เราไม่สามารถเป็นคนชอบธรรมได้ด้วยตัวเราเอง
ในพระคัมภีร์ โรม บทที่ 5 ข้อ 8 กล่าวว่า...
5:8 แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
ตรงนี้แสดงให้เราเห็นว่า ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรานั้นไม่มีเงื่อนไขใดๆ แม้ว่าเราเป็นคนบาป ดำเนินชีวิตที่ตรงข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า แต่พระองค์ก็ทรงรักเราและพร้อมที่จะช่วยกู้เรา และไถ่เราให้รอดพ้นจากความผิดบาป และนำเรากับคืนมาสู่อ้อมแขนของพระเจ้า
ตอนนี้เราทุกคน (ผู้ที่เชื่อและต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต) ได้กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า เราบังเกิดใหม่ เป็นคนใหม่ เรามีพระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา วิญญาณของเรา และธรรมชาติใหม่ที่เป็นชีวิตของพระเจ้าก็อาศัยอยู่ในเราแล้ว
สำหรับมนุษย์นั้นเป็นไปได้ยากมากที่จะมีความรักได้แบบพระเจ้า แต่เป็นไปได้และเป็นไปแล้ว ในพระเยซู! และการที่เราจะมีความรักแบบพระเจ้าได้นั้น เราไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย เพียงแค่เราเชื่อว่าเรามีความรัก (อากาเป้) นี้อยู่ในเราแล้ว เราเพียงสร้างความสัมพันธ์ ติดสนิท อธิษฐาน พูดคุย กับพระเจ้า รับชีวิตใหม่ของพระเจ้า และอนุญาตให้สันติสุขของพระเจ้านั้นครอบครองจิตใจของเรา
ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน และเรากำลังอยู่ในกระบวนเปลี่ยนแปลงของพระเจ้า (ยังไม่สมบูรณ์ 100%) เรามีโอกาสที่จะทำผิดพลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนมานานกี่ปีก็ตาม จะเป็นผู้รับใช้หรือไม่ก็ตาม แต่ว่าพระคุณของพระเจ้านั้น ก็มีมากล้นเหนือความผิดพลาดของเราอย่างมากมาย
ใน 1ยอห์น บทที1 ข้อ 9 กล่าวว่า...
"ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น"
ในข้อนี้เราจะเห็นได้ว่า เมื่อเราทำผิดพลาด เรากลับใจมาสารภาพต่อพระองค์ พระองค์ก็ทรงยกโทษให้เราอย่างแน่นอน เนื่องด้วยพระโลหิตของพระเยซูนั้นได้ถูกตั้งไว้เป็นเครื่องบูชาล้างบาปให้เราบนสวรรค์แล้ว
ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าอภัยให้เรา เพราะพระองค์รักเราแบบไม่มีเงื่อนไข และเราในฐานะบุตรของพระเจ้า ก็ควรอภัยให้กับผู้ที่กระทำผิดต่อเรา เพราะเห็นแก่ความรักของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน และเพื่อไม่ให้มีอะไรมาขัดขวางความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าในการดำเนินต่อพระองค์ และไม่มีอะไรมาขัดขวางคำอธิษฐานของเรา เพื่อให้คำอธิษฐานของเราเกิดผล และการดำเนินชีวิตของเราเป็นไปตามพระประสงค์ และน้ำพระของพระเจ้า
มัทธิว 6:14, 15
เพราะว่าถ้าท่านยกการละเมิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกโทษให้ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยกการละเมิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกการละเมิดของท่านเหมือนกัน
เอเฟซัส 4:32
และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่าน เพราะเห็นแก่พระคริสต์
โคโลสี 3:13
จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกันก็จงยกโทษให้กันและกัน พระคริสต์ได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน
สรุป...
พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก อยู่ในความรักแบบพระองค์ (อากาเป้) ในความรักนั้นเราจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ใน (1คร.13:4-8) ปรากฎในชีวิตของเรา โดยการที่เรากลับไปมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ติดสนิทกับพระองค์ และการให้อภัย เริ่มจาก ขอโทษพระเจ้า สารภาพต่อพระองค์ ให้อภัยตัวเราเอง ขอโทษผู้ที่เรากระทำผิดต่อเขา และยกโทษให้แก่ผู้ที่เขากระทำผิดต่อเรา เพื่อที่ชีวิตของเราจะไม่ตกอยู่ในการล่อลวงของมาร แต่ดำเนินไปต่อในหนทางของพระเจ้า ในการควบคุม ดูแล จัดเตรียม ของพระเจ้า และแน่นอนที่สุด หนทางของพระเจ้านั้น เป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเราเสมอ
โรม 8:28
และเรารู้ว่าทุกสิ่งต่างร่วมมือกันเพื่อให้เกิดผลดีแก่คนทั้งหลายที่รักพระเจ้า คือคนทั้งปวงที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
1 ยอห์น 4:11-12
11 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเช่นนั้น เราก็ควรจะรักซึ่งกันและกันด้วย
12 ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้าไม่ว่าเวลาใด ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา
โคโลสี 3:12-14
12 ฉะนั้นในฐานะประชากรที่พระเจ้าทรงเลือก ผู้บริสุทธิ์และเป็นที่รักยิ่งของพระองค์ จงสวมความสงสาร ความกรุณา ความอ่อนโยน ความถ่อมสุภาพ และความอดทน
13 จงอดทนอดกลั้นต่อกันและกัน และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกันก็จงยกโทษให้กัน ท่านจงยกโทษให้กันเหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกโทษให้ท่าน
14 และจงสวมความรักทับคุณความดีทั้งหมดนี้ ความรักผูกพันสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์
ถึงผู้อ่านทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ เวลานี้เป็นโอกาสที่ดี ที่เรากลับมาสู่ความรักที่แท้จริงของพระเจ้า แลละคงอยู่ในความรักของพระองค์ ให้ความรักของพระเจ้าเติมเต็มชีวิตของท่าน หากมีใครที่กระทำผิดต่อท่าน ขอให้ท่านยอมยกโทษให้แก่ผู้นั้น หากท่านรู้สึกผิดกับตัวเอง ก็ขอให้ยอมยกโทษให้ตัวท่านเองและเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า หากท่านได้กระผิดต่อใครก็ขอให้ท่านไปขอโทษแก่ผู้นั้น เพื่อเห็นแก่ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราทั้งหลาย และชีวิตใหม่ที่ทรงประทานไว้ให้แก่เรา แล้วชีวิตท่านจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ท่านร้องทูลและสารภาพต่อพระองค์
ความรักและการอภัย
โฆษณา