9 ก.พ. 2020 เวลา 08:32
บทที่ 2 : โมกับอาการป่วย (ตอนจบ)
ความตอนที่แล้ว : โมเข้ารับการผ่าตัดในวันที่อายุครบ 6 เดือน เพราะมีผังผืดที่ไตทั้ง 2 ข้าง ทำให้ไตทำงานได้ไม่เต็มที่ หลังจากพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลรามาฯ หลายเดือน โมหายดีและสามารถกลับมาพักรักษาตัวต่อที่บ้าน...
หลังจากแม่และโมกลับมาบ้าน แม่ยังคงเป็นพยาบาลคอยดูแลโมเช่นเคย คุณหมอให้แม่พาโมไปตรวจดูแผลผ่าตัดทุกสัปดาห์ ช่วงที่ไปพบคุณหมอ แม่เล่าให้คุณหมอฟังถึงพัฒนาการต่างๆ ที่ผิดปกติของโม เช่น การเปล่งเสียง การพลิกตัวคว่ำหงาย คลาน หรือยืน ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีพัฒนาการเหล่านี้จากโมให้เห็นเลย
เมื่อแผลผ่าตัดของโมหายสนิท คุณหมอบอกกับแม่ว่า โมต้องเข้ารับการฝึกพูด แม้ว่าการได้ยินของโมจะปกติ แต่ไม่ได้หมายความว่าโมจะพูดได้ มีโอกาสสูงมากที่ลูกชายของแม่จะไม่พูด รวมถึงการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย นั่นหมายถึงความพิการ
จบเรื่องไตได้ไม่นาน ความผิดปกติของพัฒนาการต่างๆ ก็มาเยี่ยม ตอนที่หมอบอกกับแม่เรื่องโม แม่ไม่ได้ตกใจหรือเสียใจอะไรมากมาย แม่แค่สงสารโม คิดแค่ว่าจะทำอย่างไรให้โมพูดได้ หากร่างกายโมจะเคลื่อนไหวไม่ได้ก็ขอแค่ให้โมสื่อสารกับแม่ได้ โมจะได้บอกได้ว่าโมอยากกินอะไร อยากเล่นของเล่นแบบไหน อยากไปเที่ยวที่ไหน แค่ให้แม่กับโมได้คุยกัน...
แม่เริ่มเปิดเพลงให้โมฟัง เพลงทุกสัญชาติที่แม่จะหาได้ในยุคนั้น โมสาจ สตริงค์ สากล ลูกทุ่ง เพื่อชีวิต เพลงนิทานดาวลูกไก่ สารพัดจะหามาเปิดให้โมฟัง แม่เปิดเพลงสลับกับอัดเสียงตัวเองใส่เทป เป็นเสียงแม่พูดกับโม เล่านู่นนี่นั่นให้โมฟัง อัดเก็บไว้เปิดเวลาแม่ต้องทำงานบ้านหรือออกไปนอกบ้าน โมจะได้ได้ยินเสียงพูดอยู่ตลอดเวลา
ในเทปที่แม่อัดเสียงไว้ จะมีเสียงอ้อแอ้ของโมแทรกเข้ามาบ้าง และทุกครั้งที่แม่เปิดวนให้โมฟัง โมจะหัวเราะชอบใจเวลาได้ยินเสียงตัวเองในเทป "โมชอบเสียงตัวเองใช่ไหมลูก งั้นโมพูดกับแม่นะครับ เสียงโมจะได้เข้าไปอยู่ในเทปนี้นะ" แม่ใช้ประโยคนี้เกลี้ยกล่อมโมร่วม 6 เดือน กว่าโมจะพูดคำแรกได้
ให้ทายว่ามนุษย์อึดอย่างโมพูดคำแรกว่าอะไร? ไม่ใช่คำว่า พ่อหรือแม่ คำแรกของโมคือ "ปี๋" แม่แทบกรี๊ดลั่นบ้าน เสียง "ปี๋" จากปากของโม
โมยังคงต้องไปพบคุณหมอศัลยกรรมเด็ก คุณหมอโรคไต คุณหมอด้านพัฒนาการอยู่ตลอด กระทั่งวันหนึ่งแม่บอกคุณหมอด้านพัฒนาการว่า โมเปล่งเสียงได้แล้ว เป็นคำว่า "ปี๋" คุณหมอเลยลองชวนโมพูดแต่โมไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย จนคุณหมอบอกว่า แม่โกหกคุณหมอแน่เลย ให้กลับบ้านไปฝึกพูดต่อนะ อย่าละความพยายาม..งานนี้แม่คงอยากบอกโมว่า
"ขุ่นแม่ไม่ปลื้มนะ"
หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ครบวันคุณหมอนัด คราวนี้โมไม่ยอมให้ใครมาสบประมาทแม่อีก เมื่อโมเห็นหน้าคุณหมอถึงกับพูดออกมาว่า
"ปลาอาบอก" (ผันจากคำว่า ปลากระบอก ซึ่งเป็นชื่อที่โมใช้เรียกจุ๊ดจู๋ของตัวเอง) คุณหมอดีใจมาก ที่โมเปล่งเสียงเป็นคำพูดได้แล้ว เพราะตลอดเวลาเหมือนจะหวังกับสิ่งนี้ไม่ได้เลยจริงๆ...โมใช้เวลา 5 ปีกว่าจะพูดเป็นประโยคยาวๆ ได้
การฝึกพูดของโมทำควบคู่ไปกับการทำกายภาพด้วยวิธีธาราบำบัด แม่พาโมกระเตงขึ้นรถเมล์บ้าง รถแท็กซี่บ้าง ไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้นักกายภาพพาโมลงสระน้ำ ฝึกพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว การกายภาพในน้ำแม้จะไม่ช่วยให้โมเดินหรือยืนได้ แต่ช่วยให้กล้ามเนื้อของโมแข็งแรง และคงทำให้โมมีปอดอันใหญ่เบ่อเร่อ
18 ปีที่โมเข้าออกโรงพยาบาล เพื่อติดตามอาการของโรคอย่างใกล้ชิดจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ทุกครั้งที่ไปพบคุณหมอ โมจะมีดอกกุหลาบหรือช่อดอกไม้เล็กๆ ไปฝากคุณหมอเสมอ และทุกครั้งหลังจากกลับจากโรงพยาบาล โมจะได้แวะซื้อของเล่นที่ห้าง Central บางนา...โมจึงไม่เคยอิดออดกับการไปพบคุณหมอตามนัดเลย มีแต่แม่กับพี่เม ที่ดูไม่ตื่นเต้นเอาเสียเลย
ทุกวันนี้แม่ยังคงร้องเพลงให้โมฟัง เพลง "ฉันเป็นดอกไม้" ของน้าหงา คาราวาน ที่แม่ร้องประสานไปกับโม เพลง "มือเรียวเกี่ยวรวง" ของน้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ที่แม่ร้องเพื่อให้กำลังใจตัวเอง เป็น 2 บทเพลงที่มีเรื่องราวและเป็นกำลังใจเล็กๆ ระหว่างวัน ที่ทั้งโมและแม่มีให้กันตลอดมา...
โฆษณา