10 ก.พ. 2020 เวลา 13:20 • ความคิดเห็น
"การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของผู้นำ"
1
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยความที่พบตัวอย่างที่ไม่ดีของ “ผู้นำ” เยอะมาก หลายคนเป็นคนเก่ง หลายคนทรงอำนาจ แต่อะไรที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้นำที่น่านับถือ หรือแค่เกรงกลัว หรือบางทีก็เกลียดชังไปเลย เลยได้คำตอบว่าปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ผู้นำทุกคนต้องฝึกฝน คือสิ่งที่เรียกว่า “Emotional Intelligence” ซึ่งเป็น Trait ที่สำคัญสำหรับผู้ที่จะเป็น “ผู้นำที่ดี”
1
โดยตัวอย่างในองค์กรอย่าง Facebook ก็มีคนที่เด่นเรื่องนี้มากท่านหนึ่ง ชื่อ Chris Cox  ที่ดำรงตำแหน่งเป็น CPO ของบริษัท ถึงขนาด Mark Zuckerberg ต้องวางคนๆ นี้ไว้เป็นหนึ่งในผู้นำของบริษัท ด้วยเหตุผลที่ว่า
"ยิ่งมีผู้นำที่มี Emotional Intelligence เยอะเท่าไรก็จะยิ่งมีส่วนช่วยที่จะทำให้บริษัทมีความเป็นมนุษย์มากกว่าเป็นเพียงเทคโนโลยีเท่านั้น”
(โพสของ Mark ที่ร่วมฉลอง 10 ปีการทำงานของ Chris ที่ Facebook : https://www.facebook.com/zuck/posts/10102461766646701)
ในภาวะการณ์ปัจจุบัน หลายองค์กรต้องการ Scale-up ขึ้น และเร็วขึ้นด้วยโลกเทคโนโลยีที่หมุนแบบความเร็วใกล้เคียงกับลมหายใจของเรา ทุกคนล้วนมองและให้ความสำคัญกับ Hard-skills ที่จะนำพาองค์กรให้ทะยานขึ้น แต่หลายองค์กรที่สำเร็จในโลกจะมีการพัฒนา Emotional Intellgence ของผู้นำ หรือแม้กระทั่งพัฒนาทีมงานในด้านดังกล่าวมากขึ้น มีรายงาน (Fast Company, 2014) ที่บ่งชี้ความสัมพันธ์ทางบวกว่า
“หากคนในองค์กรยิ่งมี “Emotional Intelligence Leadership” ก็จะยิ่งทำให้ตัวแปรเช่น “Employee Satisfaction”, “ค่าตอบแทน” หรือ “Performance” ก็จะเพิ่มไปในทิศทางเดียวกันด้วย”
หลายบริษัทโดยเฉพาะบริษัทรุ่นใหม่ หรือพวก Start-up ในปัจจุบันจึงตระหนักและเริ่มตั้งแต่กระบวนการ Recruit และการ Promote บุคคลากรภายในต้องเน้นด้าน Emotional Intellgence ให้มากขึ้น ดังนั้น หลักการของผู้นำที่มี Emotional Intelligence นั้น ได้แก่
2
1.“รู้ตนเอง” : พื้นฐานที่สำคัญที่สุดของ Emotional Intelligence คือเราต้อง “รับรู้” ในภาวะอารมณ์ของตนเอง เหตุของมันคืออะไร แล้วเราจะแสดงหรือโต้ตอบสิ่งที่เป็นสาเหตุนั้นได้อย่างไร ผู้นำที่เก่งหลายคน (ลองสังเกตุหัวหน้างานที่เป็นแบบอย่างดีๆในบริษัทตัวเองหรือบริษัทชื่อดัง) มักจะมีความสามารถในการ “รับรู้” ที่สูงมาก ทำให้สามารถจัดการกับสภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา และหาทางจัดการหรือตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ยิ่ง “รับรู้” เร็วเรายิ่งมีสติ แทนที่จะตอบโต้ด้วยอารมณ์ หรือสภาวะที่เกิดแต่ “ผู้นำ” สามารถใช้ทักษะการคิดและแสดงตอบ ในทางที่ตัดสินใจที่ดีกว่าผู้ที่ “รับรู้” ได้น้อย”
ตรงข้ามกับ “ผู้นำ” ที่เวลามีสภาวะอารมณ์เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถ “รู้ตน” ได้เร็วก็มักจะไม่สามารถ filter อารมณ์บางตัวออกไปได้ ทำให้ไป break ความสัมพันธ์ของคน หรือไปเพิ่มสิ่งที่เรียกว่า “ความไม่ไว้ใจ” แม้จะไม่ตั้งใจก็ตามที
2. “รู้ผู้อื่น” : ยิ่ง “ผู้นำ” รู้ตนเองมากเท่าไร เขายิ่งพัฒนาทักษะที่จะ “รับรู้ในภาวะอารมณ์ขอผู้อื่น” มากขึ้นเท่านั้น
“ผู้นำที่มีทักษะรับรู้ผู้อื่นได้มาก ย่อมที่จะโต้ตอบ หรือโน้มน้าวผู้อื่น โดยเข้าถึงรากของปัญหา และแก้ไขสาเหตุของผู้อื่นถึงอารมณ์ด้านลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างดี”
2
3. “ฟังเป็น” : คนจำนวนมากสอบตกเรื่องการตอบโต้สิ่งเร้าที่เข้ามาในชีวิต ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวเรามักคิดว่าตนมีความคิดและความรู้ที่ถูกจึง “พูด” หรือ Action เสียมากกว่าการ “ฟังผู้อื่นอย่างเข้าใจ” ดังนั้น ผู้นำที่มี Emotional Intelligene สูงมักระวังตัวเสมอให้ตัวเองไม่ได้แค่ฟังเรื่องราวที่คนอื่นพูดในมุมของ Content หรือ Context เท่านั้น
“แต่ต้องฟังให้รู้ถึง “ความรู้สึก” ของผู้พูดที่สื่อออกมาตลอดการสนทนาที่เกิดขึ้น (มองหาอารมณ์และความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังคำพูด)”
2
ผู้นำที่มี Emotional Intelligence สูงจะเชื่อว่าอารมณ์และความรู้สึกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนั้นสำคัญมากกว่าคำพูดที่ผู้พูดพูดออกมา
3
4. "รู้ถึงอารมณ์ของสภาพแวดล้อม” : ผู้นำที่ดีจะไม่รับรู้เรื่องราวเพียงแค่คนแบบที่จะต้องมาสนทนากันต่อหน้าเท่านั้น แต่ต้องสามารถเลือก และรับรู้อารมณ์ และความรู้สึกของบรรยากาศในสถานที่ทำงานของตนในชีวิตประจำวันได้ มักมีหลายปัจจัยที่มีอิทธิผลต่ออารมณ์ที่เกิดและเปลี่ยนแปลงในที่ทำงานของทีมงานเรา บ้างก็เป็นความรู้สึกในแง่งาน บ้างก็เรื่องครอบครัวของทีมงาน บ้างก็เป็นข่าวลือต่างๆ ที่กระทบต่อความรู้สึกปลอดภัยของทีมงานจากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งจริงๆ สิ่งเหล่านี้คือเรื่องธรรมดาสามัญที่ต้องเกิดเมื่อองค์กรหมุนไปเรื่อยๆ
“ผู้นำที่ดีต้องรู้จักเข้าใจความรู้สึกภาวะอารมณ์นั้น และแสดงออกถึงความ Care ทีมงานอย่างเหมาะสม ซึ่งจะนำพาสู่ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความภักดีต่อองค์กร รวมถึง Performance ชองทีมงาน”
1
ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่ “ผู้นำ” ที่จะสามารถจูนความรู้สึกที่เกิดขึ้นในที่ทำงานได้ด้วยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
1
5. "ความสามารถคาดการณ์ว่าผู้อื่นจะแสดงอารมณ์หรือกระทำสิ่งใดออกมา พร้อมโต้ตอบได้อย่างเหมาะสม” : ผู้นำที่มี Emotional Intelligence ที่สูงจะสามารถคาดในสิ่งที่ผู้อื่นจะแสดงออกในแต่ละสภานการณ์ได้ โดยเฉพาะกรณีที่การโต้ตอบจากผู้อื่นจะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้น
1
“หากผู้นำได้กลิ่นของข่าวร้าย ก็จะสามารถคิด วางแผนและตอบโต้ได้ทันท่วงที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการกับพวกข่าวลือที่มักจะสะพัดไปได้ไวเหมือนไวรัสซึ่งบางครั้งสร้างความเสียหายระหว่างทางมากกว่าผลจริงๆ ที่จะเกิดขึ้น”
ซึ่งการจะ build ความสามารถด้านนี้ต้องฝึกทั้งอารมณ์ และ Social skills อย่างสม่ำเสมอ
ลองปรับใช้ดูครับทุกๆ วันเราทำงานกับ “คน” ไม่ใช่เพียง “Resource หรือเครื่องจักร” การพัฒนาทักษะด้าน Emotional Intelligence จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และต้องพัฒนาให้เก่งขึ้นในทุกวัน ตราบใดที่เราต้องยุ่งกับคน และเป็นผู้นำของคน…🙂
2
โฆษณา