10 ก.พ. 2020 เวลา 04:46
ถึงเวลาที่โซลชาร์จะโบกมือลาแมนยูหรือยัง?
กว่า 13 เดือนในฐานะผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มีทั้งช่วงเวลาที่ดีและแย่สลับกันไป แม้ว่าช่วงหลังอาจจะหนักไปทางแย่ซะมากกว่า
ช่วงเวลาแต่ละช่วงนั้นจะว่าไปก็สามารถแบ่งได้ไม่ยากนัก ช่วงที่ดีก็คือช่วงที่โซลชาร์เป็นรักษาการในตำแหน่งผู้จัดการทีม ส่วนช่วงที่แย่ก็คือหลังจากเซ็นสัญญาเข้ารับตำแหน่งแบบถาวรเป็นต้นมา
ในช่วงที่ตำนานสโมสรรายนี้เข้ามารับงานใหม่ ๆ ในฐานะกุนซือชั่วคราว ต้องบอกว่าผลงานของเขาเป็นรองแค่เพียง เจอร์เกน คล็อปป์ กับ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เท่านั้น
สถิติชนะ 10 เสมอ 2 แพ้ 1 คือผลงานของโซลชาร์ในช่วงนั้น ทำให้เขาเปรียบเสมือนผู้กอบกู้ทีมให้กลับมาเข้ารูปเข้ารอย จนได้เซ็นสัญญาเป็นผู้จัดการทีมปีศาจแดงคนใหม่อย่างเป็นทางการ
แต่หลังจากนั้นผลงานของทีมก็ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย การเอาชนะ 11 เสมอ 10 และแพ้ถึง 12 นัด ไม่ใช่ผลงานที่ดีพอสำหรับทีมระดับท็อป 6 ของพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
จะว่าไปการที่ผลงานอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าความคาดหวัง แต่ดันไม่ต่ำจนส่งผลเสียร้ายแรงนี่แหละ ทำให้บอร์ดบริหารของสโมสรไม่สามารถออกแอคชั่นอะไรได้
ในการจะปลดผู้จัดการทีมสักคน สโมสรไม่ใช่ว่าอยากจะไล่ก็ไล่ได้เลย เนื่องจากก่อนเข้ามาทำงานต้องมีการเซ็นสัญญากันก่อน กรณีถ้าทีมต้นสังกัดหรือทีมอื่น ๆ อยากจะฉีกสัญญาฉบับนี้ ก็ต้องมีการจ่ายค่าชดเชยตามระยะเวลาในสัญญาที่ระบุเอาไว้
ฉะนั้นการที่แต่ละทีมจะยอมเสี่ยงเสียเงินปลดผู้จัดการแล้วก็เสียเงินอีกก้อนเพื่อจ้างคนใหม่มาแทนจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไตร่ตรองให้ดีก่อน
ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการตัดสินใจก็คือ
1.ผลงานโดยรวมของทีม
2.ผลงานในช่วงใดช่วงหนึ่ง
3.ความสัมพันธ์กับนักเตะหรือบอร์ดบริหารของทีม
4.ระยะเวลาที่เหลืออยู่ในสัญญา
ถ้ามีอย่างน้อย 2 ข้อที่เข้าเกณฑ์ สโมสรจึงจะเริ่มพิจารณาว่าจะต้องเปลี่ยนหัวเรือหรือยัง
ผลงานโดยรวมนั้นวัดไม่ยาก สามารถดูได้จากอันดับบนตารางคะแนนเกมลีก และก็ดูว่าในบอลถ้วยนั้นตกรอบหรือยังอยู่ในรายการใดบ้าง เป็นสาเหตุหลักที่มักจะเป็นกันบ่อยที่สุดในการนำมาเป็นข้ออ้างในการไล่ผู้จัดการคนใดคนนึงออก
