5 ก.พ. 2020 เวลา 13:26 • กีฬา
หากพูดถึงนักเตะในพรีเมียร์ลีกที่เป็นชาวเอเชียในปัจจุบัน ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า "ซอน เฮืองมิน" จากท็อตแนมคือหมายเลข1
แต่ถ้าหากย้อนกลับไปในทศวรรษก่อน ชื่อของ "ปาร์ค จี ซอง" จะเป็นชื่อแรกๆที่เรานึกถึงแน่นอนครับ
ฟุตบอลโลกปี 2002 ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วมกับญี่ปุ่น หนึ่งในทัวร์นาเม้นระดับโลกที่อัปยศที่สุด
โดยทีมชาติเกาหลีใต้ถูกกล่าวหาว่าเป็นทีมที่ "ขี้โกง" ผู้ตัดสินช่วยเอื้อประโยชน์ให้แก่ทีมในฐานะเจ้าภาพ
จนกระทั่งเกาหลีใต้สามารถเข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
ท่ามกลางความอัปยศเหล่านั้น เราได้พบกับ “ปาร์ค จีซอง” เพชรเม็ดงามที่รอวันเปล่งประกายของวงการลูกหนัง
ผู้ที่จะกลายเป็นตำนานของชาวเกาหลีใต้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเวลาต่อมา
โดยในนัดที่เกาหลีใต้ เจอกับ โปรตุเกสเขาเป็นผู้ซัดประตูชัยลูกเดียวในนัดนั้น
จังหวะที่ได้รับบอลมาจากเพื่อน เขาพักอกใช้เท้าขวาดีดบอลขึ้นมาแล้วซัดมันด้วยซ้าย ผ่านมือ “วิเตอร์ บายา” นายทวารทีมชาติโปรตุเกสตุงตาข่ายอย่างสวยงาม
หลังจบทัวร์นาเม้นเขาได้ย้ายจาก “เกียวโต เพอเพิล ซังงะ ” ข้ามทวีปไปยังสโมสร “พีเอสวี ไฮโฮเฟ่น” ที่ลีกฮอลแลนด์
โยกย้ายข้ามทวีป
ด้วยสถิติลงสนาม 65 เกม ซัดไป 13 ประตู ก่อนจะย้ายอีกไปยังทีมที่แจ้งเกิดเขาอย่างเป็นทางการ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด”
รับ Lucky Number หมายเลข 13 ไปครอบครอง
เขาเป็นผู้เล่นเอเชียคนที่สองที่ได้เซ็นสัญญาถัดจาก “ตงฟางโจว” ในเดือนกรกฎาคมปี 2005 ด้วยค่าตัวที่แสนคุ้มค่าเพียง 4 ล้านปอนด์เท่านั้น
รับความท้าทายใหม่
ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น ยูไนเต็ดมีคิวพบกับ “เจ้าสัวน้อย – ฟูแล่ม”
หลังจบเกมยูไนเต็ดเอาชนะไปได้ 3 ประตูต่อ 2 ปาร์คได้มีโอกาสลงสนามและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมนี้
ทำไปถึง 3 แอสซิสต์จาก 3 ประตูที่ยูไนเต็ดทำได้
นอกจากนี้เขายังเป็นกัปตันทีมของยูไนเต็ดคนแรกที่เป็นชาวเอเชีย
ในเกมยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีกที่ยูไนเต็ดพบกับ ลีลส์ ยอดทีมแห่งลีกเอิงฝรั่งเศส เขาได้รับปลอกแขนกัปตันทีมต่อจาก “ไรอัน กิ๊กส์” หลังจากถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม
สวมปลอกแขนกัปตันทีม
และในที่สุดประตูแรกในลีกของเขากับยูไนเต็ดก็มาถึงในเดือนธันวาคม
ในเกมที่พบกับ ฟูแล่ม (อีกแล้ว) แต่ภายหลังคณะกรรมการของพรีเมียร์ลีก Dubious Goals Panel ได้ริบประตูนั้นไป
ให้เป็นการทำเข้าประตูตัวเองของ คาร์ลอส โบคาเนกรา กองหลังฟูแล่ม
โดยประตูอย่างเป็นทางการที่ทำได้ในพรีเมียร์ลีกนั้นเกิดขึ้นในนัดที่ยูไนเต็ดเอาชนะ ปืนใหญ่ อาร์เซนอลไปได้ 2-0
กราฟของชีวิตที่พุ่งขึ้นต้องหยุดชะงักเมื่อปี 2006 เขาได้รับบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าในเกมที่พบกับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ส
หลังจากพักยาวได้ 3 เดือนเขาได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง แต่ก็ยังคงมีปัญหาบริเวณหัวเข่าที่เรื้อรัง
จนในที่สุดต้องบินไปอเมริกาเพื่อทำการรักษาโดยเฉพาะ
ในฤดูกาลนั้นยูไนเต็ดได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอง และปาร์คได้กลายเป็นผู้เล่นเอเชียคนแรกที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก
ฤดูกาลถัดมา (2007-2008) ปาร์คได้กลับมาลงสนามอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน
โดยในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบควอเตอร์ไฟนอล ผีแดงมีคิวเจอกับโรมา ปาร์คได้มีส่วนร่วมโดยทำ 1 แอสซิสต์ให้แก่ “เวย์น รูนีย์”
ทำให้ยูไนเต็ดสามารถเอาชนะไปได้ แต่น่าเสียดายที่ในรอบไฟนอลที่ยูไนเต็ดเจอกับเชลซี “เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” ตัดสินใจดรอปเขาไว้ไม่ให้ลงสนาม
ซึ่งภายหลังท่านเซอร์ได้เปิดเผยว่านี่เป็นการตัดสินใจที่เขารู้สึกเสียใจมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตการเป็นกุนซือ
ในนัดนั้นยูไนเต็ด เสมอ 1-1 ต้องต่อเวลาโดยเป็นยูไนเต็ดที่แม่นกว่า ยิงจุดโทษชนะ 6-5 สามารถคว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้
และในปีถัดมาเขาได้รับความไว้ใจจากเซอร์อเล็กซ์ ให้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงในนัดชิงยูฟ่าในเกมที่พบกับบาร์เซโลน่า
น่าเสียดายที่ยูไนเต็ดพ่ายไป 2-0
ปะทะเจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลนา
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ในฤดูกาล 2011-2012 การขับเคี่ยวระหว่าง 2 ทีมเมืองแมนเชสเตอร์ได้ทวีความดุเดือด
ในเกมแมนเชสเตอร์ดาร์บี้ นัดนี้มีความสำคัญมากเพราะเป็นนัดที่สามารถตัดสินแชมป์ในฤดูกาลนั้นได้เลย
โดยเป้าหมายของยูไนเต็ดคือการป้องกันแชมป์ให้ได้ เซอร์อเล็กซ์ ยังคงมีศรัทธาในตัว ปาร์ค
โดยหวังว่าเขาจะสามารถนำความแตกต่างมาสู่เกมได้
นั่นเป็นเพราะเขามักจะเล่นได้ยอดเยี่ยมในเกมใหญ่ๆเสมอ แต่ทว่าในนัดนี้กลับไม่เป็นดั่งที่ผ่านมา
ด้วยสังขารที่เริ่มโรยรา ทำให้ในสนามปาร์คกลับไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างที่เคย
ท้ายที่สุดยูไนเต็ดไม่สามารถต้านความร้อนแรงของซิตี้ได้ แพ้ไป 1 ประตูต่อ 0
และเป็นแมนเชสเตอร์ซิตี้ที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ
หลังจากนั้นเขาได้ย้ายไปเล่นให้กับ “ควีนสปาร์คเรนเจอร์ส” ในระยะเวลาสั้นๆ
เริ่มโรยราที่ ควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส
ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดกับ “พีเอสวี ไฮโฮเฟน” ในเดือนพฤษภาคมปี 2014 ด้วยวัย 33 ปี
PSV ทีมสุดท้ายในการค้าแข้ง
โดยเขาได้กล่าวว่า
“ผมไม่ได้เสียใจอะไรเป็นพิเศษ ผมเคยสงสัยว่าผมจะร้องไห้หรือเปล่าแต่มันก็ไม่รู้สึกแบบนั้นเลย"
"มันหมายความว่าผมไม่มีอะไรต้องเสียใจเลยในอาชีพนักฟุตบอลของผม ผมมีความสุขอย่างเต็มที่และได้รับทุกอย่างมากกว่าที่ผมต้องการเสียอีก”
แถลงข่าวอำลาวงการลูกหนัง
ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ลงสนามให้ยูไนเต็ด ช่วยให้ทีมคว้ามแชมป์ลีก 4 สมัย , เอฟเอคัพ 3 สมัย , ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และ สโมสรโลก อย่างละ 1 สมัย
อาจกล่าวได้ว่าปาร์คเป็นผู้บุกเบิกให้นักเตะเอเชียมีที่ยืนในพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง
ที่ถิ่น Old Trafford นี้เองที่เขาพัฒนาตัวเอง โดยมีจุดเด่นคือความขยัน เป็นดั่งห้องเครื่องของยูไนเต็ด
มาพร้อมด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท พิสูจน์ตัวเองให้แฟนบอลทั่วโลกเห็นว่า คนเอเชียที่ว่าตัวเล็ก เสียเปรียบเรื่องสรีระร่างกาย ก็สามารถประสบความสำเร็จและยืดหยัดในเวทีพรีเมียร์ลีกได้
ความสำเร็จไม่สนเชื้อชาติ ไม่สนฐานะ ไม่สนอะไรทั้งนั้น
มันสนแค่ว่าคุณตั้งใจและเต็มที่แค่ไหน..
และ "ปาร์คจีซอง" เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
#ใครไม่หลีกพรีเมียร์ลีก
source: goal thailand, wikipedia, shotongoal
โฆษณา