Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Emproud เที่ยวถ่ายรูป
•
ติดตาม
9 ก.พ. 2020 เวลา 02:18 • ท่องเที่ยว
คุณหมิง-ต้าลี่ EP.1 เที่ยวคุนหมิงกับคนคุนหมิง
หนี่ห่าว กลับมาแล้วหลังจากครั้งก่อน ผมได้เขียน แนะนำการเตรียมตัวก่อนไปจีนกันแล้วไปแล้ว
อ่านได้ที่ลิงก์นี้
https://bit.ly/2HbYLJX
รอบนี้ได้เวลาเริ่มเล่าถึงการเดินทางซักที พร้อมกับเรื่องราวที่ได้พบเจอระหว่างทริป จะพยายามเล่าให้ได้มากที่สุด เพื่อให้คนที่จะไปตามรอยได้เตรียมตัวและทำใจก่อน และสำหรับใครอยากรู้เรื่องอะไรแต่ขี้เกียจอ่านก็ comment มาถามได้
อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าทริปนี้ ผมได้ไปพักกับเพื่อนคนจีนที่บ้านของเขา ดังนั้นวิธีในการเดินทาง ส่วนใหญ่จะใช้การขับรถไป จึงไม่เหมาะกับคนที่จะเดินทางไปด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่ได้มาแทนคือเรื่องเล่า และคำแนะนำเรื่องสถานที่และอาหารการกินจากคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นอย่างแท้จริง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรมาลองอ่านกันต่อดูครับ
FACEBOOK - @Emproud เที่ยวถ่ายรูป
INSTAGRAM - @emproudchannel
YOUTUBE CHANNEL -
https://bit.ly/2OSU9gr
Photographer @Sakkarach MObb
#emproudchannel #china #คุนหมิง #เที่ยว #kunming
เอาหล่ะ ผมขอเล่าเริ่มจาก การเดินทางไปสนามบินเลนแล้วกัน เรื่องมีอยู่ว่า วันพุธหนึ่งในเดือนธันวาคม ผมเริ่มต้นถือกระเป๋าสิงใบเพื่อไปยังสนามบิน ซึ่งตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า จะนั่งรถเมล์ A1 หรือ A2 จากจตุจักรไป ดอนเมือง เมื่อมาถึงก็เกิดเรื่องเล่าในตำนานเรื่องแรก ดังนี้
ผมเดินออกจาก สถานีรถไฟฟ้าMRT เจอะกะพี่วินเสื้อส้ม เค้าถามผมว่า
พี่วิน: ”ดอนเมืองไหมน้อง”
อันตัวเรา: ใช่ครับ
พี่วิน: ไปมอไซด์เลย รถติดมาก
อันตัวเรา: เท่าไหร่พี่
พี่วิน: 400 บาท
อันตัวเรา: โฮ้วววว แพง
แล้วผมก็เดิน จากไป พร้อมกับเสียงบอก code ส่วนลดราคา จากพี่วินที่ทำให้ราคายิ่งถูกลง เมื่อผมยิ่งเดินห่างออกไป
พี่วิน: 350 อ่ะ 300 อ่ะ 250 น้องงงงงงง
แต่ผมไม่หันกลับไปนะ เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะนั่งรถเมล์ ที่กล้าเสี่ยงเพราะ เที่ยวบินผมเป็นรอบดึก เลยคิดว่าถ้ารถติดหนักเหมือน สุขุมวิท หลังเลิกงายวันน้ำท่วม ยังไงก็ไปทัน แต่กลับกลายเป็นว่า ถึงแม้รถจะติด แต่รถเมล์วิ่งขึ้นทางด่วน ปื๊ดเดียวก็ถึงสนามบินแล้ว
ก่อนจะเริ่มเดินทาง ทริปนี้มีของมาฝากด้วยเป็น Postcard จาก kunming ซึ่งเป็นรูปเมือง kunming ย้อนอดีตไปมากกว่า 30 ปีที่แล้ว
ขอวาร์ปไป ตอนขึ้นเครื่องบินเลยแล้วกัน สายการบินหางแดง คือแบรนด์ที่คู่ควรกับผมในทริปนี้ เมื่อขึ้นเครื่องไปความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อ 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นชาวจีน ที่ต้องลุกลี้ลุกลนกับการแย่งช่องใส่กระเป๋าบางคนกระเป๋าใหญ่จนแทบจะใส่ไม่ได้ แม้แต่ตอนเครื่อง take off อาหมวยบางท่านยังใช้มือถือ และปรับเอนเก้าอี้อยู่เลย แต่เหล่าขบวนการการแอร์และสจ๊วตก็รับมือได้อย่างทันท่วงที
2 ชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินมาถึงสนามบินคุนหมิงก่อนกำหนด ถึง20 นาที เมื่อมาถึงสนามบิน สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้คือ อากาศที่เย็นเหมือนเราอยู่บนดอยอินทนนท์ ในเวลาตี 5 ตลอดเวลา ผมจึงค่อยๆ หยิบเสื้อคลุมแบรนด์ไวรัลจากญี่ปุ่นมาคลุม และเดินไปด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งต่อไปจะย่อว่า ตม.
