Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Life Love&Laugh
•
ติดตาม
8 ก.พ. 2020 เวลา 23:29 • ปรัชญา
"คน..นอกสายตา"
ในชีวิตคนเรานั้น หากนึกย้อนไป เราอาจจะพบว่า วันเวลาที่ผ่านมานั้น เราทุกคนต่างถูกคนรุ่นพี่ได้พยายามที่จะสนับสนุนช่วยเหลือโดยที่เราอาจจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะคิดแบบเด็กๆ
ไม่ได้ใส่ใจมองใครมากนัก ทั้งๆที่เรากำลังถูกจับตา เสมือนมีแมวมอง แบบดารา..มีเรื่อเล่าว่า...
ช่วงทำงานแรกๆของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาก็ไม่รู้หรอกนะว่า กำลังอยู่ในสายตาที่คนอื่นมองว่าน่าจะมีแววอยู่บ้าง
จึงถูกดึงตัวมาช่วยงาน เขาก็อดสงสัยว่าเหตุใดเขาอยู่ไกลถึงอีสาน เจ้านายยังชวนมาอยู่ให้ทำงานProject based..ในกรุง
ก็ถามเจ้านายว่าเหตุใดจึงเลือกเขามาได้..
เจ้านายบอกเขาว่า "ก็เพราะว่า..คุณเป็นเสมือนหิ่งห้อย ที่มีแสงอยู่ในตัวไงล่ะ จึงมองเห็นแม้ยามค่ำคืน"
เด็กหนุ่มจึงเริ่มเรียนรู้ว่า บางทีคนเรามักจะมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ในตัว แต่คนอื่นเขาอาจเห็นได้
ต่อมาเจ้านายก็ส่งเขาเป็นตัวแทนเหตุเพราะ"เป็นหิ่งห้อย"ในสายตาเจ้านาย..ให้ไปสอบชิงทุนของหน่วยงาน ซึ่งมีการสอบวิชาภาษาอังกฤษ และสอบวัดความถนัดและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
เด็กหนุ่มก็ไม่มั่นใจนักเพราะเป็นเด็กภูธรเพิ่งจะมาอยู่นครบาล..
แต่ในที่สุดก็ผ่านติดกลุ่มที่หน่วยงานเขาขึ้นบัญชีใส่ตระกร้า เอาไว้รอมีตังค์ก็จะส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ
ตอนนั้นเจ้านายดูภูมิใจตนเองมากและบอกว่า.."ผมเลือกคนไม่ผิดจริงๆนะ"
ต่อมาเด็กหนุ่มก็ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในห้าคนของหน่วยงาน เพื่อไปสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในประเทศ
เพราะทุนไม่พอส่งไปต่างประเทศแล้ว แต่หน่วยงานอนุมัติทุนให้เพียง1ทุนเท่านั้น
โดยให้ทั้งห้าคนไปสอบเข้าในสถาบันการศึกษาที่หน่วยงานเลือกไว้ และหากมีการสอบผ่านเกณฑ์ของสถาบันมากกว่าหนึ่งคน ให้พิจารณาตามลำดับที่หน่วยงานจัดเรียงไว้
เด็กหนุ่มคิดว่าช่างถือเป็นการแข่งขันชิงทุนเรียนต่อที่สมบูรณ์แบบมาก เพราะต้องไปทดสอบหลายคน โดยที่
เขานั้นจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับการคัดเลือก เพราะถูกจัดอยู่ลำดับห้า
ถ้าคนใดคนหนึ่งในสี่คนแรกทำได้ก็ไม่มีทุนมาถึง
เขานึกขำ..เพราะแทบจะเป็นไปได้ยากจริงๆ
แต่สถาบันที่หน่วยงานเลือกนั้น เขาให้มีการสอบสามวิชา ต้องผ่านเกณฑ์ให้ครบทั้งสามวิชาจึงจะมีสิทธิ์สมัครเข้าเรียนได้
บังเอิญเด็กหนุ่มนั้นเคยไปสอบมานานแล้ว และผ่านแค่สองวิชาเท่านั้น จึงไม่มีสิทธิ์ได้
จึงรู้ว่าตัวเขามีจุดอ่อนที่วิชาใด ดูแล้วน่าจะมีโอกาสน้อยจากสถิติของตนเอง
ดีงนั้นเขาจึงคิดแต่เพียงว่าต้องทุ่มเทที่วิชานั้นเป็นหลัก โดยไม่ได้สนใจเพื่อนอีกสี่คน ว่าเขาคือคู่แข่ง เพราะคู่แข่งที่แท้จริงนั้นคือตัวเขาเองนี่แหละ
สุดท้ายผลลัพธ์ก็ออกมาว่าเด็กหนุ่มสามารถสอบผ่านได้ครบทั้งสามวิชาตามหลักเกณฑ์ แต่เพื่อนอีกสี่คนนั้นผ่านไม่ครบทุกวิชา ขาดหนึ่งวิชา
แม้ว่าอีกสองวิชานั้นพวกเขาทำได้ดีกว่าเด็กหนุ่มมากมายทุกคน แต่ไม่เพียงพอที่จะได้สิทธิ์สอบเข้าเรียนได้
เจ้านายของเขาได้ให้กำลังใจ และเขาได้จำเป็นบทเรียนในชีวิตมาตลอดว่า
"คุณไม่ต้องเสียใจที่ทำคะแนนได้ไม่ดี เท่าเพื่อนๆ เพราะการไปถึงเส้นชัยนั้น ไม่จำเป็นต้องสวยหรูเกินไป"
แล้วท่านก็เล่าเรื่องเปรียบเปรยให้ฟังว่า มันเป็นเสมือนการแข่งขันม้าแข่งในสนาม ปรากฏว่าม้าสี่ห้าตัวต่างวิ่งเข้ามาถึงเส้นชัย ในเวลาแทบจะพร้อมๆกัน จนมองไม่ทัน
จึงต้องมีการตัดสินกันด้วยภาพถ่าย สมัยนี้เขาเรียกว่า"VAR"แบบดูบอลช้าๆชัดกันเลยนะ"
ท่านถามว่า"คุณรู้ไหม ว่าม้าตัวไหนชนะ และชนะกันตรงไหน"
เด็กหนุ่มตอบท่านไม่ได้ ท่านเลยบอกว่า"ม้าที่ชนะคือม้านอกสายตาของเซียนทั้งหลาย"
ท่านเว้นวรรคให้อยากฟังเพิ่มขึ้น แล้วบอกว่า"จากภาพถ่ายนั้น ผลเฉือนชนะกันตรงที่ม้าตัวนั้น มันวิ่งมาสุดแรงและเหนื่อยมากๆ จนลิ้นห้อยแลบออกมา "
"และด้วยลิ้นที่ยาวออกมานั้น..จึงแตะถึงเส้นชัยก่อนม้าตัวอื่นๆ..
และคุณก็คือม้าตัวนั้น นั่นเอง"
เด็กหนุ่มถึงเข้าใจ ตั้งแต่นั้นมาว่า
"บางครั้งการคิดที่จะเหนือการแข่งขัน ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่สมบูรณ์แบบเสมอไป
ขอแค่เอาชนะตัวเเองให้ได้ก่อน และไม่ต้องสวยหรูจนเกินไปนักก็ได้"...."LL&L 9/2/63
2 บันทึก
124
89
6
2
124
89
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย