11 ก.พ. 2020 เวลา 09:26 • กีฬา
บทพิสูจน์สุดหินของอันเช่
นับจนถึงตอนนี้เป็นเวลา 2 เดือนเศษแล้วที่เอฟเวอร์ตันมีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งผู้จัดการทีม
ผลงานชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 1 ในเกมพรีเมียร์ลีกของ คาร์โล อันเชลอตติ กับการพาทีมทะยานจากท้ายตารางขึ้นมาสู่อันดับ 7 เรียกว่าเปลี่ยนจากทีมที่กำลังหนีตายมาลุ้นพื้นที่ฟุตบอลยุโรปอย่างเต็มตัวแล้ว
สื่อหลายแห่งยกให้การเข้ามาของชายชาวอิตาเลียนผู้นี้กลายเป็นการทำธุรกิจที่ดีที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่การเข้ามาลงทุนของ ฟาร์ฮัด โมชิรี่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2017
หลังจากต้องเสียเงินค่าชดเชยในการปลดทั้ง โรนัลด์ คูมัน, แซม อัลลาร์ไดซ์ และ มาร์โก ซิลวา รวมกันเป็นจำนวนหลายสิบล้านปอนด์ สุดท้ายด้วยเวลาและโอกาสที่เหมาะสมพวกเขาก็สามารถหากุนซือโปรไฟล์เทพมาคุมทีมจนได้
แฟนบอลบางคนอาจจะแย้งนิดนึงว่าเพราะช่วง 8 นัดที่ผ่านมาเอฟแทบไม่ได้เตะกับทีมใหญ่เลยไง! ตอนเจอแมนซิตี้ในช่วงนั้นก็แพ้ไป 2-1 ยังไม่รวมการแพ้ลิเวอร์พูลชุดเอาเด็กลงแทบยกทีมจนตกรอบเอฟเอคัพอีก
ตั้งแต่เกมหน้าจนถึงช่วงสงกรานต์เอฟเวอร์ตันจะเจอโปรแกรมสุดโหด 6 จาก 7 นัดคือการเจอทั้งอาร์เซน่อล (เยือน), แมนยู (เหย้า), เชลซี (เยือน), ลิเวอร์พูล (เหย้า), เลสเตอร์ (เหย้า) และ สเปอร์ส (เยือน)
ถ้าเป็นผู้จัดการทีมคนก่อนๆ บอกเลยว่าเจอแบบนี้เข้าไปมีสิทธิ์ชะตาขาดได้เลย ไม่เชื่อลองไปถามคูมันที่เจอของยากตั้งแต่ 4 จาก 5 นัดแรกเมื่อ 2 ซีซั่นก่อน สุดท้ายเจอเชลซี แมนยู สเปอร์ส รุมยิงใส่รวมกัน 9 ลูก ไปยิงเค้าคืนไม่ได้ซักลูก ทีมเลยเป๋ยาวจนโดนปลดในอีก 4 นัดถัดมาหลังแพ้อาร์เซน่อลคาบ้านอีก 5-2
แต่กับอันเช่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายทั้งกับเอซี มิลาน, เชลซี, เปแอสเช, เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิค เขานี่แหละคือคนที่เหมาะจะพาทีมผ่านโปรแกรมหฤโหดแบบนี้
ในการคุมทีมที่เขาได้คุมตั้งแต่ต้นจนจบฤดูกาล เขาแทบไม่เคยพาทีมหลุดจากท็อป 4 ในลีกเลย ครั้งล่าสุดที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นก็คือการพามิลานจบอันดับ 5 ในฤดูกาล 2007/08 หรือเมื่อเกือบ 12 ปีที่แล้ว
แต่ก็คงมีคนแย้งอีกล่ะว่าเขาเอาแต่รับงานคุมทีมใหญ่ที่แทบจะการันตีการได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกทุกปีอยู่แล้ว
ฉะนั้นการมารับงานที่เอฟเวอร์ตันครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอีก 7 นัดที่กำลังจะมาถึง จะเป็นโจทย์ที่เหมาะสมมากในการพิสูจน์กึ๋นของอันเช่ว่าจะสามารถพาทีมแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ทีมนี้ไปได้ไกลขนาดไหน
โฆษณา