เรื่องเล่าในตม.
ย้อนกลับไปบนระหว่างนั่งเครื่องแอร์แจ้งว่า ‘สำหรับใบตรวจคนเข้าเมืองเราไม่มีบริการให้บนเครื่องนะคะ ผู้โดยสารจะต้องไปรับที่สนามบิน”
เมื่อมาถึงคุณจะเจอกับใบตม. ที่มีลักษณะดังนี้
เมื่อมาถึงก็เขียนไปครับ จากนั้นเตรียมพาสปอร์ต ให้พร้อมเดินไปที่ตู้อัตโนมัติ เสียบพาสปอร์ตสแกน แล้วผมก็ตกใจว่า มันพูดภาษาไทยได้ ด้วยสำเนียง google translate เมื่อสแกนผ่านก็จะได้ใบหน้าตาแบบในรูปที่เขียนว่า OK
จากนั้นก็ไปต่อคิว ตม.
ที่หน้าเจ้าหน้าก็จะมีกล้องถ่ายรูปที่สามารพูดได้หลายภาษา และแน่นอน หนึ่งในนั้นคือภาษาไทย เช่นมันจะพูดว่ากรุณายืนให้ตรงตำแหน่ง ด้วยความที่ในแถวมีคนหลากหลายสัญชาติ ตอนผมยืนรอเลยได้ยืนคำนี้ ในภาษาอื่นไปด้วย
เคล็ดลับในการเลือกแถว ให้ใช้เวลาน้อยที่สุด คือเลือกต่อแถวที่อยู่ใกล้ ตม. คนจีน เพราะช่วงเวลาที่ยังไม่มีคนจีนผ่าน คนต่างชาติ จะเริ่มโดนดึงไปเข้าช่องนี้ ทำให้เกิดระบบสองมาตรฐานขึ้นเพราะพี่แกเลือกอยู่แถวเดียว ส่วนอีกแถวจะยาวแค่ไหนพี่แกก็ไม่สนใจ
เมื่อผ่านด่านแรกมาได้ ด่านต่อไปคือการรับกระเป๋า และโทรหาเพื่อนผ่าน Wechat ซึ่งการเดินทางเข้าเมืองทริปนี้เพื่อนคนจีนอาสามารับถึงสนามบินทั้งๆที่เป็นเวลาเกือบจะตี4 ของที่นั่น แต่ถ้าใครมาแล้วต้องการเข้าเมืองแต่ไม่มีรถมารับ สามารถไปซื้อเป็นตั๋วรถบัสได้ ในราคา 25 หยวน หรือ 100 บาทโดยประมาณ
ในเวลาตี 3 บนท้องถนนไม่ค่อยจะมีรถ แต่แสง สีที่อยู่ตามตึกและ สะพาน รวมทั้งด้านเก็บเงินก็ทำให้ผมไม่ลืมที่จะหยิบกล้องมาถ่าย เพราะมันสวย
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่พัก สิ่งหนึ่งที่ต่างจากไทยคือ ลิฟต์ที่ไม่มีปุ่มกดชั้น 14 เพื่อนบอกว่า เลข14 เป็น unlucky number ของคนที่นี่
เมื่อมาถึงก็ต้องอาบน้ำ และนอนตอนเวลาเกือบจะตีห้า
และก็ตื่นนอนมาในเวลาเกือบเที่ยงวัน พร้อมที่จะไปทำความรู้จักคุนหมิง
ต้องบอกว่าทริปนี้ ผมไม่ได้วางแผน อะไรมาเลย คุนหมิงที่รู้จักก็คือการนำชื่อมาตั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในไทย อย่างคุนหมิงเมืองไทย คุนหมิงไทยแลนด์อะไรทำนองนี้ เลยกะว่ามาพึ่งเพื่อนพาไปโน่นไปนี่โดยเฉพาะ โดยไม่มีคำว่าเกรงใจเพราะมันไม่มีคำแปลในภาษาอังกฤษ
เที่ยงวันแรก ผมและเพื่อนคนจีน เริ่มต้นบทสนทนาที่ริมหน้าต่างพร้อมวิวเมืองคุนหมิงที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก เพื่อคุยถึงแผนการในวันแรก และได้ข้อตกลงว่าจะไปทำความรู้จักคุนหมิงกัน เพราะเหลือเวลาแค่ช่วงบ่ายถึงค่ำ
เราสองคนเริ่มต้นเดินทางด้วย รถยนต์สัญชาติจีน ยี่ห้อ smart คันจิ๋ว เห็นแล้วก็อยากได้กลับไปขับที่กรุงเทพสักคัน เพราะหาที่จอดรถง่ายดี
ก่อนออกสู่ถนนใหญ่ผมไปสะดุดตากับการแบ่งช่องทางสัญจรของคุนหมิง ซึ่งมีการแบ่งเลน รถยนต์ ออกจากรถมอเตอร์ไซด์และจักรยาน ดูแล้วเป็นระเบียบเรียบร้อยดีมาก
และอีกสิ่งที่ต่างจากกกรุงเทพคือการขับรถที่นี่พวงมาลัยจะอยู่ทางซ้ายมือ และขับบนถนนทางเลนขวา
ผมรู้เลยว่ามันมีสัญชาตญานบางอย่างที่ติดตัวมาจากกรุงเทพ เพราะเวลาข้ามถนนปกติจะต้องมองรถทางขวามือก่อน และที่นี่ต้องมองรถทางซ้ายมือก่อน
ระหว่างในรถ ผมสงสัยว่าป้ายทะเบียนรถที่จีนเค้าเขียนว่าอะไร จึงถามเพื่อนและได้คำตอบว่า
1.อักษรจีนตัวแรกเป็นชื่อย่อมณฑล เช่น Yunnan,Henan,Hubei
2.อักษรภาษาอังกฤษ จะเป็นรหัสแทนชื่อเมืองในมณฑลนั้น เช่น A=Kunming
นี่คือแผนที่ PART 1 ของสถานที่ที่เราจะไปในวันนี้ โดยย่านแรกที่เราจะไปคือย่านมหาวิทยาลัย Yunnan
กรณีที่ไม่มีรถ สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งที่นี่เรียกว่า Metro ลงสถานี Chuanxinglou stop
นั่งรถมา 20 นาที ก็ถึงจุดหมายแรก โดยเราเดินไปตามถนน Qianju เพื่อไปกินอาหารมื้อแรกของวัน ซึ่งเพื่อนบอกว่าร้่านนี้อร่อยมากและราคาถูก
ทาไปร้านเริ่มคับแคบจนไม่น่าเชื่อว่ามีของกินขายในนี้ด้วย
และแล้วก็เดินมาถึง ร้านมีชื่อว่า 33 Kougang
ดูรีวิวและตำแหน่งร้านได้ที่
https://www.mafengwo.cn/poi/25541510.html
เนื่องจากเมนูที่ร้านเป็นภาษาจีนทั้งหมด โปรดอ่านอีกครั้ง เป็นภาษาจีนทั้งหมด แต่บางเมนูก็มีรูปให้ดู โชคดีของการมีเจ้าถิ่นไปด้วยก็คือให้เค้าสั่งให้เรา ซึ่งอาหารเที่ยงของผมวันนี้ก็คือ เมนู Xiǎo guō mǐfěn เป็นก๋วยเตี๋ยวชนิดหนึ่งของยูนนาน ขอบอกว่าอร่อยมาก ลักษณะเส้นคล้ายๆ เส้นยากิโซบะผสมเส้นขนมจีนบ้านเรา แต่ขนาดจะใหญ่กว่า ราคาชามนี้ตกอยู่ที่ประมาณ 10 หยวน หรือ 50 บาทไทยโดยประมาณ
อันนี้เรียกว่า Shui jin mu gua (ฉุ่น จิน หมู่ กวา) หรือน้ำวุ้นมะละกอ วุ้นที่เห็นเป็นวุ้นที่ทำมาจากยางมะละกอแล้วนำมาต้มกับน้ำตาล เพื่อคนจีนบอกว่านี่คือเครื่องดื่มประจำมณฑลยูนนานเลยที่เดียว เพราะไม่ว่าจะไปร้านอาหารร้านไหนก็จะมีเครื่องดื่มชนิดนี้ขายด้วย ซึ่งบอกเลยว่าใครไปคุนหมิงควรสั่งมาลองสักครั้ง
นอกจากอาหารจะอร่อยแล้ว บรรยากาศในร้านก็ตกแต่งได้สวยงาม
เมื่ออิ่มท้อง ก็ถึงเงลาเติมเต็มความอิ่มใจด้วยการเดินเที่ยว จุดเราที่เราสองคนเดินไปคือมหาวิทยาลัย Yunnan ตอนแรกผมก็สงสัยว่าจะมาเที่ยวที่นี่ทำไม แต่พอมาถึงก็เจอกับคำตอบเพราะสถานที่ไฮไลต์แห่งแรกนั่นคือ อุโมงค์ต้นแปะก๊วย หรือ อุโมงค์ Gingko ซึ่งมีนอกจจากจะสวยแล้วอากาศเวลาบ่ายโมงกว่าช่างดีเหลือเกินด้วยอุณหภูมิ 9 องศาเซลเซียส
