#หลักในการพิจารณาและพิพากษาคดีแพ่งที่มีข้อพิพาทมีดังนี้
1.ศาลจะพิจารณาคดีโดยยึดหลักจาก คำคู่ความที่คู่ความเสนอในศาล (คำฟ้อง คำให้การ) ส่วนในทางนำสืบ หากคู่ความสืบนอกประเด็นที่ระบุไว้ในคำคู่ความ ศาลไม่อาจนำประเด็นนั้นมาพิจารณาเพื่อทำคำพิพากษา
2.การทำคำฟ้อง หรือคำให้การสามารถแก้ไข เพิ่มเติมเนื้อหาได้แต่ต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ในการแก้ไขใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 179,180
3. การนำสืบในศาล ศาลจะกำหนดให้ผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงเป็นผู้นำสืบก่อนโดยใช้หลักผู้ใดกล่าวอ้างผู้นั้นนำสืบดังนั้นจึงไม่มีข้อกำหนดตายตัวว่าโจทก์หรือจำเลยจะเป็นผู้นำสืบก่อนหรือหลัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเด็นข้อพิพาทในคดี
4. ในการนำสืบพยานหลักฐานสามารถนำสืบได้ทั้งพยานบุคคลพยานเอกสารและพยานวัตถุโดยพยาบาลต่างๆจะต้องถูกระบุไว้ในบัญชีระบุพยานของฝ่ายที่ประสงค์จะอ้างหากในบัญชีพยานอย่างนี้ได้ระบุพยานดังกล่าวต้องยื่นขอระบุพยานตามที่กฎหมายกำหนดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 8
5. พยานบุคคลที่ใช้เบิกความนั้น ผู้นำเสนอพยานต้องเลือกพยานปากสำคัญที่สามารถพิสูจน์ความผิดถูกในคดีมาเบิกความต่อศาลโดยคำนึงถึงหลัก ประจักษ์พยาน พยานบอกเล่าและพยานผู้เชี่ยวชาญ โดยพยานที่ใช้ในการเบิกความมักเป็นประจักษ์พยานซึ่งแบ่งออกเป็น พยานเดี่ยวและพยานคู่ด้วย
5.1 พยานเอกสาร ที่นำมาใช้เบิกความในศาล ตามหลักเกณฑ์แล้วนั้นต้องใช้ พยานเอกสารที่เป็นพยานต้นฉบับ ส่วนพยานเอกสารที่เป็นสำเนาสามารถนำเสนอต่อศาลได้ หาคู่ความอีกฝ่ายคัดค้าน
5.2 พยานวัตถุ ที่นำเสนอต่อศาลเช่นสำเนาภาพถ่ายคลิปวีดีโอ หากเป็นคลิปวีดีโอควรทำการแคปรูปภาพในแต่ละช็อตรวมถึงหากมีการ สนทนาต้องดำเนินการถอดถ้อยคำที่สนทนา เพื่อประกอบการถามพยานทั้งนี้หากคู่ความอีกฝ่าย ติดใจในพยานหลักฐานดังกล่าวให้ทนายความผู้นำเสนอพยานวัตถุดังกล่าว เปิดพิสูจน์ ไฟล์เสียงหรือคลิปวีดีโอดังกล่าวซึ่งทนายความควรนำคอมพิวเตอร์ที่สามารถเปิดแผ่นซีดีมาศาลด้วย
6. หากคู่ความนำเสนอพยานหลักฐานภายหลังจากสืบพยานเสร็จสิ้นแล้วนั้นเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาหรือไม่แต่ตามหลักปกติแล้วนั้นศาลมักจะไม่นำพยานหลักฐานดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัย เป็นแต่พยานสามารถ นำเสนอเหตุผลได้ว่าเหตุใดจึงไม่สามารถนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาประกอบการสืบพยานได้และศาลควรใช้ดุลพินิจในการรับฟังเพราะเหตุใด
7. ภายหลังจากสืบพยานเสร็จสิ้นแล้วนั้น ทนายความโจทก์ และทนายความจำเลยมีสิทธิ์แถลงต่อศาลเพื่อขอยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดี และศาลจะกำหนดระยะเวลาให้จัดทำคำแถลงการณ์ดังกล่าวเพื่อเสนอต่อศาลก่อนวันที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาทั้งนี้หากฝ่ายใด ที่แถลงขอจัดทำ และไม่อาจจัดทำคำแถลงการณ์ปิดคดีได้ทันเวลาตามที่ศาลระบุไว้ให้ถือว่าไม่ติดใจ
8. สำหรับทนายความจำเลย หากคำฟ้องของโจทก์ พิจารณาแล้ว มีปัญหาที่จำเลยสามารถต่อสู้ในส่วนของข้อกฎหมายโดยข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วเช่นนี้ทนายความจำเลยสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายควบคู่กับคำให้การเพื่อให้ศาล มีคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นในประเด็นแห่งคดีนั้นๆซึ่งเป็นประเด็นสำคัญก็ได้
9 เมื่อศาลมีคำพิพากษาและคู่ความฝ่ายใดไม่พอใจคำพิพากษาสามารถยื่นอุทธรณ์ได้แต่ทั้งนี้ต้องไม่เป็นการต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงปัญหาข้อกฎหมายที่กฎหมายกำหนดไว้กรุณาศึกษาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 มาตรา 225
Cr: ครูบาอาจารยผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาทั้งหลาย