ใน 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา ผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ลีกที่โดนปลด 10 จาก 12 คนล้วนโดยอัปเปหิออกจากทีมในขณะที่ผลงานอยู่ในอันดับครึ่งล่างของตารางคะแนน
เรียกได้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ทีมใหญ่มีอันดับที่เป็นตัวเลข 2 หลัก ถ้าผลงานยังไม่กระเตื้องขึ้นก็เตรียมโดนไล่ได้เลย
กรณีของโซลชาร์ถึงแม้จะมีผลงานที่ไม่สม่ำเสมอ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังพาทีมอยู่ในอันดับเลขตัวเดียวได้ มีเพียง 4 สัปดาห์เท่านั้นที่หลุดไปอยู่ครึ่งล่าง แต่สุดท้ายก็ไต่กลับคืนมาได้ในที่สุด
ในบางครั้งแม้ว่าอันดับบนตารางคะแนนจะดูไม่เลวร้ายเท่าไหร่ แต่ถ้าอยู่ดี ๆ ทีมผลงานสะดุดหลายนัดเข้าจนเริ่มน่าเป็นห่วงแล้วล่ะก็ กุนซือคนนั้นก็มีสิทธิ์ว่างงานฉับพลันได้เช่นกัน
ตัวอย่างเคสนี้ก็คือ อูไน เอเมรี่ ของอาร์เซน่อลที่โดนปลดขณะที่ทีมยังอยู่อันดับ 8 แต่ผลงานก่อนจะต้องเก็บข้าวของออกจากเอมิเรตส์สเตเดี้ยมคือการไม่ชนะใคร 8 นัดรวดรวมทุกรายการ โดยแบ่งเป็นเสมอ 4 นัดและแพ้ 4 นัด
ซึ่งในข้อนี้กุนซือปีศาจแดงเคยทำทีมไม่ชนะนานที่สุดเพียง 4 นัดเท่านั้น ถ้าเป็นการวิ่งมาราธอนก็เรียกได้ว่าแม้จะไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้นำ แต่เขาก็ยังทำได้ดีพอที่จะผ่านคัทออฟมาได้ทุกรอบ
จากสถานะความสัมพันธ์ของเขากับทีมซึ่งตัวเขาเองเคยเป็นตำนานของสโมสรมาก่อนสมัยที่เป็นนักเตะ บวกกับสัญญาที่เหลืออยู่อีก 2 ปีทำให้บอร์ดบริหารยังไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะต้องปลดกุนซือหน้าทารกผู้นี้ออกจากตำแหน่ง
ถ้าให้วิเคราะห์แล้วล่ะก็ อย่างน้อยโซลชาร์น่าจะยังได้คุมทีมต่ออย่างน้อยไปจนถึงปิดฤดูกาล แล้วจึงค่อยมีการประเมินผลงานอีกที
ในฐานะนักเตะระดับตำนานผู้เคยค้าแข้งกับสโมสรมากว่า 10 ปี อีกทั้งยังพังประตูชัยในช่วงทดเจ็บช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกได้อีก การผลักไล่ไสส่งบุคลากรทรงคุณค่าระดับนี้ตั้งแต่กลางฤดูกาลในขณะที่ทีมยังไม่พัง ดูจะเป็นอะไรที่โหดร้ายกับเขาเกินไป
แน่นอนว่าผลงานของแมนยูตอนนี้ถือว่าต่ำกว่าความคาดหวัง ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ในข้อนี้ แต่พอพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ตราบใดที่โซลชาร์ยังรักษาผลงานให้อยู่ในระดับนี้ได้ เขาน่าจะยังพอได้โอกาสคุมทีมไปจนจบฤดูกาลอยู่
แล้วถ้าผลงานแย่ลงไปกว่านี้อีกล่ะ?
ในฤดูกาล 2019/20 นี้ปีศาจแดงยังมีคิวเตะในพรีเมียร์ลีกอีก 13 นัด แล้วก็มีเกมเอฟเอคัพซึ่งเข้าถึงรอบที่ 5 รวมไปถึงยูโรป้าลีกที่เข้าสู่รอบ 32 ทีมไปแล้ว
ย้อนกลับไป 6 ปีก่อนตอน เดวิด มอยส์ คุมทีมอยู่ สถานการณ์ของทีมตอนนั้นไม่ได้ต่างจากในตอนนี้มากนัก แม้ผลงานในลีกจะดูดีกว่านิดหน่อยคือการอยู่อันดับที่ 7 แต่ว่าทีมของมอยส์ก็ตกรอบบอลถ้วยในประเทศทั้ง 2 รายการไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนนั้นอดีตกุนซือเอฟเวอร์ตันได้โอกาสจนถึงปลายเดือนเมษายน ซึ่งทีมตกรอบบอลถ้วยทุกรายการและคะแนนในลีกก็มีไม่พอต่อการกลับไปลุยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกแล้ว
ข้อเท็จจริงที่สำคัญข้อหนึ่งก็คือ มอยส์ไม่ใช่ตำนานของทีม เขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแมนยูไนเต็ดมาก่อนเลย บอร์ดบริหารไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเอาเขาไว้หลังทำผลงานล้มเหลว
แต่กับโซลชาร์เป็นอะไรที่ต่างออกไป นอกจากจะเคยค้าแข้งกับทีมมาอย่างยาวนานแล้ว เขายังเคยคุมทีมสำรองของแมนยูด้วย ด้วยวัย 46 ปีในวันนี้เขาอาจจะยังไม่เหมาะกับทีม แต่เส้นทางในฐานะกุนซือของเขายังคงอีกยาวไกล ถึงแม้จะต้องแยกทางกันไป แต่โชคชะตาอาจพาให้เขากลับมาอีกครั้งก็ได้
หากสมมุติว่าจบฤดูกาลด้วยอันดับ 8 และไม่ได้แชมป์บอลถ้วยเลย ทางลงที่สวยที่สุดของโอเล่กับทีมก็คือการลาออกหรือการออกแบบยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย
แต่ถ้าเกิดผลงานย่ำแย่หลายนัดติดต่อกันเข้า จนหล่นไปอยู่ครึ่งล่างของตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ถึงเวลานั้นจะตำนานหรือตำไม่นานก็เถอะ อาจจะถึงคราวทางใครทางมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วล่ะ
ถ้าโซลชาร์ไปแล้วใครจะมาแทน?
กรณีที่มีการปลดกลางอากาศตอนที่ฤดูกาลแข่งขันยังไม่จบสิ้นลง ตัวเลือกสำหรับกุนซือที่จะเข้ามารับตำแหน่งแทนนั้นมีไม่เยอะนัก
สำหรับแมนยูไนเต็ดจะเรียกว่ามีเพียงคนเดียวก็ได้ นั่นก็คือ เมาริซิโอ โปเชตติโน อดีตผู้จัดการทีมของท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่ว่างงานมาเกือบจะ 3 เดือนแล้ว
ผลงานที่พาสเปอร์สไปยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกได้ถึง 4 ฤดูกาลติดต่อกันคือผลงานที่ไม่มีผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ลีกคนไหนทำได้เลยนับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับ อาร์แซน เวนเกอร์ ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อฤดูกาล 2012/13
แต่ว่าการพาทีมหล่นไปถึงอันดับ 14 บนตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกจนถูกแทนที่ด้วย โชเซ่ มูรินโญ ก็เป็นอะไรที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน
ฉะนั้นถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก การรอให้จบฤดูกาลก่อนค่อยเปรียบเทียบโปเชตติโนกับตัวเลือกอื่น ๆ ที่อาจจะดึงมาได้ในช่วงซัมเมอร์ก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวถ้าพวกเขาต้องการจะเปลี่ยนนายใหญ่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดจริง ๆ
โฆษณา