นอกจากนี้ในมหาวิทยาลัยยังมีอาคาร และสถานที่สำคัญอื่นๆ ที่สวยงาม เช่นกัน
เดินออกจากมหาวิทยาลัยยูนนาน จะเจอกับร้านหนังสือ the elephant สัญลักษณ์รูปช้างสีน้ำเงิน ภายในร้านแต่งได้สวยงามงามมาก และที่นี่มีของชิ้นหนึ่งที่ควรซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึก นั่นคือ
โปสการ์ด เมืองคุนหมิงในอดีต เพื่อนเล่าให้ฟังว่าทุกวันนี้รัฐบาลจีนกำลังพัฒนาหัวเมืองต่างของจีน ทำให้อาคารต่างๆ ถูกรื้อย้ายและสร้างเป็นตึกสูงบ้าง อาคารแบบตะวันตกบ้าง หรือสร้างเลียนแบบของเดิมบ้าง นั่นทำให้อาคารบ้านเรือนแบบจีนดั้งเดิมค่อยๆ หาดูได้ยาก คงจะดูได้ตามรูปถ่ายนี่แหละ ราคา 1 ชุดตกอยู่ที่ประมาณ 25 หยวน หรือ 100 กว่าบาท
หลังจากเดินผ่านมหาลัยYunnan และแวะร้านหนังสือ เราเดินกันต่อตามถนน Qianyu และเข้าตรอกRunbu
ระหว่างเดินท่ามกลางอากาศเย็น ขอจิบอะไรสักหน่อย นี่คือ กาแฟรสคาราเมล ไม่แน่ใจว่าที่ไทยมีไหมเพราะพึ่งเคยกินครั้งแรกตอนไปจีนนี่แหละ ต้องบอกว่าอร่อยมากจริงๆ โดยไม่มีการ tie in สินค้าแต่อย่างใด
เพื่อไปที่ ทะเลสาปสีเขียว ในสวนสาธารณะ cuihu ที่นี่สวยมากและมีนกนางนวลบินโฉบอาหารตลอดเวลา จนบางที่รู้สึกเหมือนอยู่บางปู ที่มีน้ำสีเขียว
ข้างๆ ทะเลสาป มีสถานที่ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ นั่นคือ ศูนย์ฝึกทหาร ยูนนาน ที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ฝึกทหารในช่วงสงครามโลก ที่จีนถูกญี่ปุ่นรุกราน เพื่อจะสร้างถนนไปยังประเทศเมียนมาร์
ปัจจุบันข้างในเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับศูนย์ฝึกแห่งนี้ และสงครามโลก ซึ่งสถานที่นี้เป็นอีกจุดถ่ายรูปสวยเช่นกัน
จนมีคนไทยมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก ขนาดป้ายบอกทางยังมีภาษาไทย ป้ายห้ามก็มีเช่นกันไม่รู้มีคนไทยมาเล่นซนอะไรในนี้หรือป่าว ลืมบอกไปว่าก่อนจะเข้ามามีการตรวจกระเป๋าด้วยเนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญทางการทหาร ที่นี่เปิดให้เข้าชม เวลา 9 โมงเช้า ถึง 5โมงเย็น (เวลาจีน) แต่ส่วนของพิพิธภัณฑ์จะเปิดถึงแค่สี่โมงเย็นนะ ซึ่งเราไปไม่ทันนั่นเอง เลยไม่ได้เก็บภาพมาฝาก
ขากลับเราเจอกับลุง กำลังเขียนตัวหนังสือจีน บนทางเท้าโดยใช้น้ำด้วย เป็นอีกสิ่งที่หาไม่ได้บนทางเท้ากรุงเทพ เพราะที่กรุงเทพจะพิเศษกว่า เพราะมีของมาขายด้วย
ไหนๆ ก็พูดถึงทางเท้าแล้ว ที่คุนหมิงทางเท้าในถนนเล็ก ผมเห็นรถมอเตอร์ไชด์ขึ้นมาวิ่งบนทางเท้าเป็นเรื่องปกติ แต่ในถนนใหญ่จะมีเลนแยกสำหรับทางเท้าและรถมอเตอร์ไซต์ ผมก็เลยถามเพื่อนว่า ที่นี่เค้าวิ่งมอเตอร์ไชต์บนทางเท้าได้หรอ เพราะที่กรุงเทพมันผิดกฎหมาย เค้าก็บอกว่า วิ่งได้ไม่มีปัญหา
อีกวิ่งที่น่าสนในเกี่ยวกับทางเท้าก็คือจะมีจักรยานให้เช่าปั่นได้ จะมีจอดอยู่ตามตึกต่างๆ เราแค่เอามือถือสแกนจ่ายเงินก็ ยืมใช้ได้แล้ว
นอกเรื่องไปเยอะแล้วกลับเข้ามาที่การเที่ยวกันต่อ จุดหมายต่อไปก็คือย่าน Wuhua ย่านการค้าใจกลางเมือง ให้นึกถึงสยาม เพราะที่นี่เป็นย่านรวมแหล่งการค้าตั้งแต่สมัยโบราณ แล้วปัจจุบันก็มีห้องสรรพสินค้าผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ถึงแม้จะมีความเจริญเข้ามา แต่ย่านนี้ยังมีอาคารและสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณแทรกอยู่ตามตรงซอกซอยต่างๆ เดียวเราจะพาทุกคนไปดู ตามแผ่นที่นี้
เราต้นการผจญภัยกันที่ถนน Qianwang และ Guanghua
เพื่อนคนจีนบอกว่า แต่เดิมบริเวณก็มีร้านขายของที่เป็นตึกแบบโบราณนี่แหละ และพ่อค้าแม่ค้าก็จะเป็นคนในพื้นที่ แต่ปัจจุบันก็มีร้านขายของที่เจ้าของเป็นกลุ่มนายทุนบ้าง เป็นแบรนด์ต่างประเทศเกิดขึ้นมากมาย เพราะค่าเช่าที่แพงขึ้นคนในพื้นที่เดิมไม่มีเงินจะทำธุรกิจในย่านนี้ และก็ต้องย้ายออกไปแถวชานเมือง
ขณะที่อาคารที่เห็นบางส่วนเป็นของเดิม แต่บางส่วนก็สร้างเลียนแบบของเดิม
จากรูปจะเห็นว่าอาคารบางส่วนก็ถูกล้อมเพื่อเตรียมรื้อย้าย
อย่างร้านนี้ก็เป็นร้านหนึ่งที่มีการย้ายกิจการไปขายที่อื่น อาคารด้านหลังก็กำลังมีการรื้อย้าย และก่อสร้างอาคารใหม่อยู่
แต่ก็ยังมีร้านค้าเก่าแก่ อย่างเช่นร้านนี้ยังขายอยู่ได้
อาคารบางส่วนก็สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก อย่างตึกนี้ก็สร้างตามแบบอาคารของฝรั่งเศส
ถัดจากถนน Guanghua ผมและเพื่อคนจีน เดินกันมาตามตรอก Qianwang จนมาโผล่แยก ถนน Dongfeng W ซึ่งเป็นย่านรวมห้างสรรพสินค้า และร้านขายโทรศัพท์มือถือ
พูดถึงเรื่องโทรศัพท์มือถือ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าที่พร้อมโปรโมท แบรนด์ Huawei xiaomi และ vivo พร้อมป้ายบอกว่าสัญญาณ 5 g
แต่เพื่อนของผม เลือกที่จะใช้แบรนด์มือถือสัญชาติอเมริกา อย่าง apple ผมก็เลยถามด้วยความสงสัยว่าทำไมไม่ใช้แบรนด์จีน และนี่คือคำตอบ
‘’ มือถือแบรนด์จีนที่ผลิตในประเทศเพื่อขายคนจีน จะมีการแทรกแซงจากรัฐบาล ซึ่งมีโอกาสที่จะติดตั้งซอร์ฟแวร์บางอย่างที่ดึงเอาขอมูลส่วนตัวของเราไปได้’’
ฟังแล้วก็ดูน่ากลัวเหมือนกัน เพราะผมเห็นจนจีนหลายคนที่เคยมาเมืองไทยก็มักจะซื้อโทรศัพท์ กลับไปด้วย เพราะอย่างนี้นี่เอง
ป้อมตำรวจจีน
เราเดินกันต่อไป ท่ามกลางแสงพระอาทิตที่เริ่มส่องแสงน้อยลงในเวลาเย็น พร้อมกับอากาศที่เริ่มเย็น เย็นสมชื่อทั้งอากาศและเวลา
เราเดินมาตามถนน Jinbi เพื่อไปยังจุดไฮไลต์ของวันนี้นั่นคือ ประตูม้าทองไก่หยก บริเวณจตุรัส jinbi
พอมาถึงผมก็ไม่รอช้า รีบยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน ในขณะที่เพื่อนคนจีนนั่งดูเหมือนเห็นจนชินจา อารมณ์คงเหมือนคนไทยเห็นอนุเสาวรีย์ชัยละมั่ง
เข้าสู่ช่วงสาระ ประตูทั่งสองนี้ประตูหนึ่งคือประตูม้าทอง ขณะที่อีกประตูชื่อว่าไก่หยก หรือไก่มรกต
ซึ่งถูกสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง นอกจากนี้ในเขต wuhua ก็มีประตูลักษณะแบบนี้อีกหลายจุด ถือว่าเป็นการคงสิ่งปลูกสร้างโบราณไว้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของอาคารรอบข้าง
หลังจากถ่ายรูปจนอิ่มหน่ำแล้วเราทั้งสองก็เดินตามตรอกซอกซอยกันต่อ ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นร้านขายอัญมณีและสมุนไพรจีนเช่นเดิม จนมาทะลุถนน Shulin ก็เจอกับเจดีย์สูง
เพื่อนบอกว่า มีเจดีย์แฝดอีกอันด้วย อยู่ข้างหลัง
พอหันหลังไปดูก็ปรากฏเจดีย์อีกอันรูปร่างหน้าตาเหมือนกันอยู่อีกด้านหนึ่ง
คาร์ฟู ห้างในตำนานของไทยที่หายไปแล้ว แต่ที่นี่ยังมีอยู่
หมดเวลาสนุกแล้วสิสำหรับวันนี้ ถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านแล้ว ในระหว่างทางกลับเพื่อนบอกว่า มีอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องลองกิน นั้นคือขนมเค้กกุหลาบ ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของยูนนาน ซึ่งก็จะมีหลากหลายรสชาติ แต่ไส้ข้างในจะใส่กลีบดอกกุหลาบไปด้วย เวลาก็ก็จะมีกลิ่นดอกกุหลาบลอยฟุ้ง ถือว่าเป็นขนมชนิดหนึ่งที่ควรลองกินดู โดนถ้าจะซื้อฝากจะมีอยู่สองแบบคือ แบบเก็บไว้ได้ 1 สัปดาห์ กับแบบเก็บได้ 3 วัน ซึ่งแบบหลังมีรสชาติอร่อยกว่า ถ้าใครไปอยากให้ลองซื้อมาทายดูนะครับ
Xiǎomǐ hé bòhé niúròu fàn คือมื้อเย็นในวันนี้
จบแล้วสำหรับการทำความรู้จักกับนายหมิง เฮ้ย คุนหมิงในวันแรก ตอนต่อไปผมจะพาไป ไม่ใช่สิ เพื่อนของผม จะพาผมและทุกคนไป ขึ้นรถไฟความเร็ว 198 km/hr เพื่อไปยังเมืองต้าลี่ เมืองโบราณ ที่มีชื่อเสียงอีกเมืองหนึ่งของยูนนาน และเชื่อกันว่ามีทะเลสาปที่เคยเป็นถิ่นฐานเดิมของชนชาติ ''ไต'' จะเป็นอย่างไรรอติดตามใน ep 2 นะครับ
บันทึก
4
2
3
4
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย